เจียงซุ่ยฮวนดูอยู่ข้าง ๆ อย่างสนุกสนาน ละครฉากนี้สนุกกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก นางหันไปขอเมล็ดแตงอบจากหมอหลวงหยาง นั่งกะเทาะเมล็ดแตงดูไปด้วย กลัวจะพลาดฉากเด็ด กู้จิ่นมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางฟังอย่างตั้งใจ ห่อตัวในเสื้อคลุม ดูราวกับจิ้งจอกน้อย ทั้งน่ารักและมีชีวิตชีวา มุมปากกู้จิ่นผุดรอยยิ้ม ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งชิงกลอกตาใส่เจียงเม่ยเอ๋อร์ "เจ้าไม่รู้จักประมาณตัวบ้างหรือ? ถึงเวลานี้แล้วยังไม่ยอมรับอีก!" ฮูหยินอ๋องแค่นหัวเราะเย็นชา "เมิ่งชิง เจ้าเคยมาเยือนจวนอ๋องบ่อย น่าจะรู้ว่าในจวนไม่เคยมีสาวใช้ชื่อชุ่ยชิงนี่" เมิ่งชิงตอบด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา "แน่นอนที่ข้ารู้ เพราะตั้งแต่ซื้อชุ่ยชิงมา เจียงเม่ยเอ๋อร์ก็กักขังนางไว้ในห้องลับในห้องของนาง ดังนั้นหลังเจียงเม่ยเอ๋อร์แต่งเข้าวังหนานหมิง นางจึงแทบไม่ได้บรรเลงพิณหรือแต่งกลอนเลย" "หากพวกท่านไม่เชื่อ กลับไปดูเองก็ได้" ร่างฮูหยินอ๋องโงนเงน มองไปที่เจียงเม่ยเอ๋อร์ "เม่ยเอ๋อร์ นี่เป็นความจริงหรือ?" กล้ามเนื้อที่มุมปากเจียงเม่ยเอ๋อร์กระตุกหลายที ฝืนใจพูด "ท่านแม่ ในห้องลูกมีห้องลับจริง แต่ไม่ได้กักขังใครไว้" "เม่ยเอ๋อร์ แม่เ
ผู้คนต่างซุบซิบสนทนากัน หลังจากได้ฟังคำพูดของเมิ่งชิง จึงตระหนักว่า จริง ๆ แล้วไม่เคยมีใครเห็นเจียงเม่ยเอ๋อร์สร้างสรรค์ผลงานด้วยตาตนเองเลย ฮูหยินอ๋องและท่านอ๋องมีสีหน้าซับซ้อน เพราะแม้แต่พวกเขาทั้งสอง ก็ไม่เคยเห็นกับตา "ทุกครั้งที่นางสร้างสรรค์ผลงาน จะขังตัวเองในห้อง อ้างว่าต้องอยู่คนเดียวถึงจะมีแรงบันดาลใจ จริง ๆ แล้วทั้งหมดเป็นผลงานของชุ่ยชิงที่อยู่ในห้อง" เมิ่งชิงกล่าวอย่างมีเหตุผล ทุกคนอยากรู้ความจริง จึงไม่มีใครจากไปแม้แต่คนเดียว ต่างนั่งรอดูอย่างจดจ่อ เจียงซุ่ยฮวนกะเทาะเมล็ดแตงจนกระหายน้ำ ยื่นมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะ แต่กลับเห็นฝูหลิงกำลังเหยียดคอมองไปนอกพระที่นั่ง นางจึงเคาะศีรษะฝูหลิง "ผมเจ้าจะหล่นลงถ้วยชาข้าอยู่แล้ว!" ฝูหลิงนั่งตัวตรง "ฮ่ะ ๆ ขออภัย ข้าแค่อยากรู้มากว่ามีคนชื่อชุ่ยชิงจริงหรือไม่" "มี" เจียงซุ่ยฮวนพูดอย่างไม่ใส่ใจ "หา?" หมอหลวงหลายคนเข้ามาใกล้ "เจ้ารู้ได้อย่างไร?" เจียงซุ่ยฮวนจิบชา "ข้าเคยเห็น" "แล้วทำไมไม่พูด?" "พูดไม่ได้ ถึงพูดก็ไม่มีใครเชื่อ" แม้คำพูดของเจียงซุ่ยฮวนจะไม่แสดงอารมณ์ใด แต่หมอหลวงรอบข้างก็รู้สึกสงสารนาง บิดามารดาแท้ ๆ ของนางยอมเ
แต่คนรอบข้างไม่เชื่อคำพูดของเจียงเม่ยเอ๋อร์ ปฏิกิริยาของชุ่ยชิงเมื่อเห็นเจียงเม่ยเอ๋อร์ดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นการแสดง ตรงกันข้าม ปฏิกิริยาของเจียงเม่ยเอ๋อร์กลับดูเกินจริงไปหน่อย ฮ่องเต้ถามชุ่ยชิง "เจ้าเป็นอะไรกับเจียงเม่ยเอ๋อร์?" แม้ชุ่ยชิงไม่เคยเห็นฮ่องเต้ แต่ก็เห็นได้ว่าบุรุษที่ถามนั้นมีฐานะสูงส่ง นางพึมพำ "บ่าวเป็นเด็กรับใช้ด้านอักษรของคุณหนูเพคะ" "เด็กรับใช้ด้านอักษร?" ทุกคนตะลึง หญิงผู้นี้ไม่ใช่สาวใช้หรอกหรือ ทำไมกลายเป็นเด็กรับใช้ด้านอักษรไปได้? ท่านอ๋องฟาดโต๊ะลุกขึ้น "พูดจาเหลวไหล! ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน! จวนอ๋องเคยมีเด็กรับใช้ด้านอักษรเช่นเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?" ชุ่ยชิงมองท่านอ๋องอย่างงุนงง พูดเสียงเบา "บ่าวอยู่แต่ในห้องลับในห้องคุณหนู ไม่เคยออกมาข้างนอกเลยเพคะ" คำพูดนี้ตรงกับที่เมิ่งชิงพูดทุกประการ เมิ่งชิงกอดอกอย่างภาคภูมิ "เห็นไหม ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม?" ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ถามต่อ "เจ้าบอกว่าเป็นเด็กรับใช้ด้านอักษร เช่นนั้นแต่ละวันเจ้าทำหน้าที่อะไร?" ชุ่ยชิงตอบอย่างตรงไปตรงมา "แต่ก่อนบ่าวช่วยคุณหนูแต่งเพลง แต่งกลอน หรือไม่ก็วาดภาพและศึกษาตำราหมาก ยามว่าง คุณหนูจะให
"ดี!" ท่านอ๋องตกลง การแต่งเพลงต่อหน้า ยากกว่าเขียนบทกวีและวาดภาพ ท่านอ๋องแทบจะแน่ใจว่าสาวใช้คนนี้แต่งไม่ได้ หลิวกงกงนำกระดาษและพู่กันมาให้ชุ่ยชิง แต่ชุ่ยชิงโบกมือปฏิเสธ "บ่าวเพียงต้องเขียนโน้ตลงกระดาษเมื่อแต่งเพลงให้คุณหนู แต่เมื่อบรรเลงเอง ไม่จำเป็นต้องใช้" หลิวกงกงจึงเก็บกระดาษและพู่กัน นำพิณมาให้ชุ่ยชิง ชุ่ยชิงอุ้มพิณนั่งลงบนพื้น ใช้เวลาครุ่นคิดไม่ถึงสิบห้านาที ก็เริ่มบรรเลงพิณ เสียงพิณไพเราะก้องในพระที่นั่ง หลายคนหลงใหล แม้แต่เจียงซุ่ยฮวนยังรู้สึกประทับใจ คิดในใจว่าหากชุ่ยชิงเกิดในโลกก่อนของนาง คงเป็นนักดนตรีระดับนานาชาติชั้นยอด เพลงของชุ่ยชิงสั้นมาก ไม่ถึงเวลาดื่มชาหนึ่งถ้วย นางก็วางพิณในอ้อมอก คุกเข่าลง "บ่าวบรรเลงเสร็จแล้วเพคะ" ทุกคนยังจมอยู่ในบทเพลง แม้แต่ฮองเฮายังลืมความเศร้าโศกที่สูญเสียลูก หลงใหลในบทเพลง มีเพียงท่านอ๋อง ฮูหยินอ๋อง เจียงเม่ยเอ๋อร์ และฉู่เจวี๋ยที่สีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่ากัน ท่านอ๋องและฮูหยินอ๋องคิดไม่ถึงว่า เจียงเม่ยเอ๋อร์ที่พวกเขาภาคภูมิใจ จะเป็นคนหลอกลวง! ผลงานทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของสาวใช้ ฝ่าบาททรงปรบพระหัตถ์ก่อน "ดีมาก!" ต่อมา ทุกคนก็ปรบ
หลิวกงกงนำกระดาษและพู่กันมาให้เจียงเม่ยเอ๋อร์ เจียงเม่ยเอ๋อร์กัดฟันคว้ากระดาษและพู่กัน พยายามนึกถึงลายมือของชุ่ยชิงสุดความสามารถ หวังจะเขียนให้เหมือนชุ่ยชิงทุกกระเบียดนิ้ว แต่ยิ่งพยายามเขียนให้เหมือนชุ่ยชิง มือก็ยิ่งไม่ฟังคำสั่ง ตัวอักษรที่เขียนออกมาบิดเบี้ยว แย่กว่าลายมือเดิมของนางเสียอีก เมื่อเขียนเสร็จ หลิวกงกงเดินมาจะเอากระดาษในมือนางไป แต่นางกำแน่นไม่ยอมปล่อย หลิวกงกงขมวดคิ้ว พูดเสียงแหลม "พระชายาองค์ชายหนานหมิง บ่าวต้องนำกลอนไปถวายฮ่องเต้ ขอพระองค์โปรดปล่อยมือ" พูดพลางกัดฟัน ออกแรงดึงกระดาษจากมือเจียงเม่ยเอ๋อร์ นำไปถวายฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงเปรียบเทียบลายมือกลอนทั้งสอง แล้วทรงฟาดกลอนที่เจียงเม่ยเอ๋อร์เขียนลงบนโต๊ะ "ช่างเหลวไหล! ลายมือกลอนทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง เจ้ายังกล้าอ้างว่าอักษรและภาพเหล่านี้เป็นฝีมือเจ้า เจ้ารู้หรือไม่นี่เป็นโทษหลอกลวงฮ่องเต้?" เจียงเม่ยเอ๋อร์ตกใจจนทรุดลงกับพื้น ขณะกำลังคิดหาข้ออ้างอื่น ก็ได้ยินเสียงอุทานตกใจจากด้านหลัง ที่แท้ท่านอ๋องล้มลง ท่านอ๋องกุมอก ล้มลงกับพื้น ร่างสั่นกระตุกไม่หยุด ไม่เพียงสีหน้าซีดขาว แม้แต่ริมฝีปากก็ไร้เลือดฝาด ฮูหยิน
สีหน้าฮูหยินอ๋องเปลี่ยนไปมาระหว่างเขียวกับขาว จิตใจแทบจะจมดิ่งในความรู้สึกผิดและละอายใจไม่สิ้นสุด นางสารภาพด้วยน้ำเสียงสะอื้น "ซุ่ยฮวน แม่ผิดต่อเจ้า แม่เคยมืดบอดเกินไป ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเจ้า แม่รู้แล้วว่าผิด" สิบเจ็ดปีก่อน ฮูหยินอ๋องคิดว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์เป็นบุตรีแท้ ๆ ของตน จึงทุ่มเทเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แม้ภายหลังจะพบบุตรีแท้ ๆ คือเจียงซุ่ยฮวน แต่ในใจฮูหยินอ๋องก็ยังถือว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์เป็นบุตรีแท้ ๆ โดยไม่รู้ตัว จึงกีดกันเจียงซุ่ยฮวน วันนี้ฮูหยินอ๋องในที่สุดก็สำนึกได้ น้ำตาไหลรินไม่หยุดต่อหน้าเจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนมองฮูหยินอ๋องด้วยสีหน้าเรียบเฉย สำหรับการสารภาพที่มาสายเกินไปนี้ จิตใจนางสงบนิ่งไร้คลื่น เพราะคนที่ฮูหยินอ๋องควรขอโทษคือร่างเดิม และร่างเดิมก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นคำขอโทษของฮูหยินอ๋องจึงไม่มีวันได้รับการให้อภัย นางเผยอริมฝีปากแดง เอ่ยวาจาเสียงแหบเย็น "ฮูหยินอ๋อง คำขอโทษของท่านสายเกินไปแล้ว" "บุตรีแท้ ๆ ของท่าน ได้ตายใต้คมมีดของเจียงเม่ยเอ๋อร์ไปแล้ว" แม้คำพูดของเจียงซุ่ยฮวนจะเป็นความจริง แต่ฮูหยินอ๋องกลับคิดว่านางพูดด้วยความโกรธ จับมือนางแน่น ร้องไห้อย่าง
"เจียงซุ่ยฮวน แม่เจ้าอุ้มท้องสิบเดือนคลอดเจ้ามาก็ยากลำบากแล้ว เมื่อครู่นางขอโทษเจ้าต่อหน้าผู้คนมากมาย เจ้ายังไม่ให้อภัย นี่คือความอกตัญญู!" เจียงซุ่ยฮวนเอียงศีรษะ "หม่อมฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมายของฮองเฮา" "เราพูดชัดเจนถึงเพียงนี้ เจ้ายังมีอะไรไม่เข้าใจอีก?" เจียงซุ่ยฮวนจ้องฮองเฮาตรง ๆ "พระองค์หมายความว่า ไม่ว่าใครจะทำผิดร้ายแรงเพียงใด เพียงแค่ขอโทษจริงใจก็ควรให้อภัยใช่หรือไม่?" ฮองเฮารู้สึกว่าปฏิกิริยาของเจียงซุ่ยฮวนไม่ค่อยถูกต้อง แต่ก็ยังพยักหน้า "ถูกต้อง รู้ผิดแล้วแก้ไข ไม่มีสิ่งใดประเสริฐกว่านี้ คนเราควรมีจิตใจที่ให้อภัย" "อ๋อ เข้าใจแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนโบกมือเรียกนางกำนัลข้าง ๆ เมื่อนางกำนัลเดินมาใกล้ นางก็ยกมือขึ้นอย่างฉับพลัน ทำท่าจะตบหน้านางกำนัล นางกำนัลหลับตาปี๋ด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ แต่มือของนางหยุดอยู่ข้างแก้มนางกำนัล นางลดมือลง หันไปถามฮองเฮา "ฮองเฮา หากหม่อมฉันตบหน้านางกำนัลไปจริง ๆ แล้วเพียงพูดคำว่าขอโทษ นางก็ต้องให้อภัยหม่อมฉันใช่หรือไม่?" ฮองเฮานิ่งอึ้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตรัส "ก็แค่นางกำนัลเท่านั้น" "นางกำนัลก็คน หม่อมฉันก็คน หม่อมฉันไม่ได้ตบลงไปจริง แต่ 'การ
เจียงซุ่ยฮวนยืนอยู่ห่างออกไป จึงได้แต่อ่านริมฝีปากขององค์หญิงจิ่นซิ่วว่านางกำลังพูดอะไร องค์หญิงจิ่นซิ่วกล่าวประมาณว่า "เสด็จอา หม่อมฉันจัดสุราและอาหารไว้ที่ศาลาแล้ว ท่านจะร่วมชมหิมะและดื่มสุราสักถ้วยกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?" ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังสงสัยว่ากู้จิ่นจะตอบว่าอย่างไร นางรำโบกแขนเสื้อผ่านมาตรงหน้า บดบังสายตานาง นางก้มหน้าหัวเราะที่ตนเองช่างชอบสอดรู้สอดเห็น ดื่มน้ำชาในถ้วยจนหมดแล้วลุกออกจากท้องพระโรง กู้จิ่นก้มมององค์หญิงจิ่นซิ่ว ขมวดคิ้วกล่าว "อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดจึงอยากชมหิมะ?" องค์หญิงจิ่นซิ่วชะงัก พึมพำว่า "แต่...มันช่างมีบรรยากาศเหลือเกินเพคะ..." "ข้าเป็นคนหยาบ ไม่เข้าใจบรรยากาศเช่นนั้น" กู้จิ่นเอ่ยเสียงเย็นชาดุจสายน้ำ ก้าวเดินผ่านองค์หญิงจิ่นซิ่วไป นางรำที่อยู่ตรงหน้าโบกแขนเสื้อเดินจากไป เผยให้เห็นที่นั่งของหมอหลวงที่ว่างเปล่า ฝีก้าวของกู้จิ่นไม่มีแม้แต่จังหวะชะงัก เดินตรงออกจากท้องพระโรงไป องค์หญิงจิ่นซิ่วจ้องมองเงาร่างของกู้จิ่น กระทืบเท้าด้วยความแค้นใจ หยิบถ้วยสุราขึ้นดื่มพลางร้องไห้ หิมะด้านนอกสูงถึงน่อง แต่กู้จิ่นเดินบนหิมะราวกับเดินบนพื้นราบ
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช