เจียงเม่ยเอ๋อร์เพิ่งคลอดบุตรเสร็จ ร่างกายอ่อนแรงยิ่งนัก นอนอยู่บนเตียงดวงตาเลื่อนลอยราวกับจะหมดสติลงทุกเมื่อนางกำนัลสองคนยืนก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ รอคำสั่งจากเจียงซุ่ยฮวนอย่างเงียบ ๆ ภายในห้องเงียบสงัดชั่วขณะ เจียงซุ่ยฮวนมองทารกบนเตียงด้วยความเงียบงัน ทารกนี้มีศีรษะใหญ่ราวเท่ากระด้ง แขนขาสั้นเตี้ย ใบหน้าแปลกประหลาด ไม่มีตาขาว มีเพียงนัยน์ตาสีดำสนิททั้งดวง มีรูจมูกถึงสามรู ผิวทั่วทั้งร่างเป็นสีเขียวซีด น่าสยดสยองยิ่งนัก แม้เจียงซุ่ยฮวนจะทำใจไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้เห็นเข้าจริงกลับยังอดขนลุกไม่ได้นางเคยเห็นทารกพิการมามากมาย แต่ไม่เคยเห็นทารกที่มีรูปลักษณ์วิปลาสถึงเพียงนี้ช่างแปลกนัก เจียงเม่ยเอ๋อร์กับฉู่เจวี๋ยไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แล้วเหตุใดจึงให้กำเนิดทารกที่พิกลพิการเช่นนี้ แม้รูปลักษณ์จะน่าสะพรึง แต่ทารกน้อยผู้นี้ก็ร้องไห้เสียงดังตั้งแต่ลืมตาดูโลก อาการทั่วไปไม่แตกต่างจากเด็กแรกเกิดนักเจียงซุ่ยฮวนส่ายหน้า เด็กทารกผู้นี้ไม่เพียงมีหน้าตาที่ผิดปกติ ร่างกายก็บิดเบี้ยวผิดรูปเช่นกัน ท่าทางจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานสีหน้านางดูหนักใจ แต่ก็ยังฝืนทนความรู้สึกไม่สบายใจไว้เพี
"แต่เรากลับได้ยินเสียงคนร้องว่า 'ผี' เกิดอะไรขึ้นกันแน่" ฝ่าบาทตรัสถามอีกครั้ง ทุกคนในลานล้วนได้ยินเสียงร้องของนางกำนัล แต่ละคนมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป เป็นเพียงการคลอดบุตรไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงเห็นผีได้ เจียงซุ่ยฮวนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนทูลว่า "หม่อมฉันคิดว่าหากฝ่าบาททอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ก็จะเข้าใจทุกอย่างเพคะ" หลิวกงกงก้าวออกมารับห่อผ้าไป นำไปวางต่อพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮา ผ้าห่อทารกยาวเกินไป ปิดบังใบหน้าเด็กไว้ ขณะที่หลิวกงกงกำลังจะเปิดผ้าออก เจียงซุ่ยฮวนรีบเอ่ยเตือนว่า "ทารกผู้นี้มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดอยู่บ้าง ขอฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดทรงเตรียมพระทัยก่อนเพคะ" ฮองเฮาแค่นเสียงเย็นชา "ก็แค่ทารกน้อยเท่านั้น จะแปลกประหลาดไปถึงไหนกัน หลิวกงกง เปิดให้เราดูเด็กให้ชัด ๆ" "อีกอย่าง นี่คือพระราชนัดดาองค์แรกของฝ่าบาท ต่อไปก็ต้องเป็นรัชทายาท" เจียงซุ่ยฮวนถอยไปยืนด้านข้าง นางรับผิดชอบเพียงเรื่องการทำคลอด หลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของนางอีกแล้วหลิวกงกงค่อย ๆ เปิดห่อผ้าต่อหน้าทุกคน เผยให้เห็นทารกที่มีรูปลักษณ์ประหลาดพิสดารอย่างยิ่ง ฮองเฮาเพียงทอดพระเนตรแวบเดียว ก็ถอยหลังโซเซ หากไม่
ฮ่องเต้ทรงนิ่งเงียบ สีพระพักตร์เคร่งเครียด มิได้ตรัสอันใดพระองค์ทรงต้องการสั่งประหารเด็กคนนี้ต่อหน้าธารกำนัล แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ราษฎรคงจะเห็นว่าพระองค์โหดร้ายไร้น้ำพระทัย ถึงกับฆ่าพระราชนัดดาของพระองค์เอง ฮองเฮาก็ทรงเงียบเช่นกัน พระนางเพิ่งตรัสว่าเด็กคนนี้จะเป็นรัชทายาทในอนาคต แต่กลับต้องพบกับความจริงที่ตรงกันข้าม จึงได้แต่เม้มพระโอษฐ์ไม่ตรัสสิ่งใด ในห้อง ฉู่เจวี๋ยนอนอยู่ข้างเจียงเม่ยเอ๋อร์ พลางเรียกชื่อนางด้วยความเป็นห่วง นางเพิ่งฟื้นคืนสติ ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง ก็ได้ยินเสียงโกลาหลด้านนอก จึงถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า "เหตุใดข้างนอกจึงอึกทึกนัก" ฉู่เจวี๋ยใส่ใจแต่เจียงเม่ยเอ๋อร์ ไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงข้างนอกเลย จึงตอบไปอย่างลวก ๆ ว่า "ไม่รู้ คงเป็นเพราะเสด็จพ่อทอดพระเนตรบุตรของเรา ทรงปลาบปลื้มมากกระมัง" "เม่ยเอ๋อร์ เจ้าให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์แรกแก่เสด็จพ่อ พระองค์คงไม่ลงโทษเจ้าแล้ว อาจจะพระราชทานรางวัลให้เจ้าด้วยซ้ำ" "จริงหรือ" เจียงเม่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ดีใจยิ่ง จึงเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอกอย่างตั้งใจ "ทูลฝ่าบาท ทรงประหารบุตรของพระชายาวังหนานหมิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" "
นางย่องไปด้านหลังฉู่เจวี๋ยอย่างไม่ให้ผู้ใดสังเกต หยิบตัวดักแด้คุณไสยจากห้องทดลอง ฉวยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันระวัง รีบวางมันลงบนตัวฉู่เจวี๋ย ตัวดักแด้คุณไสยที่เดิมอยู่นิ่ง พอถูกวางบนตัวฉู่เจวี๋ยก็มีชีวิตชีวาขึ้นทันที มันไต่ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แทรกเข้าไปในผิวหนังที่ต้นคอด้านหลังของฉู่เจวี๋ย ดักแด้คุณไสยจะฟักตัวในร่างของฉู่เจวี๋ย เมื่อถึงวันที่มันแตกออกเป็นผีเสื้อ ก็จะเป็นวันที่ฉู่เจวี๋ยสิ้นชีวิต เมื่อฉู่เจวี๋ยตาย ผลข้างเคียงของเสน่ห์ยาแฝดก็จะหายไป ถึงเจียงเม่ยเอ๋อร์จะตั้งครรภ์ได้อีก ก็ไม่มีทางท้องบุตรของฉู่เจวี๋ยได้อีก แต่หากเจียงเม่ยเอ๋อร์ตายก่อน ดักแด้คุณไสยก็จะตายไปด้วย กล่าวง่าย ๆ คือสองคนนี้จะมีชีวิตรอดได้เพียงคนเดียว มุมปากเจียงซุ่ยฮวนยกขึ้นเล็กน้อย ดักแด้คุณไสยต้องวางไว้บนตัวคนที่เจียงเม่ยเอ๋อร์คุ้นเคย ช่างบังเอิญเสียจริง ฉู่เจวี๋ยกับเจียงเม่ยเอ๋อร์ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกคืน ย่อมเป็นคนที่คุ้นเคยที่สุด สองคนนี้เคยทำร้ายนางอย่างร้ายแรง บัดนี้ถึงเวลาต้องชดใช้แล้ว เจียงเม่ยเอ๋อร์ใช้ผ้าอ้อมห่อทารกไว้แน่น จนมองไม่เห็นใบหน้าทารก มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น ใจของนางจึงจะรู้สึกดีขึ้
เจียงเม่ยเอ๋อร์เดินเข้าห้องไปโดยไม่หันมามอง ฉู่เจวี๋ยอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขน เขาค่อยๆ คลี่ผ้าห่อตัวออกแล้วมองดูใบหน้าของเด็กทารก ฉู่เจวี๋ยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด คนอื่นต่างพากันเห็นว่าทารกคนนี้อัปลักษณ์น่ากลัวนักหนา แต่เขากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารักน่าชังอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีดำสนิทของทารกเปล่งประกายประหลาด จ้องมองเขาไม่กะพริบ แล้วร้อง "อุแว้" เสียงดังลั่น ฉู่เจวี๋ยไม่เคยปลอบเด็กมาก่อน จึงทำตัวไม่ถูกในฉับพลัน เขาอยากถามแม่นมว่าต้องทำอย่างไร แต่แม่นมและนางกำนัลต่างหลบหนีกันออกไปไกล ไม่กล้าเข้ามาใกล้แม้แต่คนเดียว เขาโกรธจัด จึงตวาดขึ้นว่า "พวกเจ้าหายหัวไปไหนกันหมด ไม่เห็นหรือว่าองค์ชายน้อยกำลังร้องไห้ รีบมาหาข้าเดี๋ยวนี้!" แม่นมและนางกำนัลรีบคุกเข่าลง แม่นมกล่าวอย่างหวาดกลัว "ขอองค์ชายโปรดทรงอภัย องค์ชายน้อยแตกต่างจากคนทั่วไป ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเพคะ""พวกบ้า ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำไม!" ดวงตาฉู่เจวี๋ยฉายวาบขึ้นด้วยความโกรธ แล้วตะโกนสั่งองครักษ์ "จับแม่นมแก่นี่กับพวกนางกำนัลไปโยนให้ฝูงหมาป่ากิน!" บนภูเขาเพิ่งมีหิมะตกหนัก ตอนนี้ฝูงหมาป่ากำลังหิวโซ หากถูกโยนออกไปตอนนี้
หลังจากฉู่เจวี๋ยส่งทารกให้แม่นมแล้ว ก็ถูกฝ่าบาทเรียกตัวไป แม้ว่าแม่นมจะไม่เต็มใจเพียงใด ก็ต้องกลั้นความหวาดกลัวไว้ในใจ อุ้มทารกไปยังห้องพระเครื่องต้น ยามนี้ไม่ใช่เวลาอาหาร ห้องพระเครื่องต้นจึงว่างเปล่า แม่นมตั้งใจจะส่งทารกให้องครักษ์อุ้ม เพื่อที่ตนเองจะเข้าไปหานมวัว แต่พวกองครักษ์ต่างก็ปฏิเสธ อ้างว่าตนเองไม่รู้จักควบคุมน้ำหนักมือ เกรงจะทำร้ายเด็ก แม่นมรู้ว่าพวกเขากลัวจึงไม่กล้าอุ้ม แต่ก็ไม่กล้าทะเลาะกับองครักษ์ เลยได้แต่ถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยความหงุดหงิด แล้วอุ้มทารกเข้าไปในห้องพระเครื่องต้นเอง แม่นมไม่คุ้นเคยกับห้องพระเครื่องต้น แถมอุ้มเด็กไปหาของไปก็ไม่สะดวก จึงวางทารกไว้บนเขียงแล้วเดินไปค้นหาที่ด้านข้าง ขณะที่แม่นมหันหลังให้ทารก เพื่อไปค้นหานมวัวอยู่นั้น อาเซียงก็ปีนเข้ามาทางหน้าต่างอีกด้าน แอบย่องไปที่ด้านข้างเขียงอย่างเงียบ ๆ นางสวมชุดขาว สวมหมวกปีกกว้างสีขาวและผ้าคลุมหน้า เพื่อจะได้ไม่เป็นที่สังเกตเมื่อเดินบนหิมะ "เจอแล้ว!" แม่นมหยิบไหนมวัวออกมาจากตู้ พอหันกลับมาก็เห็นอาเซียงถือมีดจ้องจะแทงทารก แม่นมตาเบิกโพลง ทำไหในมือหล่น "ช่วยด้วย! มีคนจะฆ่าปีศาจน้อย...เอ่อ...รัช
เมื่อพ้นอันตราย อาเซียงไม่สนใจแขนที่บาดเจ็บของตน รีบกลับไปยังตำหนักของพระสนมจีกุ้ยเฟย "พระสนมเพคะ บ่าวทำงานไม่สำเร็จ ขอพระสนมลงโทษด้วยเพคะ!" อาเซียงคุกเข่าลงพลางกล่าวตำหนิตนเอง พระสนมจีกุ้ยเฟยไม่เอ่ยวาจา ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ผ่านไปนานจึงถามขึ้นว่า "เจ้าว่าห้องพระเครื่องต้นเกิดไฟไหม้ขึ้นกะทันหันเช่นนั้นหรือ" "เพคะ ใกล้ ๆ กับที่เก็บเสบียง" "แปลกนัก อยู่ดี ๆ จะเกิดไฟไหม้ได้อย่างไร หรือว่ามีคนช่วยเจ้าอยู่" พระสนมจีกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว นั่นหมายความว่ามีคนนอกรู้เรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย อาเซียงตกใจ กล่าวว่า "แต่พระสนมเพคะ ตอนนั้นในห้องพระเครื่องต้นไม่มีคนอื่นอยู่ พวกองครักษ์และองครักษ์เสื้อแพรอยากจับตัวบ่าวไปรับรางวัล จะช่วยบ่าวได้อย่างไรเพคะ" "บางทีอาจเป็นเพราะตอนต่อสู้ทำให้ประกายไฟจากเตาไฟกระเด็นไปถูกของในมุมห้อง จึงเกิดไฟไหม้" อาเซียงคาดเดา "ที่เจ้าพูดก็ถูกอยู่นะ" พระสนมจีกุ้ยเฟยพยักหน้า แล้วกล่าวต่อ "เจ้าไปหาหมอหลวงเจียงให้รักษากระดูก ช่วงนี้พักฟื้นให้ดี อย่าไปยุ่งกับเรื่องใดทั้งสิ้น" "พระสนม พระสนมติดค้างบุญคุณหมอหลวงเจียงไว้แล้ว บ่าวไม่อยากสร้างความลำบากให้พระ
สวี่เหนียนถามอย่างดีใจ "จริงหรือท่านหมอเจียง ข้าน้อยจะได้กลับไปเฝ้าพระสนมแล้วหรือ" เขาตื่นเต้นจนลืมระวังตัว เมื่อเอ่ยถึงพระสนมจีกุ้ยเฟย ดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร แต่เขาก็รู้ตัวในทันทีว่าท่าทีตนเองแสดงออกชัดเจนเกินไป จึงรีบชำเลืองมองเจียงซุ่ยฮวนด้วยความระแวดระวัง"ตอนนี้ยังไม่ได้ ร่างกายเจ้ายังต้องพักฟื้นอีกสองวันจึงจะออกไปได้ ข้าจะฝังเข็มให้เจ้าอีกครั้ง" เจียงซุ่ยฮวนหยิบเข็มมา พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ดูเหมือนพระสนมจะปฏิบัติต่อเจ้าดีมาก ถึงจะป่วยหนักขนาดนี้ก็ยังไม่คิดพักผ่อน กลับใจจดใจจ่ออยากกลับไปอยู่ข้างพระสนม" สวี่เหนียนหัวเราะแห้ง ๆ สองที "ใช่ขอรับ พระสนมเมตตาพวกเราผู้เป็นบ่าวเสมอมา" "เรื่องนี้จริง หากเป็นคนอื่นเป็นโรคนี้ ป่านนี้คงอยู่ในป่าช้าไปแล้ว แต่พระสนมไม่เพียงจัดที่พักดี ๆ ให้เจ้า ยังเชิญข้ามารักษาเจ้า เห็นได้ชัดว่าพระสนมดีต่อเจ้ามาก" เจียงซุ่ยฮวนพับแขนเสื้อ เริ่มฝังเข็มให้เขา เจียงซุ่ยฮวนเพียงพูดลอย ๆ แต่กลับทำให้ใบหน้าของสวี่เหนียนเปลี่ยนสีทันทีนางเก็บเข็มเงินแล้วลุกขึ้นพูด "เจ้าพักอีกสองวัน เมื่อทางลงเขาโล่งแล้ว เจ้าก็จะได้ลงเขาพร้อมพระสนม" "ท่านหมอเจียง โปรดร
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช