ในห้วงแห่งคลื่นลมมรสุมครานี้ หาใช่เพียงแค่จีกุ้ยเฟยที่ถูกพัดพา หากแม้แต่ฝ่าบาทก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกันจีกุ้ยเฟยร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รู้ใจหม่อมฉันที่สุด หม่อมฉันแม้แต่ยุงตัวหนึ่งยังมิกล้าฆ่า แล้วเหตุใดเลยจะกล้าปลงพระชนม์ฮองเฮา”ฝ่าบาทกุมสันจมูกด้วยความระอา เขามิได้ใส่ใจว่าจีกุ้ยเฟยจะลอบปลงพระชนม์ฮองเฮาหรือไม่ หากแต่กังวลเพียงว่าคำพูดของชาวราษฎร์จะกระทบต่อเกียรติยศหรือไม่เท่านั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “เราเชื่อเจ้า แต่หากเหล่าราษฎร์ไม่เชื่อ แล้วจะมีประโยชน์อันใด”จีกุ้ยเฟยแสดงสีหน้าเวทนาน่าเอ็นดู กล่าวเบา ๆ ว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งใต้หล้า หากทรงกล่าวด้วยพระองค์เอง ประชาราษฎร์ย่อมต้องเชื่อเป็นแน่”“เช่นนั้นเจ้าลองบอกเราสิ ว่าควรอธิบายเรื่องการปกปิดข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาเยี่ยงไร” ฝ่าบาทย้อนถามจีกุ้ยเฟยขยับริมฝีปากเล็กน้อย ทว่าหาได้เอื้อนเอ่ยคำใดฝ่าบาทผลักนางออก พูดอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “เจ้ากลับตำหนักไปก่อนเถิด เราเหนื่อยแล้ว”แววตาจีกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทผลักนางออก แสดงให้เห็นว่าเ
เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ท่านเห็นว่าข้าต้องการสิ่งใด ก็มอบสิ่งนั้นให้ข้า”“เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ...” ฉู่เฉินลูบคางอย่างครุ่นคิด อยู่ดีๆ ดวงตาก็สว่างวาบขึ้น “ข้ารู้แล้ว!”เขาท่าทางตื่นเต้นนัก รีบร้อนจะออกไป เจียงซุ่ยฮวนร้องเรียกไว้ว่า “อาจารย์ อย่าได้ทำท่าดีใจเกินไปนัก”“อ้อ จริงด้วย เกือบลืมไป” เขารีบเก็บรอยยิ้ม บีบน้ำตาสองหยด แล้วจึงก้าวออกไปช่วงหลายวันมานี้ ชาวบ้านยามว่างหลังมื้ออาหารล้วนกล่าวถึงเรื่องไฟไหม้ของจวนองค์ชายเป่ยโม่กันทั้งสิ้น“องค์ชายเป่ยโม่ยังหนุ่มยังแน่นและมีความสามารถ กลับต้องมาสิ้นเพราะไฟไหม้ น่าเสียดายยิ่งนัก”“น่าเสียดายอะไรกัน องค์ชายเป่ยโม่เย็นชาแข็งกระด้าง ใช้วิธีการโหดเหี้ยม ทำให้ผู้คนต่างครั่นคร้าม สมควรแล้วที่ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้”“ถ้อยคำของท่านนั้นผิดไป องค์ชายเป่ยโม่แม้จะเย็นชา แต่ก็มิได้ร้ายต่อราษฎร”ที่โต๊ะหนึ่งในหอเยว่ฟางมีผู้คนถกเถียงกันเรื่ององค์ชายเป่ยโม่จนถึงกับแทบจะลงไม้ลงมือกันทีเดียวมีคนผู้หนึ่งเดินผ่าน พลางกล่าวขึ้นโดยมิได้ใส่ใจว่า “เรื่องขององค์ชายเป่ยโม่ กล่าวไปแล้วก็เป็นเรื่องของฟ้าลิขิต จะถกเถียงไปใย”“หากจะให้ข้ากล่าว
หงหลัวกล่าวว่า “ผู้คนทั่วหล้าต่างร่ำลือกันว่า จวนองค์ชายเป่ยโม่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ฝ่าบาททรงส่งคนออกตามหาตลอดทั้งคืน แต่กลับพบเพียงร่างไร้วิญญาณขององค์ชายเป่ยโม่เท่านั้น”ฉู่เฉินยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง คิดไปคิดมายิ่งรู้สึกผิดแปลกนัก จึงย่ำเท้าวิ่งตรงไปยังห้องพักของเจียงซุ่ยฮวนเขาเคาะประตูอย่างแรง “เจ้าเก้า! ตื่นเถิด!”เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ จนช่างทั้งหลายที่ทำงานอยู่ถึงกับหันมามองเป็นตาเดียวเสี่ยวถังหยวนในห้องถัดไปก็ถูกปลุกจนร้องไห้ออกมาฉู่เฉินชะงักมือ เสียงของเขาก็ลดต่ำลงในทันที “เจ้าเก้า ออกมาชี้แจงให้อาจารย์เข้าใจหน่อยเถิด”เจียงซุ่ยฮวนเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าเรียบสงบ เอ่ยถามว่า “จะให้ข้าอธิบายสิ่งใดหรือ”“คำพูดที่พวกเจ้าเอ่ยเมื่อวานนั้น แท้จริงมีความหมายเช่นไรกันแน่” ฉู่เฉินหรี่ตา “ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันผิดแปลกนัก เมื่อวานเจ้าบุกเข้าไปในจวนองค์ชายเป่ยโม่ ข้าเห็นชัดว่าเจ้าถูก…”เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเจียงซุ่ยฮวนดึงตัวเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูลงดังปังช่างทั้งหลายเกาศีรษะด้วยความงุนงง แต่ก็หันกลับไปทำงานต่อ เรือนนี้ใกล้จะแล้วเสร็จอีกเพียงสองวันก็สา
ไม่รู้ว่าองค์รักษ์ทั้งสี่กลับมาเมื่อใด แต่ละคนล้วนดูมอมแมมไม่แพ้กัน ร่างเปื้อนฝุ่นผงจนดูแทบไม่ออกว่าเดิมทีหน้าตาเป็นอย่างไรหากแต่ผู้ที่ดูอนาถยิ่งกว่ากลับเป็นชางอี้และฉู่เฉิน เสื้อผ้าบนร่างถูกเปลวเพลิงเผาจนขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเองก็ไหม้เกรียมจนดำเป็นปื้นเจียงซุ่ยฮวนชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าเข้าไปในจวนองค์ชายเป่ยโม่แล้วหรือ”ชางอี้และฉู่เฉินนั่งยองอยู่ตรงขั้นบันได พยักหน้ารับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนไป๋หลีที่ยืนอยู่ด้านข้างถอนใจอย่างจนใจ “พวกเขาคิดจะลอบเข้าทางประตูหลังเพื่อไปหาท่าน ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ถูกรั้วใหญ่ที่พังลงมาทับเสียก่อน”ลิ่วลู่กล่าวเสริม “สุดท้ายก็พวกข้านี่แหละที่วิ่งเข้าไปดึงตัวทั้งสองออกมา”ฉู่เฉินลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน พลางว่า “ใครจะไปคิดว่าประตูหลังของจวนองค์ชายเป่ยโม่จะอ่อนปวกเปียก แค่เตะทีเดียวก็ล้มพับแล้ว”เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถาม “แล้วบาดเจ็บหรือไม่”“ไม่ ข้าสองคนหนังหนาเนื้อหยาบ ไม่บาดเจ็บง่าย ๆ ” ฉู่เฉินยิ้มกว้าง “เดิมทีข้ายังคิดจะเข้าไปช่วยเจ้า แต่แล้วก็มีองครักษ์ลับโผล่มาบอกว่า องค์ชายเป่ยโม่ช่วยเจ้าออกมาแล้ว”“ตอนนั้นแหละ ข้าจึงค่อยคลายใจ” ฉู่เ
ครั้นกล่าวจบ เขาก็หยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมา วางลงบนฝ่ามือของเจียงซุ่ยฮวนอย่างเคร่งขรึมเจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามว่า “กุญแจอะไรหรือ”“กุญแจคลังสมบัติ ตั้งแต่นี้ไป เจ้าเป็นนายหญิงแห่งคลังนี้แล้ว” กู้จิ่นจ้องตานาง เอื้อนเอ่ยอย่างจริงจังนางรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้! สิ่งนี้ล้ำค่ายิ่งนัก!”สิ่งของในคลังล้วนล้ำค่าเหนือคำประมาณ หากพลาดพลั้งทำเสียหาย นางจะเอาสิ่งใดมาชดใช้ได้เล่า!กู้จิ่นเห็นท่าทางตื่นตระหนกของนาง จึงประคองมือนางไว้ด้วยความอ่อนโยน แล้วโน้มกายจุมพิตอย่างนุ่มนวลรสจูบแผ่วเบายืดยาว กู้จิ่นกล่าวเสียงนุ่ม “เช่นนั้นก็ขอมอบให้เจ้าดูแล”“ในภายภาคหน้า คลังนี้จักเป็นของชายาข้า ดังนั้นเจ้าต้องดูแลรักษาไว้ให้ดี”เจียงซุ่ยฮวนรับกุญแจมาเก็บไว้ “ก็ได้ เช่นนั้นข้ายอมลำบากเก็บรักษาไว้ให้ท่านช่วงหนึ่งแล้วกัน”“ขอบใจเจ้ามาก อาฮวน” กู้จิ่นลูบศีรษะนางเบา ๆ “ข้าจำต้องไปแล้ว”นางเอ่ยถามด้วยใจอาวรณ์ “ต้องไปวันนี้จริงหรือ”“เวลาเร่งรัด ยากจะถ่วงรั้งได้” กู้จิ่นลูบเส้นผมนางเบา ๆ “อาฮวน รอจนเรื่องทุกสิ่งคลี่คลาย ข้าจักอยู่ข้างเจ้าไม่ห่าง”“จริงหรือ” เจียงซุ่ยฮวนเอียงศีรษะถาม “ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด ท่านจะ
“แคว้นเหลียงตูตูนั้นอำนาจแข็งแกร่ง แต่วังหลวงกลับซับซ้อนยิ่งนัก ข้าจำต้องปักหลักมั่นคงในแคว้นเฟิ่งซีเสียก่อน จึงจะสามารถก้าวสู่แผนการถัดไปในแคว้นเหลียงตูได้”“เมื่อใดที่ข้าขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเหลียงตูโดยสมบูรณ์ ข้าจักนำทัพไปกวาดล้างต้าเหยียนด้วยมือของตนเอง”น้ำเสียงของกู้จิ่นเรียบนิ่ง ทว่าแฝงไว้ด้วยเจตนาสังหารอันเย็นยะเยือกเจียงซุ่ยฮวนเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนโผเข้ากอดคอกู้จิ่น “หรือว่า...ให้ข้าไปกับท่านด้วยดีหรือไม่”กู้จิ่นแค่นหัวเราะขื่น “อาฮวน เส้นทางสายนี้ทั้งยากลำบากและไกลโพ้น เจ้าจะต้องเหนื่อยนัก”“มิเป็นไร ข้ามิหวั่นเหน็ดเหนื่อย” เจียงซุ่ยฮวนจ้องเขาแน่วแน่เขาถอนใจ “แล้วเสี่ยวถังหยวนเล่าจะทำเยี่ยงไร”เจียงซุ่ยฮวนมิอาจตอบคำถามนี้ได้ เสี่ยวถังหยวนยังเยาว์วัย ไม่อาจทนต่อการเดินทางอันเหนื่อยล้า หากให้อยู่ในเมืองหลวงนางก็เป็นห่วงมิใช่น้อย สุดท้ายก็จำต้องตัดใจจากความคิดนี้ครู่หนึ่งแสงสว่างสีขาวก็ส่องมาจากปลายทางอุโมงค์ลับ เจินเป่าเก๋อกำลังจะถึงแล้วเจียงซุ่ยฮวนโอบกู้จิ่นแน่น ยามคิดว่าอีกนานนักกว่าจะได้พบเขาอีก ใจของนางดุจมีสิ่งใดมาจุกแน่น รู้สึกหดหู่ยิ่งนักกู้จิ่นเองก็กอดน