ทหารยามสูดลมหายใจเฮือก รีบเปิดประตูวังให้ผ่าน ไป๋หลี่เก็บมือกลับ เตรียมเก็บป้ายเข้าอกเสื้อเจียงซุ่ยฮวนอยากรู้จึงถาม "เจ้าถือป้ายอะไร? เหตุใดทหารยามเห็นแล้วกลัวนัก?" "เชิญพระชายาดู" ไป๋หลี่ส่งป้ายให้นาง เมื่อนางรับมาดูก็พบว่าเป็นป้ายว่างเปล่า ไม่มีตัวอักษรใด ๆ "เหตุใดบนนี้จึงไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว?" เจียงซุ่ยฮวนคืนป้ายให้ "ทูลพระชายา นี่เป็นเพียงป้ายธรรมดา ไม่มีประโยชน์ใด ๆ" ไป๋หลี่เก็บป้าย กล่าวเรียบ ๆ "ทหารยามกลัวเพราะเขาเป็นน้องชายข้า สมัยเด็กข้าตีเขาไม่น้อย" "เขากลัวข้า ไม่ใช่กลัวป้าย" "..." มุมปากเจียงซุ่ยฮวนกระตุก "เช่นนั้น น้องชายเจ้าก็เป็นคนขององค์ชายด้วยหรือ?" "ใช่" รถม้าหยุดที่หน้าตำหนักของจีกุ้ยเฟย เจียงซุ่ยฮวนบอกไป๋หลี่ "เจ้าลงรถก่อน ข้าจะลงตามไป" "เพคะ” หลังไป๋หลี่ลงรถ เจียงซุ่ยฮวนนำกล่องออกจากห้องทดลอง อุ้มกล่องลงจากรถ "คุณหนู ให้ข้าถือไว้ดีกว่า" ไป๋หลี่เข้ามารับกล่องไป เปลี่ยนคำเรียกอย่างเป็นธรรมชาติ เจียงซุ่ยฮวนเหลียวมองรอบด้าน หาร่างของอาเซียง อาเซียงไม่อยู่ที่นี่ นอกตำหนักมีเพียงนางกำนัลน้อยสองคน นางเดินไปหานางกำนัลน้อย "จีกุ้ยเฟยอยู่
ชายผู้นี้ไม่ทราบว่าไม่ได้ดื่มน้ำมานานเท่าใด เสียงจึงแหบแห้ง ฉู่อี้ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา ค่อย ๆ เดินเข้าไปทีละก้าว เมื่อเห็นฉู่อี้ไม่มีปฏิกิริยา เขาจึงพุ่งไปที่ประตูคุก สองมือจับลูกกรงเหล็กเย็นเฉียบแน่น "เจ้าขังข้าไว้ที่นี่ แท้จริงต้องการทำอะไร?" "เฮ้ย! พูดอะไรสักคำสิ!" ฉู่อี้นิ่งเงียบวางกล่องไว้ที่มุมห้อง หมุนตัวเดินกลับ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหลือบมองเขาแม้แต่ครั้งเดียว เขาร้องเรียกอย่างร้อนรน "อย่าเพิ่งไป แม้ไม่อยากคุยกับข้า อย่างน้อยก็หาผ้าห่มมาให้ด้วย" "คุกใต้ดินนี้ทั้งหนาวทั้งชื้น นอกจากหินก็มีแต่ก้อนดิน แม้แต่ฟางสักเส้นก็ไม่มี หากข้าหนาวตายจะทำเช่นไร?" เมื่อเห็นฉู่อี้ยังคงเงียบ เขาจึงปล่อยมือด้วยความโกรธ ถีบลูกกรงหนึ่งที "ช่างน่าชัง เจ้ากับแม่ของเจ้าช่างใจดำเหมือนกัน!" เมื่อได้ยินคำนี้ ฉู่อี้หยุดฝีเท้า หันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา "หากเจ้าสงบเสงี่ยม เมื่อข้าจัดการธุระเสร็จก็จะปล่อยเจ้าไป" "หากเจ้ายังพูดพล่าม ข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต"ขณะที่ฉู่อี้กล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับทำให้คนในคุกรู้สึกหนาวสะท้านในใจ เขาอุทานด้วยความตกใจ "เจ้าทำเช่นนี้ ไม
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนได้รับสิ่งที่นางปรารถนาแล้ว หัวใจเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ นางจึงมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บของ เลือกยาสมุนไพรมาสองหีบ แล้วสั่งให้ไป๋หลี่ขนออกมา เมื่อหมอหลวงเมิ่งเห็นสมุนไพรเหล่านั้น มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย แล้วหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนเอ่ยว่า "กระเพาะกบหิมะ เขากวางอ่อน ถั่งเช่า... สมดังคาด หมอหลวงเจียงเอาแต่ของดีไปทั้งนั้น" "ท่านชมข้ามากเกินไปแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างหน้าด้าน ๆ สมุนไพรเหล่านี้หากอยู่ที่อื่นล้วนหายากยิ่ง แต่ในวังกลับมีมากมายจนกินไม่หมด อย่างไรเสีย กินไม่หมดก็เป็นการสูญเปล่า สู้นางเอากลับไปไว้ที่ห้องทดลองดีกว่า บางทีอาจทำให้ห้องทดลองได้รับการยกระดับอีกครั้ง ก่อนจากไป เจียงซุ่ยฮวนเดินไปหาชุนเถา กล่าวว่า "ข้าจะกลับก่อน หากเจ้าอยากกลับ ก็บอกให้ฝูหลิงส่งเจ้ากลับ" "เพคะ อาจารย์" ชุนเถาเช็ดเหงื่อแล้วกล่าวว่า "อาจารย์เพคะ หม่อมฉันได้เรียนรู้หลายสิ่งที่นี่ ไม่ถือว่ามาเปล่าประโยชน์เลย" "เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว" เจียงซุ่ยฮวนชี้ที่รอยคล้ำใต้ตาของนาง "หากเจ้าเหนื่อยก็พักเสียบ้าง อย่าฝืนตัวเอง" "เพคะ" ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะจากไป จู่ ๆ หม้อยาบนเตาข้าง ๆ ก็ดึ
เจียงซุ่ยฮวนเปลี่ยนทิศทาง เดินไปยังโรงเก็บของ นางอยากรู้ว่ามีของมากเพียงใด เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเก็บของ เจียงซุ่ยฮวนจึงตระหนักว่า เจียงอวี่ผู้นี้แม้จะดื้อรั้น แต่คำพูดนั้นให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ยิ่งนัก เขาบอกว่าจะส่งของพระราชทานมาให้ทั้งหมด ก็ส่งมาจริง ๆ ทั้งหมด โรงเก็บของที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร บัดนี้ถูกบรรจุจนแน่น แทบไม่มีที่ให้วางเท้า นางสุ่มเปิดหีบใบหนึ่ง ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องเพชรอัญมณี แม้จะไม่ล้ำค่าเท่าของที่กู้จิ่นส่งมาให้ แต่รวมกันแล้วก็มีค่าไม่น้อย มองดูของตรงหน้าเหล่านี้ เจียงซุ่ยฮวนค่อย ๆ ปิดหีบลง ภาวนาในใจให้ใจเย็นลง อย่าได้ลืมความพากเพียรเพราะร่ำรวยขึ้น... ตื่นขึ้นมาอีกที หิมะก็หยุดตกแล้ว ลานบ้านปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ราวกับอยู่ในดินแดนหิมะ เจียงซุ่ยฮวนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ร้องบอกยวี่จี๋ "เตรียมรถม้า ข้าจะไปจวนอ๋องเป่ยโม่สักหน่อย" หยิ่งเถาวิ่งออกมาถาม "คุณหนูเพคะ จะพาหม่อมฉันไปด้วยได้หรือไม่?" "เจ้าอยากไปด้วยหรือ?" "เพคะ" หยิ่งเถาพยักหน้าหลายครั้ง "หม่อมฉันเคยพักอยู่ที่จวนอ๋องเป่ยโม่นานมาก ผู้คนที่นั่นดูแลหม่อมฉันเป็นอย่างดี หม่อมฉันอยากไปขอบคุณพวกเขา"
ห้องนั้นเงียบจนได้ยินเสียงเข็มตก เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่า ต้องเป็นเพราะอากาศแห้งเกินไปแน่ ๆ! นางรีบหันหลังไป ใช้มือปิดจมูก พยายามจะปีนออกจากอ่างอาบน้ำ แต่ไหล่กลับถูกจับไว้ กู้จิ่นคว้าไหล่นางแล้วหมุนให้นางกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง นางมือหนึ่งปิดจมูก อีกมือหนึ่งบังตา คำพูดที่หลุดออกมาจึงไม่ชัดเจน "ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ" นางไม่เพียงสัมผัสถูกส่วนลับของกู้จิ่นเท่านั้น ยังถึงกับเลือดกำเดาไหลอีก! แม้ทั้งสองจะมีบุตรด้วยกันแล้ว นางก็ยังคงรู้สึกเขินอายอยู่ดี แต่สิ่งที่กู้จิ่นสนใจกลับแตกต่างออกไป เขากังวลถามว่า "เหตุใดเจ้าถึงเลือดกำเดาไหลกะทันหัน? เจ็บป่วยตรงไหนหรือไม่?" เจียงซุ่ยฮวนสายตาลอกแลก หัวเราะแห้ง ๆ สองที "ฤดูหนาวอากาศแห้ง เลือดกำเดาไหลได้ง่าย ข้าชินแล้วแหะ ๆ..." ฟังคำอธิบายที่ฝืนเช่นนั้น กู้จิ่นมิได้ว่ากระไร เขาเพียงกดไหล่ของเจียงซุ่ยฮวนไว้ ให้นางคงอยู่ในอ่างอาบน้ำต่อไป ส่วนตัวเขาคว้าเสื้อคลุมยาวจากชั้นข้าง ๆ สวมบนร่างแล้วเดินออกไป หยดน้ำบนร่างกายของเขาซึมผ่านเนื้อผ้าบางเบาอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อด้านในปรากฏเด่นชัดขึ้นมา เจียงซุ่ยฮวนเหลือบมองโดยไม่ตั้งใจ ชั่วพริบตานั้น
มือของกู้จิ่นชะงักไปชั่วขณะ แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขากล่าวว่า "เสด็จพ่อเป็นโรคบ้า มาหลายปีแล้ว" "หม่อมฉันขอไปเยี่ยมพระองค์ บางทีหม่อมฉันอาจรักษาโรคของพระองค์ให้หายได้" ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเป็นประกายวาววับ ตลอดมามีแต่กู้จิ่นที่ช่วยเหลือนาง นางแทบไม่ได้ช่วยอะไรกู้จิ่นเลย หากสามารถรักษาโรคบ้าของไท่ซ่างหวงได้ ก็จะเป็นเรื่องดียิ่ง แต่กู้จิ่นกลับไม่ได้ดีใจอย่างที่นางคิด ในดวงตากลับมีแววหม่นหมองผุดขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของนางค่อย ๆ จางหาย นางถามเสียงเบา "เป็นอะไรไปเพคะ?" "ไม่มีอะไร" กู้จิ่นใช้พลังภายในเร่งให้ผมของนางแห้ง แล้วปล่อยมือกล่าวว่า "โรคบ้าของเสด็จพ่อมีมานานแล้ว หากเจ้ารักษาได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด" "แต่ท่านดูไม่ค่อยดีใจเท่าใดนัก" นางกล่าวอย่างกังวล กู้จิ่นกล่าวเสียงทุ้ม "ไม่เป็นไร เพียงแต่นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาเท่านั้น" เขาค่อย ๆ ลูบหว่างคิ้ว "ในปีนั้นหลังจากพระมารดาถูกแมงป่องพิษวางยาสังหาร เสด็จพ่อเชื่อว่าเป็นข้าที่ยั่วโทสะแมงป่องพิษ จึงรังเกียจข้าอย่างยิ่ง ถึงขั้นไม่ยอมพบหน้าข้าอีก" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกสงสาร จับมือเขาไว้กล่าวว่า "แต่พวกเราล้วนรู้ว่า ฮองเฮา
สาวใช้ดูตื่นเต้น "บ่าวต้องปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเพคะ" "ไม่ต้อง ออกไปเถิด" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าเปลี่ยนเองก็ได้" สาวใช้จึงเดินออกไป เจียงซุ่ยฮวนเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสมัยวัยเยาว์ของกู้จิ่น จากสาวงามกลายเป็นบุรุษหนุ่มที่สง่างาม สุดท้ายสวมทับด้วยเสื้อขนจิ้งจอกสีดำ นางพยักหน้าอย่างพอใจ มีกลิ่นอายคุณชายที่รักสนุกอยู่ไม่น้อย นางเปิดประตูเดินออกไป ยิ้มตาหยีกับกู้จิ่นที่รออยู่นอกประตู "สวัสดีท่านกู้" กู้จิ่นเห็นลักษณะของนางก็ตกตะลึงเล็กน้อย แล้วประสานมือตอบอย่างเข้ากับบทบาท "สวัสดีท่านเจียง" นางหมุนตัวรอบหนึ่งต่อหน้ากู้จิ่น "ดูเป็นเช่นไรบ้าง?" "ชุดนี้เหมาะกับเจ้ายิ่ง" กู้จิ่นยิ้มตอบ "ท่านชอบให้หม่อมฉันสวมชุดบุรุษหรือชุดสตรีมากกว่ากัน?" นางถามด้วยความอยากรู้ "นี่... " กู้จิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า "ทั้งสองแบบเจ้าสวมแล้วล้วนงดงาม แต่ข้ายังชอบเห็นเจ้าในชุดสตรีมากกว่า" เจียงซุ่ยฮวนตบแขนกู้จิ่นเบา ๆ อย่างหยอกล้อ "ดีนะที่ท่านเลือกแบบที่สอง มิเช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องสงสัยว่าท่านชอบบุรุษเสียแล้ว ฮ่า ๆ!" "......" ใบหน้าของกู้จิ่นสลดลงเล็กน้อย เขาก้มตัวกระ
แต่ท่าทีดูคนตามเครื่องแต่งกายขององครักษ์ผู้นี้ ทำให้นางไม่พอใจอย่างยิ่ง นางต่อยเขาหนึ่งหมัด "เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้ว่าข้าเป็นใคร ไปตามเจียงอวี่ออกมา" องครักษ์ถูกต่อยอย่างไม่รู้เหตุผล แต่ไม่กล้าส่งเสียง จึงหลบเข้าไปในจวนอ๋องอย่างหงอย ๆ ไม่นาน เจียงอวี่ก็เดินออกมาด้วยความโกรธ "ผู้ใดกล้าก่อเรื่องที่หน้าจวนอ๋อง?" เจียงซุ่ยฮวนกอดอก "ข้าเอง" เจียงอวี่มองดูชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า เชื่อไม่ลงจึงขยี้ตา แล้วอุทานด้วยความตกใจ "น้องหญิง?" "กรุณาเรียกข้าว่าหมอหลวงเจียง" เจียงซุ่ยฮวนเดินขึ้นบันได ยืนตรงหน้าเขากล่าวว่า "ข้ารักษาคำมั่น มารักษาอาการของท่านพ่อเจ้าแล้ว" "เข้ามาเร็ว!" เจียงอวี่ยื่นมือเชิญเจียงซุ่ยฮวนเข้าจวน พร้อมกับจ้ององครักษ์อย่างดุดัน "แม้แต่คุณหนูใหญ่ยังจำไม่ได้ ต่อไปไม่ต้องทำงานแล้ว! เก็บข้าวของไปซะ!" เจียงอวี่เดินพลางพูดพลาง "พ่อแม่พูดถึงเจ้าเสมอ เมื่อพบเจ้าแล้ว พวกท่านต้องดีใจมาก" เจียงซุ่ยฮวนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องนอนของท่านอ๋องและฮูหยินอ๋อง เจียงอวี่ดีใจเคาะประตูกล่าวว่า "พ่อ แม่ น้องหญิงมาเยี่ยมพวกท่านแล้ว" "ระวังคำพ
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื