เจียงซุ่ยฮวนเปลี่ยนทิศทาง เดินไปยังโรงเก็บของ นางอยากรู้ว่ามีของมากเพียงใด เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเก็บของ เจียงซุ่ยฮวนจึงตระหนักว่า เจียงอวี่ผู้นี้แม้จะดื้อรั้น แต่คำพูดนั้นให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ยิ่งนัก เขาบอกว่าจะส่งของพระราชทานมาให้ทั้งหมด ก็ส่งมาจริง ๆ ทั้งหมด โรงเก็บของที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร บัดนี้ถูกบรรจุจนแน่น แทบไม่มีที่ให้วางเท้า นางสุ่มเปิดหีบใบหนึ่ง ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องเพชรอัญมณี แม้จะไม่ล้ำค่าเท่าของที่กู้จิ่นส่งมาให้ แต่รวมกันแล้วก็มีค่าไม่น้อย มองดูของตรงหน้าเหล่านี้ เจียงซุ่ยฮวนค่อย ๆ ปิดหีบลง ภาวนาในใจให้ใจเย็นลง อย่าได้ลืมความพากเพียรเพราะร่ำรวยขึ้น... ตื่นขึ้นมาอีกที หิมะก็หยุดตกแล้ว ลานบ้านปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ราวกับอยู่ในดินแดนหิมะ เจียงซุ่ยฮวนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ร้องบอกยวี่จี๋ "เตรียมรถม้า ข้าจะไปจวนอ๋องเป่ยโม่สักหน่อย" หยิ่งเถาวิ่งออกมาถาม "คุณหนูเพคะ จะพาหม่อมฉันไปด้วยได้หรือไม่?" "เจ้าอยากไปด้วยหรือ?" "เพคะ" หยิ่งเถาพยักหน้าหลายครั้ง "หม่อมฉันเคยพักอยู่ที่จวนอ๋องเป่ยโม่นานมาก ผู้คนที่นั่นดูแลหม่อมฉันเป็นอย่างดี หม่อมฉันอยากไปขอบคุณพวกเขา"
ห้องนั้นเงียบจนได้ยินเสียงเข็มตก เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่า ต้องเป็นเพราะอากาศแห้งเกินไปแน่ ๆ! นางรีบหันหลังไป ใช้มือปิดจมูก พยายามจะปีนออกจากอ่างอาบน้ำ แต่ไหล่กลับถูกจับไว้ กู้จิ่นคว้าไหล่นางแล้วหมุนให้นางกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง นางมือหนึ่งปิดจมูก อีกมือหนึ่งบังตา คำพูดที่หลุดออกมาจึงไม่ชัดเจน "ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ" นางไม่เพียงสัมผัสถูกส่วนลับของกู้จิ่นเท่านั้น ยังถึงกับเลือดกำเดาไหลอีก! แม้ทั้งสองจะมีบุตรด้วยกันแล้ว นางก็ยังคงรู้สึกเขินอายอยู่ดี แต่สิ่งที่กู้จิ่นสนใจกลับแตกต่างออกไป เขากังวลถามว่า "เหตุใดเจ้าถึงเลือดกำเดาไหลกะทันหัน? เจ็บป่วยตรงไหนหรือไม่?" เจียงซุ่ยฮวนสายตาลอกแลก หัวเราะแห้ง ๆ สองที "ฤดูหนาวอากาศแห้ง เลือดกำเดาไหลได้ง่าย ข้าชินแล้วแหะ ๆ..." ฟังคำอธิบายที่ฝืนเช่นนั้น กู้จิ่นมิได้ว่ากระไร เขาเพียงกดไหล่ของเจียงซุ่ยฮวนไว้ ให้นางคงอยู่ในอ่างอาบน้ำต่อไป ส่วนตัวเขาคว้าเสื้อคลุมยาวจากชั้นข้าง ๆ สวมบนร่างแล้วเดินออกไป หยดน้ำบนร่างกายของเขาซึมผ่านเนื้อผ้าบางเบาอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อด้านในปรากฏเด่นชัดขึ้นมา เจียงซุ่ยฮวนเหลือบมองโดยไม่ตั้งใจ ชั่วพริบตานั้น
มือของกู้จิ่นชะงักไปชั่วขณะ แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขากล่าวว่า "เสด็จพ่อเป็นโรคบ้า มาหลายปีแล้ว" "หม่อมฉันขอไปเยี่ยมพระองค์ บางทีหม่อมฉันอาจรักษาโรคของพระองค์ให้หายได้" ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเป็นประกายวาววับ ตลอดมามีแต่กู้จิ่นที่ช่วยเหลือนาง นางแทบไม่ได้ช่วยอะไรกู้จิ่นเลย หากสามารถรักษาโรคบ้าของไท่ซ่างหวงได้ ก็จะเป็นเรื่องดียิ่ง แต่กู้จิ่นกลับไม่ได้ดีใจอย่างที่นางคิด ในดวงตากลับมีแววหม่นหมองผุดขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของนางค่อย ๆ จางหาย นางถามเสียงเบา "เป็นอะไรไปเพคะ?" "ไม่มีอะไร" กู้จิ่นใช้พลังภายในเร่งให้ผมของนางแห้ง แล้วปล่อยมือกล่าวว่า "โรคบ้าของเสด็จพ่อมีมานานแล้ว หากเจ้ารักษาได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด" "แต่ท่านดูไม่ค่อยดีใจเท่าใดนัก" นางกล่าวอย่างกังวล กู้จิ่นกล่าวเสียงทุ้ม "ไม่เป็นไร เพียงแต่นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาเท่านั้น" เขาค่อย ๆ ลูบหว่างคิ้ว "ในปีนั้นหลังจากพระมารดาถูกแมงป่องพิษวางยาสังหาร เสด็จพ่อเชื่อว่าเป็นข้าที่ยั่วโทสะแมงป่องพิษ จึงรังเกียจข้าอย่างยิ่ง ถึงขั้นไม่ยอมพบหน้าข้าอีก" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกสงสาร จับมือเขาไว้กล่าวว่า "แต่พวกเราล้วนรู้ว่า ฮองเฮา
สาวใช้ดูตื่นเต้น "บ่าวต้องปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเพคะ" "ไม่ต้อง ออกไปเถิด" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าเปลี่ยนเองก็ได้" สาวใช้จึงเดินออกไป เจียงซุ่ยฮวนเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสมัยวัยเยาว์ของกู้จิ่น จากสาวงามกลายเป็นบุรุษหนุ่มที่สง่างาม สุดท้ายสวมทับด้วยเสื้อขนจิ้งจอกสีดำ นางพยักหน้าอย่างพอใจ มีกลิ่นอายคุณชายที่รักสนุกอยู่ไม่น้อย นางเปิดประตูเดินออกไป ยิ้มตาหยีกับกู้จิ่นที่รออยู่นอกประตู "สวัสดีท่านกู้" กู้จิ่นเห็นลักษณะของนางก็ตกตะลึงเล็กน้อย แล้วประสานมือตอบอย่างเข้ากับบทบาท "สวัสดีท่านเจียง" นางหมุนตัวรอบหนึ่งต่อหน้ากู้จิ่น "ดูเป็นเช่นไรบ้าง?" "ชุดนี้เหมาะกับเจ้ายิ่ง" กู้จิ่นยิ้มตอบ "ท่านชอบให้หม่อมฉันสวมชุดบุรุษหรือชุดสตรีมากกว่ากัน?" นางถามด้วยความอยากรู้ "นี่... " กู้จิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า "ทั้งสองแบบเจ้าสวมแล้วล้วนงดงาม แต่ข้ายังชอบเห็นเจ้าในชุดสตรีมากกว่า" เจียงซุ่ยฮวนตบแขนกู้จิ่นเบา ๆ อย่างหยอกล้อ "ดีนะที่ท่านเลือกแบบที่สอง มิเช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องสงสัยว่าท่านชอบบุรุษเสียแล้ว ฮ่า ๆ!" "......" ใบหน้าของกู้จิ่นสลดลงเล็กน้อย เขาก้มตัวกระ
แต่ท่าทีดูคนตามเครื่องแต่งกายขององครักษ์ผู้นี้ ทำให้นางไม่พอใจอย่างยิ่ง นางต่อยเขาหนึ่งหมัด "เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้ว่าข้าเป็นใคร ไปตามเจียงอวี่ออกมา" องครักษ์ถูกต่อยอย่างไม่รู้เหตุผล แต่ไม่กล้าส่งเสียง จึงหลบเข้าไปในจวนอ๋องอย่างหงอย ๆ ไม่นาน เจียงอวี่ก็เดินออกมาด้วยความโกรธ "ผู้ใดกล้าก่อเรื่องที่หน้าจวนอ๋อง?" เจียงซุ่ยฮวนกอดอก "ข้าเอง" เจียงอวี่มองดูชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า เชื่อไม่ลงจึงขยี้ตา แล้วอุทานด้วยความตกใจ "น้องหญิง?" "กรุณาเรียกข้าว่าหมอหลวงเจียง" เจียงซุ่ยฮวนเดินขึ้นบันได ยืนตรงหน้าเขากล่าวว่า "ข้ารักษาคำมั่น มารักษาอาการของท่านพ่อเจ้าแล้ว" "เข้ามาเร็ว!" เจียงอวี่ยื่นมือเชิญเจียงซุ่ยฮวนเข้าจวน พร้อมกับจ้ององครักษ์อย่างดุดัน "แม้แต่คุณหนูใหญ่ยังจำไม่ได้ ต่อไปไม่ต้องทำงานแล้ว! เก็บข้าวของไปซะ!" เจียงอวี่เดินพลางพูดพลาง "พ่อแม่พูดถึงเจ้าเสมอ เมื่อพบเจ้าแล้ว พวกท่านต้องดีใจมาก" เจียงซุ่ยฮวนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องนอนของท่านอ๋องและฮูหยินอ๋อง เจียงอวี่ดีใจเคาะประตูกล่าวว่า "พ่อ แม่ น้องหญิงมาเยี่ยมพวกท่านแล้ว" "ระวังคำพ
สีหน้าของท่านอ๋องเปลี่ยนจากซีดเป็นเขียวคล้ำ ท่านปิดปากไอรุนแรง เสียงไออันดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับจะไอเอาทั้งปอดออกมา ฮูหยินอ๋องพิงอยู่ในอ้อมกอดของเจียงอวี่ พูดเสียงสะอื้น "ซุ่ยฮวน อย่าโทษบิดาของเจ้าเลย ล้วนเป็นความผิดของข้า" "เมื่อรับเจ้ากลับจวนใหม่ ๆ เจ้าไม่รู้กฎเกณฑ์ ทั้งพิณ หมาก กาพย์ กลอน ก็ไม่รู้เรื่องสักอย่าง ส่วนเจียงเม่ยเอ๋อร์ใช้เล่ห์เพทุบายหลอกพวกเรา ทำให้พวกเราเข้าใจผิดว่านางเป็นสตรีมากความสามารถที่หาได้ยาก" ฮูหยินอ๋องร้องไห้พลางพูด หายใจไม่ทัน ตาเหลือกจวนจะสลบ เจียงอวี่ตบหลังฮูหยินอ๋อง กล่าวอย่างกังวล "ท่านแม่ อย่าตื่นเต้นเกินไป ค่อย ๆ พูด" "ฮือ" ฮูหยินอ๋องหายใจได้ยากลำบาก แล้วกล่าวต่อว่า "เป็นเพราะข้ารักหน้าตาเกินไป เพื่อจะอวดต่อหน้าผู้อื่น ไม่เพียงรักเจียงเม่ยเอ๋อร์ประดุจบุตรีแท้ ๆ ยังใช้เวลาส่วนใหญ่มาอบรมนาง" ยิ่งฮูหยินอ๋องพูด ก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเจียงซุ่ยฮวน ความรู้สึกสำนึกผิดในใจพลุ่งพล่านราวกับคลื่นยักษ์ จวนจะท่วมท้นนางเสียแล้ว เจียงอวี่ก็เช่นกัน เรื่องที่เคยเห็นว่าปกติในอดีต บัดนี้นึกขึ้นมาแล้วกลับละอายจนแทบไม่กล้าเงยหน้าต่อหน้าเจียงซุ่ยฮวน "มีเพียงเท่านี้
"ไม่เอา อย่าเด็ดขาด" เจียงซุ่ยฮวนยกมือปฏิเสธ พลางชำเลืองมองฮูหยินอ๋อง "ฮูหยินท่านนี้เคยส่งคนไปประกาศทั่วว่าข้าเป็นหมอปลอม ทำให้ไม่มีใครกล้ามาหาหมอที่ร้านยาของข้า ท่านไปหาตัวยาที่อื่นเถิด" เจียงอวี่มองฮูหยินอ๋องอย่างงุนงง "ท่านแม่ นี่เรื่องอะไรอีก?" ฮูหยินอ๋องอับอายจนแทบจะเอาตัวมุดลงดิน "ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าซุ่ยฮวนรู้วิชาแพทย์ กลัวว่านางจะรักษาคนตาย จึง..." แม้ฮูหยินอ๋องจะพูดเพียงครึ่งเดียว แต่เจียงอวี่ก็เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เขาบีบสันจมูก อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ "ท่านแม่ ต่อให้ท่านไม่เชื่อใจซุ่ยฮวนเพียงใด ก็ไม่ควรทำลายชื่อเสียงของนางเช่นนั้น!" ใบหน้าฮูหยินอ๋องแดงก่ำ "แม่สำนึกผิดแล้ว แม่จะส่งคนไปแก้ไขทันที" "ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนฮูหยินอ๋องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีกฉบับหนึ่ง ติดไว้ที่ประตูเมือง เพื่อให้ผู้คนเข้าใจความจริง" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างเย็นชา ฮูหยินอ๋องผู้นี้แต่ก่อนรักหน้าตาที่สุด เจียงเม่ยเอ๋อร์ทำให้นางได้หน้ามากมาย แต่ก็ทำให้นางเสียหน้ายับเยิน บัดนี้ฮูหยินอ๋องมองอะไรหลายอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าว "ดี!" เจียงซุ่ยฮวนหมุนตัวจะไป เจียงอวี
บนโต๊ะบูชามีเทียนขาวสองเล่ม ลมพัดผ่านมา เปลวเทียนไหวเอนเล็กน้อย ฮูหยินอ๋องลุกจากพื้น พุ่งไปที่ข้างกายท่านอ๋อง ร้องไห้ว่า "ร่างกายท่านก็ไม่ดีอยู่แล้ว ไฉนยังใช้แรงมากถึงเพียงนี้ตีตัวเอง!" "ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? มีที่ใดไม่สบายหรือไม่?" ในใจฮูหยินอ๋องรู้ดีว่า ท่านอ๋องเป็นเสาหลักของจวนอ๋องทั้งหมด นับแต่ร่างกายของท่านทรุดโทรม จวนอ๋องก็ไม่เหมือนเดิม หากท่านสิ้นชีพ จวนอ๋องก็คงหมดสิ้น แม้เจียงอวี่จะมีความสามารถ แต่ต้องประจำการที่ชายแดนตลอด ภูเขาสูงทางไกล ไม่อาจดูแลเรื่องในเมืองหลวงได้ "ข้าไม่เป็นไร" ท่านอ๋องผลักฮูหยินอ๋องออก โซเซคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะต่อป้ายบรรพบุรุษ "จวนอ๋องกลายเป็นเช่นทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะข้ามืดบอดเกินไป ข้าละอายต่อบรรพบุรุษยิ่งนัก!" เจียงอวี่เห็นดังนั้น จึงโขกศีรษะตาม "ลูกก็มีความผิด หลงเชื่อคำของคนชั่ว นำน้องสาวแท้ ๆ ของตนเข้าสู่อันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า" "ลูกเจียงอวี่ในวันนี้ขอสาบานต่อหน้าบรรพบุรุษ หากวันหน้าปฏิบัติต่อซุ่ยฮวนไม่ดีอีก ขอให้ลูกพ่ายแพ้ทุกศึก ไม่มีวันชนะสักครั้ง!" สำหรับแม่ทัพผู้มีชัยมาตลอด นี่คือคำสาปที่โหดร้ายที่สุด ฮูหยินอ๋องที่อยู่ข้าง ๆ
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช