บนโต๊ะบูชามีเทียนขาวสองเล่ม ลมพัดผ่านมา เปลวเทียนไหวเอนเล็กน้อย ฮูหยินอ๋องลุกจากพื้น พุ่งไปที่ข้างกายท่านอ๋อง ร้องไห้ว่า "ร่างกายท่านก็ไม่ดีอยู่แล้ว ไฉนยังใช้แรงมากถึงเพียงนี้ตีตัวเอง!" "ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? มีที่ใดไม่สบายหรือไม่?" ในใจฮูหยินอ๋องรู้ดีว่า ท่านอ๋องเป็นเสาหลักของจวนอ๋องทั้งหมด นับแต่ร่างกายของท่านทรุดโทรม จวนอ๋องก็ไม่เหมือนเดิม หากท่านสิ้นชีพ จวนอ๋องก็คงหมดสิ้น แม้เจียงอวี่จะมีความสามารถ แต่ต้องประจำการที่ชายแดนตลอด ภูเขาสูงทางไกล ไม่อาจดูแลเรื่องในเมืองหลวงได้ "ข้าไม่เป็นไร" ท่านอ๋องผลักฮูหยินอ๋องออก โซเซคุกเข่าบนพื้น โขกศีรษะต่อป้ายบรรพบุรุษ "จวนอ๋องกลายเป็นเช่นทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะข้ามืดบอดเกินไป ข้าละอายต่อบรรพบุรุษยิ่งนัก!" เจียงอวี่เห็นดังนั้น จึงโขกศีรษะตาม "ลูกก็มีความผิด หลงเชื่อคำของคนชั่ว นำน้องสาวแท้ ๆ ของตนเข้าสู่อันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า" "ลูกเจียงอวี่ในวันนี้ขอสาบานต่อหน้าบรรพบุรุษ หากวันหน้าปฏิบัติต่อซุ่ยฮวนไม่ดีอีก ขอให้ลูกพ่ายแพ้ทุกศึก ไม่มีวันชนะสักครั้ง!" สำหรับแม่ทัพผู้มีชัยมาตลอด นี่คือคำสาปที่โหดร้ายที่สุด ฮูหยินอ๋องที่อยู่ข้าง ๆ
ฮูหยินอ๋องถอนหายใจ แล้วเงียบลง พอดีในขณะนั้นท่านอ๋องไอรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ฮูหยินอ๋องจึงพยุงท่านอ๋องไว้ แล้วกล่าวว่า "เจียงอวี่ เจ้าส่งซุ่ยฮวนกลับไปเถิด" เจียงอวี่รับคำ กล่าวว่า "ซุ่ยฮวน ข้าจะไปส่งเจ้า" เจียงซุ่ยฮวนไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เพียงหมุนตัวเดินออกไปโดยตรง คราวนี้ นางเดินนำหน้า และสามคนนั้นเดินตามหลังนาง เมื่อมาถึงลานหน้าบ้าน เจียงซุ่ยฮวนเห็นประตูใหญ่ของจวนอ๋องเปิดกว้าง เจียงเม่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ที่ประตู ข้างกายมีหีบหลายใบวางอยู่ เจียงอวี่อธิบายว่า "หลายปีมานี้ ข้าส่งของให้เจียงเม่ยเอ๋อร์มากมาย เมื่อวานนางได้คืนมาครึ่งหนึ่งแล้ว วันนี้มาคืนอีกครึ่งที่เหลือ" ท่านอ๋องและฮูหยินอ๋องเห็นเจียงเม่ยเอ๋อร์ก็เกิดความรังเกียจ ท่านอ๋องไอหนักยิ่งขึ้นทันที ฮูหยินอ๋องนวดหน้าอกท่านพลางปลอบว่า "อย่าโกรธเลย ไม่คุ้มที่จะโกรธคนใจทรามเช่นนี้" กล่าวจบ ฮูหยินอ๋องจ้องเจียงเม่ยเอ๋อร์อย่างดุดัน "ของส่งมาแล้วก็รีบไปให้พ้น!" เรื่องที่เจียงเม่ยเอ๋อร์ทำล้วนถูกเปิดโปงหมดแล้ว นางจึงไม่แสร้งอีกต่อไป กอดอกพูดด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหน "ทำเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อข้านำของมาแล้ว ย่อมต้องส่งเข้าไปถึงจะถูก"
"อะไรนะ?" ทุกคนในที่นั้นอุทานออกมาพร้อมกัน สีหน้าตื่นตะลึงกว่ากันไปอีก เจียงซุ่ยฮวนไม่พูดอะไร ในดวงตาวาบแวววูบแห่งความตกตะลึง ท่านอ๋องจะส่งตำแหน่งให้นาง นางฟังไม่ผิดใช่หรือไม่? "แค่ก ๆ!" ท่านอ๋องกลั้นจนหน้าแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะไออีกสองที แล้วค่อย ๆ กล่าวว่า "อวี่เอ๋อร์เป็นแม่ทัพ ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงทั้งปี ตำแหน่งนี้ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา" "เมื่อข้าหายดีแล้ว จะเข้าวังด้วยตนเองเพื่อขอฮ่องเต้มอบตำแหน่งให้แก่ซุ่ยฮวน" เจียงเม่ยเอ๋อร์เดิมยืนหยิ่งผยองอยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินคำนี้ก็กลายเป็นตะลึงงัน สีหน้าเปลี่ยนไปมาระหว่างซีดกับเขียวคล้ำ ช่างหลากหลายยิ่งนัก ฮูหยินอ๋องอ้าปากปิด กล่าวว่า "ท่านอ๋อง เช่นนี้จะไม่เหมาะสมกระมัง?" "ไม่เหมาะตรงไหน?" ท่านอ๋องย้อนถาม "แต่ไหนแต่ไรมา ตำแหน่งอ๋องล้วนสืบทอดแก่ชายไม่สืบทอดแก่หญิง แคว้นต้าเหยียนไม่เคยมีหญิงดำรงตำแหน่งอ๋องเลยนะเพคะ" ฮูหยินอ๋องกล่าว "ถ้าเช่นนั้นก็ให้ซุ่ยฮวนเป็นคนแรก" ท่านอ๋องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว "ข้าตัดสินใจแล้ว ฮูหยินไม่ต้องทัดทานอีก" "แม่ ลูกก็เห็นว่าไม่มีปัญหา" เจียงอวี่เห็นด้วยกับคำของท่านอ๋อง "ลูกมุ่งสร้างผลงานในสน
แม่นมเพิ่งมาใหม่ ฟังไม่เข้าใจว่าคำพูดของนางมีความหมายอย่างไร แต่กลับรู้กาลเทศะ จึงคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าเงยหน้า สีหน้าเจียงเม่ยเอ๋อร์มืดลง ลูกของนางเป็นตัวประหลาด ก็แล้วไป แต่กลับตายด้วยโรคเสียอีก! ช่วงนี้มีขุนนางบางคนที่สนิทกับฉู่เจวี๋ย ล้วนเป็นเพราะฉู่ฝูเป็นดาวโชค หากขุนนางเหล่านี้รู้ว่าฉู่ฝูตายแล้ว คงจะรีบตัดความสัมพันธ์กับฉู่เจวี๋ย แล้วหันไปประจบเจ้าชายองค์อื่นเจียงเม่ยเอ๋อร์เพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงกับไม่ปรึกษาฉู่เจวี๋ย ตัดสินใจก่อนรายงานด้วยการซื้อทารกมาแทนฉู่ฝู หลังจากฉู่เจวี๋ยรู้เรื่องแม้จะเสียใจมาก แต่ก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเจียงเม่ยเอ๋อร์ เขาตั้งใจจะจัดงานศพให้ฉู่ฝูอย่างสมเกียรติตามธรรมเนียมราชวงศ์ แต่ถูกเจียงเม่ยเอ๋อร์ห้ามไว้ เจียงเม่ยเอ๋อร์คิดว่า แม่หมอเฒ่าต้องการตัวฉู่ฝู แสดงว่าฉู่ฝูต้องมีประโยชน์แน่ แม้แม่หมอเฒ่าจะหายตัวไปแล้ว นางก็ยังเลือกที่จะเก็บศพฉู่ฝูไว้ บางทีอาจมีประโยชน์ในวันข้างหน้า ดังนั้นนางจึงสั่งให้คนทำโลงศพเล็ก ๆ แล้วนำศพฉู่ฝูใส่ไว้ข้างใน ฝังไว้ใต้พื้นห้องนี้ สายตาของนางหยุดอยู่ที่พื้นไม้ตรงหนึ่ง นึกถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ มือที่ว
เมื่อนึกถึงเมิ่งเซียว เจียงซุ่ยฮวนก็นึกถึงทารกในครรภ์ของเมิ่งเซียว ทารกในครรภ์เมิ่งเซียวเป็นบุตรของฉู่เจวี๋ย ตอนนี้คงคลอดแล้ว หลังจากอาจารย์แก้ยารักให้ฉู่เจวี๋ยแล้ว ค่อยบอกเรื่องนี้กับเจียงเม่ยเอ๋อร์ ภาพนั้นคงจะน่าชม... ขณะกำลังคิด รถม้าก็หยุดลง ไป๋หลี่กล่าวว่า "พระชายาเพคะ ถึงประตูวังแล้ว" "ดี" เจียงซุ่ยฮวนเตรียมลงจากรถ แต่ไป๋หลี่กลับรั้งนางไว้ พันผ้าที่เท้านาง "พื้นเปียกโคลน เช่นนี้ท่านจะไม่ทำรองเท้าเปื้อนแล้วเพคะ" นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไป๋หลี่ดูภายนอกเหมือนเย็นชา แต่กลับมีความคิดละเอียดอ่อนเช่นนี้ ทั้งสองลงจากรถม้า ไป๋หลี่พยุงเจียงซุ่ยฮวน กล่าวว่า "คุณหนูเพคะ ท่านค่อย ๆ นะเพคะ" น้องชายของไป๋หลี่เห็นทั้งสอง รีบเข้ามาถามเบา ๆ ในยามที่องครักษ์อื่นไม่ทันสังเกต "พี่ วันนี้พี่มาอีกแล้วหรือ?" ไป๋หลี่จ้องเขาเย็นชา "เจ้านี่ช่างพูดมาก ยืนเฝ้าประตูวังดี ๆ อย่าเคลื่อนไหวไปมา" "โอ้" น้องชายไป๋หลี่ไม่กล้าเถียง เดินกลับไปยืนที่เดิม "น้องชายเจ้าฟังคำพี่สาวมากจริง ๆ" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกทึ่ง "ตอนเด็กดื้อมาก ตีสักหน่อยก็เชื่อฟังแล้ว" ไป๋หลี่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งสองเดินไ
หากชายชราในชุดเช่นนี้ปรากฏตัวบนท้องถนน คงถูกผู้คนคิดว่าเป็นขอทานแน่นอน ดังนั้นเมื่อเซียวกงกงบอกว่าชายชราผู้นี้คือไท่ซ่างหวง เจียงซุ่ยฮวนจึงตกตะลึงในใจอย่างมาก แม้ไท่ซ่างหวงจะเป็นโรคบ้า แต่ก็ไม่ควรสวมเพียงเสื้อชั้นในบางเบาในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ นางกำนัลและขันทีที่รับผิดชอบดูแลไท่ซ่างหวงหายไปไหนกันหมด? "ตำหนักใหญ่โตเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่เห็นแม้แต่คนรับใช้สักคน?" นางหันไปถามเซียวกงกง "อากาศหนาวเช่นนี้ ท่านไม่กลัวไท่ซ่างหวงจะทรงประชวรหรือ?" เซียวกงกงตอบอย่างจนใจ "ไท่ซ่างหวงไม่โปรดคนมาก นางกำนัลและขันทีที่เคยปรนนิบัติที่นี่ถูกพระองค์ขับไล่ไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้ที่นี่มีเพียงข้าน้อยคนเดียวที่ปรนนิบัติ" เขาถอนหายใจอย่างหนัก พยุงไท่ซ่างหวงพลางกล่าว "ข้างนอกอากาศหนาว ข้าน้อยขอพาฝ่าบาทเข้าห้องเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้างในอุ่นกว่า" "เราไม่หนาว! เราสวมเสื้อหนาอยู่แล้ว!" ไท่ซ่างหวงสะบัดแขนผลักเซียวกงกงไปด้านข้าง "วันนี้มีนางกำนัลใหม่มา เราต้องดูให้ชัด ๆ!" "เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไรกันแน่?" สีหน้าของไท่ซ่างหวงดูโกรธเล็กน้อย "เราถามเจ้าสองครั้งแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ตอบเรา!" เจียงซุ่ยฮวนประสานมือกล่
เจียงซุ่ยฮวนปล่อยมือ กล่าวว่า "หม่อมฉันจะไปหยิบยาให้ฝ่าบาท" "ไม่ได้ เจ้ายังไม่ได้บอกเราเลย!" ไท่ซ่างหวงรั้งนางไว้อย่างร้อนรน "เจ้าไปไม่ได้!" นางไม่ตอบ แต่กลับถาม "ฝ่าบาทจะบอกหม่อมฉันได้หรือไม่ เหตุใดจึงถามคำถามนี้?" ไท่ซ่างหวงเบ้ปาก "เกี่ยวอะไรกับเจ้า? เราไม่บอกเจ้าหรอก" "ถ้าเช่นนั้น หากจำเป็นต้องเลือกหนึ่งถ้วยสุราพิษ หม่อมฉันเลือกพิษหงสาแดง" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างใจเย็น "เพราะเหตุใด?" "หม่อมฉันสามารถถอนพิษหงสาแดงได้" ไท่ซ่างหวงกระโดดจากเตียงอย่างแรง "เจ้าพูดอีกที!" "ต้นหญ้าตัดลำไส้ไม่มียาถอนพิษ แต่พิษหงสาแดงมียาถอนพิษ ดังนั้นหม่อมฉันจะเลือกสุราพิษที่ใส่พิษหงสาแดง แม้จะดื่มก็ไม่ตาย" "เหตุใดเจ้าไม่ปรากฏตัวเร็วกว่านี้! ปีนั้นชิงเอ๋อร์ถูกพิษหงสาแดงสังหาร เจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าอยู่ที่ไหน?" ไท่ซ่างหวงนั่งบนเตียงร้องไห้โศกสลด พลางทุบเตียงไปด้วย นอกประตูมีเสียงเซียวกงกง "หมอหลวงเจียง ไท่ซ่างหวงเป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?" "ไม่เป็นไร" เจียงซุ่ยฮวนมองไท่ซ่างหวงที่โศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง คิดในใจว่าคำถามนี้เกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาไท่ชิงจริง ๆ แต่จากนี้ก็เห็นได้ว่า ไท่
"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้..." เจียงซุ่ยฮวนเก็บยาในมือไว้ "เซียวกงกง เรื่องป้อนยานี้ไม่ต้องให้ท่านลำบากแล้ว พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะมาป้อนยาไท่ซ่างหวงเอง" "โอ้ ช่างดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ" เซียวกงกงกล่าวอย่างดีใจ "ที่นี่ทั้งวันมีเพียงข้าน้อยคนเดียวเฝ้าอยู่ น่าเบื่อเหลือเกิน หากท่านกับไป๋หลี่มาทุกวัน ที่นี่ก็จะครึกครื้นขึ้นมาก" เจียงซุ่ยฮวนยกมุมปากเล็กน้อย แล้วพาไป๋หลี่ออกจากตำหนักของไท่ซ่างหวง เมื่อทั้งสองเดินใกล้ถึงประตูวัง พอดีเห็นฉู่เลี่ยนกลับมาจากการรับเจ้าสาว ฉู่เลี่ยนสวมเสื้อสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า หน้าอกติดดอกไม้สีแดงใหญ่เท่าศีรษะ หน้าบึ้งตึงดูไม่พอใจอย่างยิ่ง ด้านหลังเขาตามมาด้วยเกี้ยวที่มีคนหามสี่คน ถัดไปคือสินสอดทองหมั้น สินสอดน่าจะมีหกเจ็ดสิบหีบ แค่คนหามสินสอดก็มีเป็นร้อยคน เมิ่งชิงไม่ว่าอย่างไรก็เป็นธิดาแท้ ๆ ของแม่ทัพเจิ้นหยวน จากจำนวนสินสอดมากมายนี้ก็เห็นได้ว่าแม่ทัพเจิ้นหยวนรักนางมาก เพียงแต่เกี้ยวรับเจ้าสาวมีคนหามเพียงสี่คน ช่างดูอนาถเกินไป เจียงซุ่ยฮวนไม่อยากมีเรื่องวุ่นวาย จึงค่อย ๆ พาไป๋หลี่เดินไปที่ริมกำแพง ตั้งใจจะรอให้ขบวนรับเจ้าสาวเข้าวังหมดก่อนค่อยออก ใครจะคิด
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื