เจียงซุ่ยฮวนเก็บม้วนกระดาษไว้ พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “กินข้าวก่อนเถิด”ยามบ่าย เจียงซุ่ยฮวนเรียกเหล่าผู้คนมารวมกัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะติดตามท่านอาจารย์ไปยังเมืองกวนหนาน”“ยวี่จี๋กับจางอวิ๋นให้เฝ้าเรือน หากมีผู้ใดมาถามหา ก็ให้บอกว่าข้าออกเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อศึกษาวิชาแพทย์จากยอดฝีมือ”“แม่นมนั้นให้อยู่ดูแลเสี่ยวถังหยวน ส่วนชุนเถาก็เฝ้าห้องโอสถ คนอื่นๆ ยังมีผู้ใดประสงค์จะอยู่บ้างหรือไม่”คำตัดสินนี้คล้ายสายฟ้าฟาด ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดไป๋หลีเป็นผู้แรกที่กล่าวขึ้น “ท่านอ๋องสั่งให้หม่อมฉันปกป้องพระชายา พระชายาไปที่ใด หม่อมฉันย่อมตามไปที่นั่น”หยวนจิ่วมิอยู่ แต่ลิ่วลู่กับปาฟางต่างกล่าวพร้อมกันว่า “พวกเราก็เช่นกัน!”“คุณหนูๆ เจ้าคะ พวกเราก็จะติดตามท่านไปด้วย!” หยิ่งเถาและหงหลัวได้สติจากความตกตะลึง รีบตอบรับอย่างมิรีรอเจียงซุ่ยฮวนย่อมรู้ว่าคำตัดสินของตนฉับพลันเกินไป แต่จะให้ปล่อยฉู่เฉินไปผู้เดียว นางย่อมมิอาจวางใจอีกทั้งหากฉู่เจวี๋ยและเจียงเม่ยเอ๋อร์ไปถึงเมืองกวนหนาน แล้วบังเอิญสมคบคิดกับผู้คนที่หนานเจียงขึ้นมา ย่อมยิ่งลำบากเ
นางตกตะลึง ถอยหนีอย่างไม่หยุดแต่เจ้าพิราบนั้นกลับเลือกนางเป็นเป้าหมาย มุ่งหน้าพุ่งเข้าหาไม่หยุดเจียงซุ่ยฮวนจนปัญญา จำต้องเหยียดแขนออกให้นกพิราบมาเกาะนกพิราบเบิกตากลมโต จ้องนางแน่วนิ่ง พร้อมเปล่งเสียง "จิ๊บ ๆ " สองที“เพิ่งเคยเห็นนกพิราบที่ไม่เกรงกลัวผู้คนถึงเพียงนี้” เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะกล่าวไป๋หลีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพิราบตัวนี้ทั้งตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต คงล่วงรู้ว่าวิชาแพทย์ของท่านล้ำเลิศ จึงมาขอความช่วยเหลือ”“ข้าไม่ใช่สัตวแพทย์เสียหน่อย” เจียงซุ่ยฮวนส่ายศีรษะยิ้มอ่อน “แต่โชคดีที่เคยอ่านตำราแพทย์สัตว์อยู่บ้าง”นางก้มศีรษะ ตรวจดูบาดแผลบนกายพิราบ เห็นว่าหาใช่อาการภายในไม่ เป็นเพียงแผลถลอกภายนอก ประหนึ่งต่อสู้กับนกชนิดอื่นมาสี่จือวนเวียนรอบเจียงซุ่ยฮวนด้วยความร้อนใจ ฝ่ายนกพิราบกลับปรายตาอย่างดูถูก และส่งเสียง "จิ๊บ ๆ " อย่างหยิ่งยโส“นิสัยนกพิราบตนนี้ช่างวิปลาสนัก” เจียงซุ่ยฮวนกล่าวพลางตรวจดูกรงเล็บ “สายตาเช่นนี้ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าหาได้มีความเมตตาไม่”พลันนางก็ลูบพบวัตถุบางอย่างใต้ขนของพิราบ ทำเอานางชะงักไปชั่วขณะสิ่งนั้นคือม้วนกระดาษ เล็ดรอดซ่อนอยู่ใต้
ครานี้ฉู่เฉินถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก จับต้นชนปลายไม่ถูก เอ่ยถามอย่างฉงนใจว่า “ขายตัวอะไรกัน”ด้านล่างเงียบงัน ไม่มีผู้ใดขานรับฉู่เฉินกระโจนลงจากหลังคา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของลิ่วลู่อีก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขากำลังย่องเงียบไปยังเรือนหลัง“หยุดเดี๋ยวนี้” ฉู่เฉินเอ่ยเรียกแล้วสาวเท้าเข้าหา ถามเสียงเครียดว่า “วันนี้เจ้าเป็นอะไรกันแน่ แค่หลบหน้าข้ายังพอว่า แต่ยังพูดจาแปลกประหลาดอีก”“ก็แค่ให้เจ้าช่วยซื้อเรือนหลังหนึ่ง ข้าลืมให้สินน้ำใจไป เจ้าบอกข้าตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง เหตุใดต้องโกรธเคืองถึงเพียงนี้เล่า!”ลิ่วลู่ถึงกับตกตะลึง “ซื้อเรือน สินน้ำใจ เช่นนั้นท่านมิได้ชื่นชอบ…”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ฉุกคิดได้ รีบยกมือปิดปาก ใบหน้าแดงก่ำฉู่เฉินขมวดคิ้ว ถามจี้ว่า “ชื่นชอบสิ่งใด”“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ!” เขาหันหลังวิ่งกลับเข้าห้อง ทิ้งคำไว้เพียงว่า “ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น!”ฉู่เฉินสะบัดตั๋วเงินในมือ ถามตามหลังว่า “เจ้าอยากได้เงินเท่าใดกันแน่”“มิเอาแล้ว!” เขาปิดประตูแน่น กระโจนเข้าหาปาฟางพลางร่ำไห้ “แท้จริงแล้วเป็นข้าที่เข้าใจผิด… อับอายยิ่งนัก ฮือ…”หยวนจิ่วยืนอยู่เบื้องหลัง ตบไหล่ปล
ครั้นเมื่อเจียงอวี่หยุดยืน เหล่ารองแม่ทัพและทหารใหม่ที่ตามมาก็พลันหยุดยืนตามชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างพากันงุนงง กระซิบกระซาบกันว่า “ท่านแม่ทัพฉีหยวนเป็นอะไรไปหรือ เหตุใดจึงหยุดกลางคันเช่นนี้”เจียงอวี่พลิกกายลงจากหลังม้า เดินตรงไปยังหน้าประตูร้านหรงเยว่เก๋อ ก่อนหยุดยืนอย่างสงบนิ่งเจียงซุ่ยฮวนนึกในใจว่าเจียงอวี่มาบอกลานางหรือนางก้าวลงจากเรือน เดินมายืนตรงหน้าเจียงอวี่ แล้วพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านแม่ทัพฉีหยวน”เจียงอวี่จ้องนางแน่วนิ่ง “ซุ่ยฮวน ข้าจากไปครานี้ ไม่รู้เมื่อใดจะได้กลับมา หากถึงชายแดนแล้ว ข้าจะให้คนส่งของดีของอร่อยมาให้เจ้า”ผู้คนด้านข้างกระซิบเบา ๆ “นั่นมิใช่เจ้าของร้านหรงเยว่เก๋อหรอกหรือ นางเป็นคนรักของแม่ทัพฉีหยวนกระนั้นหรือ”“เจ้าตาถั่วหรือไร! นางเป็นน้องสาวแม่ทัพฉีหยวนต่างหาก! แถมตัดขาดกันไปตั้งนานแล้ว!”เจียงอวี่ปรายตาไปเพียงนิดเดียว ทุกคนก็พากันเงียบงันเจียงซุ่ยฮวนกล่าวสั้น ๆ “ได้”“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจรับของท่านมาเปล่า ๆ ได้”นางหยิบขวดยาจากในแขนเสื้อออกมาสองขวด เป็นยาห้ามเลือดที่นางปรุงไว้ก่อนหน้า ไม่นานมานี้ก็แอบยัดให้กู้จิ่นไปหลายขวดอยู่“นี่เป็นยาห้า
เขามองใบหน้าของฉู่เฉินที่อยู่ใกล้แค่คืบ สมองพลันว่างเปล่า ลืมสิ้นทุกถ้อยคำที่ตั้งใจจะพูด แล้วเดินจากไปอย่างเหม่อลอยลิ่วลู่ซื้อเรือนไปหลังหนึ่ง แล้วส่งลุงเฉินไปพักที่นั่น และจัดให้องครักษ์ลับคนหนึ่งคอยดูแลมิให้ลุงเฉินไปไหนมาไหน หวั่นเกรงว่าจะถูกคนของอัครเสนาบดีพบเข้าท่ามกลางแรงกดดันมหาศาล ลิ่วลู่ก็สามารถหาเรือนอีกหลังที่ใกล้เคียงกันได้ในวันถัดมา ราคาเพียงห้าพันตำลึงเงินเท่านั้นเมื่อเขามอบโฉนดเรือนให้ฉู่เฉิน ฉู่เฉินก็ราวกับเห็นภาพตนเองในอนาคตที่จะได้เป็นทายาทผู้ได้รับผลประโยชน์จากการเวนคืนที่ดิน ดวงตาส่องแสงวาววับเป็นประกาย“ท่านไม่พอใจกับเรือนหลังนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ลิ่วลู่ถามด้วยท่าทีประหม่า“พอใจยิ่งนัก!” ฉู่เฉินกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี โผเข้ากอดลิ่วลู่แล้วหอมแก้มหนึ่งฟอด“!!!” ลิ่วลู่ยกมือปิดแก้ม ยืนนิ่งดังรูปสลัก ชี้หน้าฉู่เฉินพลางพูดตะกุกตะกัก “ท่าน...ท่าน...ท่าน...”ฉู่เฉินจับมือเขาเขย่าแรงๆ “ขอบใจ! ขอบใจเจ้ามาก!”เมื่อกล่าวขอบคุณเสร็จ ฉู่เฉินก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ลิ่วลู่ยืนอยู่กับที่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกไป๋หลีปรากฏตัวทางด้านซ้าย แล้วเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “แ
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านต้องการเงินสินะ”ลุงเฉินล้วงเงินออกมาสองก้อนจากอกเสื้อ พลางกล่าวว่า “นี่เป็นเงินที่คุณชายใจดีเมื่อกลางวันมอบให้ข้า บอกให้ใช้เป็นค่าเดินทางกลับบ้าน”“คุณหนู ท่านรับไว้เถิด ข้ามีเพียงเท่านี้”เจียงซุ่ยฮวนรับเงินมา ก่อนใส่กลับเข้าไปในอกเสื้อของเขาตามเดิม “ข้ามิได้ต้องการเงิน เพียงอยากให้ท่านรับปากข้าสักเรื่องหนึ่ง”“ข้าจะจัดหาที่พักให้ท่าน พอเข้าไปอยู่แล้ว หากมิได้มีเรื่องจำเป็นก็อย่าได้ออกมา และที่สำคัญ อย่าได้ไปตามหาบุตรชายของท่านอีก เข้าใจหรือไม่”“ไม่ไปแล้ว ข้าตัดใจได้แล้ว” ลุงเฉินถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ก็คิดเสียว่า ข้าไม่เคยมีลูกชายคนนี้มาก่อน”“แต่คุณหนู หากข้าออกไปมิได้ แล้วข้าจะกินดื่มสิ่งใดในแต่ละวันเล่า”เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยเสียงหนักแน่น “เรื่องนั้นง่ายนัก ข้าจะให้คนอยู่ดูแลท่าน ท่านไม่ต้องเป็นห่วงสิ่งใด เพียงอยู่อย่างสบายใจก็พอ”ลุงเฉินตื้นตันจนน้ำตาคลอ คุกเข่าลงกับพื้น “ในโลกนี้ ยังมีคนดี ๆ เหลืออยู่นัก!”ชุนเถาที่อยู่ข้าง ๆ รีบพยุงไว้แล้วเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ท่านรีบกินบะหมี่เถิด ถ้ารอนานไปเส้นจะอืดหมดแล้วนะ”“อื้ม ได้!” เขานั่งลงเริ่มกินบะหมี่ด้วยความเ