เรือนฮูหยินผู้เฒ่า
“ยามใดแล้วยังไม่โผล่หน้ามาคารวะน้ำชาฮูหยินผู้เฒ่าอีก เห็นหรือไม่เจ้าคะ สตรีสกุลจางไร้จรรยามารยาท” ฟู่หว่าเชิดหน้าทำท่าเย่อหยิ่งจงใจเน้นเสียงทีละคำให้ชัดๆ ทั้งยังแค่นเสียงขึ้นจมูกครั้งหนึ่ง ดวงตาฉายแววเกลียดชังอย่างไม่คิดปิดบัง
จินหรงมามา สาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตามองฟู่หว่าอย่างดุดัน เตรียมขึ้นเสียงด่าว่า
“บังอาจ! ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
นางทนเก็บความโกรธไว้ในใจไม่ไหว หากสายตาสามารถมองทะลุร่างสาวใช้ข้างห้องอวดดีคนนี้ได้ นางคงพรุนเป็นกระชอนไปนานแล้ว
“เจ้าเป็นใคร ฮูหยินเป็นใคร ทั้งวันเอาแต่นินทาว่าร้าย พูดจา
จาบจ้วงผู้สูงศักดิ์ เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน”แต่ละประโยคดังกังวาน จินหรงมามาอึดอัดคับข้องใจมาเนิ่นนานแล้ว ครั้นได้รับอนุญาตจากฮูหยินผู้เฒ่าให้พยายามอบรมสตรีนางนี้ตั้งแต่เมื่อคืนจึงกล้าเอ่ยปากวิจารณ์อย่างเดือดดาล
“มามา!” ฟู่หว่าตกใจสะดุ้งโหยง รู้สึกฟ้าดินพลิกกลับในชั่วขณะ
จินหรงมามาปกติแล้วจิตใจดีมีเมตตา กิริยาวาจาล้วนนุ่มนวลอยู่ในกรอบมารยาท เงียบขรึมพูดน้อย แม้จะมีข้อเสียเรื่องเข้มงวดไม่มียืดหยุ่นเวลาสั่งสอนจารีตจรรยาบ่าวไพร่หน้าใหม่ ทว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวนางมาก่อน หรือว่าที่ผ่านมามามาเฒ่าเสแสร้งแกล้งทำมาตลอด
“ไม่กล่าวเกินไปหรอกหรือ” ฟูหว่าสงบจิตใจที่ร้อนดังไฟไว้ได้ก็สวนกลับทันควัน ไม่รีรอตั้งรับฝ่ายเดียว
“ศิษย์เป็นอย่างไรก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นอาจารย์ทั้งนั้น”
แววตานางแข็งกร้าวไม่คิดกลัวเกรงผู้หลักผู้ใหญ่แต่อย่างใด
จินหรงมามาตกใจกับคำพูดจากปากผู้ที่ตนเคยอบรมสั่งสอน ตอนนี้ถึงกับยืนชะงักทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเลือดทั้งกายไหลเวียนไปรวมกันอยู่ที่ศีรษะในใจกระตุกอย่างแรง คล้ายมีกรงเล็บแมวตะกุยสร้างความเจ็บแสบ
“แต่ศิษย์ลำเลิกอาจารย์นี่! ไม่นับว่าเป็นศิษย์มิใช่หรือ”
ในจังหวะที่จินหรงมามาอ้ำอึ้งตะลึงงัน เผิงชิ่นหลิงที่นั่งละเมียดละไมอยู่กับการจิบน้ำชาหอมกรุ่นก็โพล่งขึ้น ราวกับกำลังชี้นำทางมามาเฒ่าตอกกลับฟู่หว่าให้หน้าหงาย
จินหรงมามาหัวสมองสว่างวาบ สาดแววตาติเตียนชัดเจนจ้องเขม็ง
ฟู่หว่า“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูเผิง”
ใบหน้านางปรากฏรอยยิ้มคลุมเครือเหมือนซ่อนดาบในรอยยิ้ม ย้อนถามได้อย่างเฉียบคม
“แล้วศิษย์ที่ไม่เคยเคารพอาจารย์ ศิษย์ที่คุกเข่าคารวะน้ำชาแล้ว
แต่ทุกปีไม่เคยแสดงความนับถือตามธรรมเนียม ข้าไม่นับเป็นศิษย์หรอก เจ้าอย่าได้ทึกทักเอาไปกล่าวที่ใดเล่า ข้าจินหรงไฉนเลยจะมีลูกศิษย์เช่นเจ้าได้” ริมฝีปากของผู้มีฐานะเป็นดั่งอาจารย์เหยียดออกเป็นรอยยิ้มหยันฟู่หว่าพ่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ นางสิ้นไร้คำพูดที่จะโต้แย้งอีกฝ่าย รู้สึกเสียหน้าครั้งใหญ่ ครั้นจะขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าให้เข้าข้างก็ดูจะไม่เหมาะสม เพราะมีนางมารร้ายเผิงชิ่นหลิงนั่งอยู่ด้วย จึงมิอาจแสดงกิริยาเหลวไหล จนถูกอีกฝ่ายนำไปหัวเราะเยาะทีหลัง
ฟู่หว่ากัดฟันแน่น ก้มหน้าลงอย่างเคียดแค้น นั่งอยู่บนพื้นไม้เงียบ ๆ กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจเอาไว้ในใจ
บทสนทนาเมื่อครู่ ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินมันทั้งหมด หลังไตร่ตรองในใจอย่างถี่ถ้วนแล้ว พึงตระหนักได้ว่าเป็นเพราะนางที่คอยให้ท้ายจนฟูหว่า
คิดกำเริบเสิบสานหลงลืมกำพืด แม้แต่อาจารย์นางยังไม่เกรงกลัวฮูหยินผู้เฒ่าเลือกนั่งเอนบนตั่งตัวยาว หลับเปลือกตาคล้ายหลับพักผ่อนรอการมาถึงของลูกสะใภ้ คาดไม่ถึงว่าจะได้เปิดหูเปิดตามากมายเพียงนี้
ฟู่หว่าหยิ่งทระนงร้ายกาจ แต่เผิงชิ่นหลิงนิสัยใจคอล้ำลึกยากเกินจะหยั่ง ทั้งยังอ่านความคิดผู้อื่นได้ฉกาจยิ่งนัก มิเท่ากับนางเลี้ยงงูเห่าไว้ข้างกายมาตลอดหรอกหรือ
ในระหว่างที่กำลังหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างหนัก จินหรงมามาก็เอื้อมมือมาสะกิดต้นแขนเรียว
“ฮูหยินกับท่านแม่ทัพมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
หรูหรั่นเซียงลืมตาขึ้น พลางแสร้งปิดปากหาวหวอด ๆ สองครั้ง
ก่อนจะสั่งการด้วยน้ำเสียงสงบแช่มช้า ไม่มีเจือแววโทสะใด ๆ“เตรียมเบาะ”
เผิงชิ่นหลิงหางตากระตุกโดยพลัน ย้อนนึกถึงกาลผ่านมาเพียงชั่วครู่ แต่ไหนแต่ไรมาฮูหยินผู้เฒ่านิสัยละเอียดลออเคร่งครัด ขนาดนางเองอีกฝ่ายยังปฏิบัติเหมือนกับแขกมิใช่เอ็นดูเหมือนลูกหลาน
ทว่าเมื่อครู่กลับสั่งยกเบาะนุ่มไว้รองเข่าบุตรชายกับสะใภ้ยามทำพิธีคารวะน้ำชา ช่างยากจะเชื่อจริง ๆ
คุณหนูเผิงคิดในใจอย่างกระวนกระวาย
‘หรือนางจะชอบลูกสะใภ้คนนี้ ไม่ได้การเสียแล้ว’
หญิงสาวเหลือบตามองฮูหยินพระราชทานด้วยหัวใจราวกับถูกมีดคว้าน
ทว่าเมื่อทุกสายตาหันมองคู่ข่าวใหม่ปลามัน พลันตกตะลึงตาค้างเป็นแถบ ท่านแม่ทัพที่บัดนี้มีหน้าตาเหนื่อยล้าสาหัส ประคองร่างของฮูหยินที่ใบหน้าซีดเผือดไม่ต่างกันเดินย่างเข้ามาอย่างช้า ๆ
จินหรงมามาถึงกับอ้าปากตาค้าง เมื่อเห็นลำคอระหงของฮูหยินมีแต่รอยสีกุหลาบแดงเต็มไปหมด นิ่งงันครู่เดียวก็ถูกนายหญิงเฒ่าสะกิด มามาเฒ่าร้องอ้อคำหนึ่งแล้วสั่งการ
“ยกน้ำชา” คล้ายต้องการเร่งรัดพิธีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
“น้องหญิง ทนเอาหน่อย” เฉินชิงซงโน้มกายกระซิบข้างหู เสียงนั้นอ่อนโยนยากหาสิ่งใดเปรียบปาน
ตั้งแต่ตื่นจากนิทรา แล้วเห็นสภาพสะบักสะบอมของจางเหม่ยอวี้ ความรู้สึกผิดพลันท่วมท้น นึกเกลียดชังตนเองที่ไม่ออมแรงยั้งมือเลย
ยิ่งเห็นหยดเลือดพรหมจรรย์เปรอะเปื้อนบนผ้าปูที่นอน ยิ่งสะท้อนใจ แม้นางจะตื่นลืมตาบอกกล่าวไม่ถือสา เพราะอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องร่วมหอ แต่ในใจของแม่ทัพหนุ่มกลับยิ่งขมเฝื่อนมากกว่าเดิม ไยบุตรสาวของสกุลจางถึงรู้ความถึงเพียงนี้
“ข้าทนไหวเจ้าค่ะ ท่านพี่” จางเหม่ยอวี้พอมีภาพจำเรื่องดีงามเมื่อค่ำคืน พลันขวยเขินสามีจนเบี่ยงหน้าหลบตลอด
แววตาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม คล้ายอยากกลืนกินนางทั้งตัวกระจ่างชัดในห้วงความจำ ร่างกายกำยำลีลาดุเดือดและเผ็ดร้อน มิอาจทำให้
จางเหม่ยอวี้ลบเลือนออกจากหัวสมองไปได้ พวงแก้มใสร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลนเวลาคิดถึงเรื่องสัปดน“ท่านแม่” เฉินชิงซงกระวนกระวายใจยิ่งนักอยากขอร้องมารดาให้ช่วยลดขั้นตอนพิธีการ ทว่ายังไม่ทันเอ่ยคำใดออกมา จินหรงมามาก็ยัดถ้วยน้ำชาใส่มือเขากับฮูหยินเสียแล้ว พร้อมป่าวร้องเสียงดัง
“คำนับแม่สามี”
จางเหม่ยอวี้มึนงง เพราะไม่เหมือนขั้นตอนที่ตนร่ำเรียนมา แต่ในเมื่อมามาเฒ่าประกาศก็มิอาจไม่กระทำตาม
“ขอให้พวกเจ้าทั้งสอง ถือไม้ยอดทองกระบองยอดเพชร มีหลานให้แม่อุ้มในเร็ววัน” หรูหรั่นเซียงรับถ้วยน้ำชาพร้อมกันทั้งสองมือจากบุตรชายกับลูกสะใภ้แล้วกระดกดื่มราวกระหายอยาก “เสร็จแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
เฉินชิงซงหัวสมองขาวโพลนไปชั่วอึดใจ ก่อนจะรีบคำนับมารดาแล้วประคองฮูหยินของตนขึ้นมา
“กลับเรือนเรากันเถอะ”
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี