เฉินชิงซงเอาลิ้นแทรกเข้าไปในปากเล็ก สอดชิมความหวานด้านในพร้อมกับดันแก่นกายเข้าด้านในจนสุด น้ำหวานที่หลั่งรดออกมาจากช่องทางดอกไม้ ทำให้การสอดใส่ง่ายดายขึ้น แม้นจะมีหยดเลือดพรหมจรรย์ซึมออกมาเล็กน้อย แต่ก็มิอาจหยุดอารมณ์กำหนัดที่โหมกระพือขึ้นมาในเวลานี้ได้
แม่ทัพหนุ่มคำรามในลำคอ มือหนาไม่อยู่นิ่ง บีบขยำปทุมถันสองข้างสลับซ้ายขวา ยิ่งภรรยาคนงามแอ่นหน้าอกรับมือตน ชายหนุ่มก็ยิ่งเพิ่มแรงบีบ
ในขณะเดียวกันช่องทางอ่อนนุ่มก็บีบรัดสิ่งของใหญ่โตที่แทรกเข้ามาในกาย จนสัมผัสถึงความเสียวซ่านมากกว่าเดิม เวลาสิ่งนั้นขยับเข้าออกก็ยิ่งสร้างความรัญจวน ให้แล่นริ้วไปตามเส้นประสาท ปลายเท้าบางจิกเกร็ง มือเล็กขย้ำผ้าปูที่นอน หวังระบายความเสียวซ่าน จางเหม่ยอวี้ถึงกับต้องร้องครวญครางออกมาด้วยเสียงอ่อนระโหย
น้ำสีใสไหลยืดยาวเป็นสาย เมื่อริมฝีปากทั้งคู่ห่างออกจากกัน จากนั้นเฉินชิงซงก็ใช้ปากดูดยอดถันสีชมพูอย่างหิวกระหาย และค่อย ๆ ขยับโยกร่างกายเป็นจังหวะช้าก่อนแล้วค่อยเร็วขึ้น
อารมณ์กระสันแล่นริ้วไปตามกระดูกสันหลัง แม่ทัพหนุ่มคำรามลั่นขยับสะโพกสอบกระแทกกระทั้นรุนแรง จนคนใต้ร่างครางกระเส่าด้วยความเสียวซ่านที่โหมแรงขึ้น
จังหวะสุดท้ายเป็นการตอกอัด เหมือนอยากผลักดันแก่นกายเข้าลึกสุด แล้วปลดปล่อยลาวาขุ่นขาวออกมามากมายจนล้นช่องสวาท
เพลงสวาทจบลงแล้วหนึ่งรอบ ทว่าฤทธิ์สุราราคะหาได้ยุติเพียงเท่านี้ เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยังลุกขึ้นมาฟาดฟันสงครามบนเตียงอีกครั้ง คราวนี้เสียงกระเส่าผสมเสียงครวญครางดังกว่าเดิม คล้ายคุ้นชินแนบชิดแล้ว
บรรยากาศในเรือนหอร้อนระอุ ตรงกันข้ามกับด้านหน้าประตู จื่อผิงกับอาหู่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความ
น่าสะพรึงกลัวที่เด่นชัดกว่าความรู้สึกอื่นใด คล้ายพวกนางทั้งสองเข้าใจความรู้สึกการเป็นหนอนน้อยในสายตานกเหยี่ยว“ไม่รู้นายท่านจางไปทำกรรมอันใดไว้ จึงมีคนพุ่งเป้าทำลายบุตรี
หัวแก้วหัวแหวนของเขา” จื่อผิงถอนใจอย่างจนปัญญา บนใบหน้าปรากฏความเคร่งเครียดระคนเศร้าสร้อยหมองใจ นัยน์ตาที่เคยทอประกายบัดนี้ขุ่นมัวมืดมิด“พวกเราคาดเดาคลื่นลมในราชสำนักไม่ได้หรอก”
อาหู่ยกมือจับไหล่สหายรัก นางรู้สึกไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง
“แต่ที่ข้าพอรู้ตอนนี้...”
“หืม...” คำถามของอาหู่ดึงความสนใจจื่อผิงได้ชะงัดดังคาด “เจ้าหมายความว่าอะไร”
“สกุลเฉินต้องมีเกลือเป็นหนอน” นัยน์ตาดำสนิทของอาหู่
กราดเกรี้ยวเด็ดเดี่ยวจริงจัง “สุราราคะพระราชทาน พวกเราเห็นกับตาว่าเป็นเจตนาของผู้สูงศักดิ์มอบให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่คุณชายกัวทำไมต้องมาถูกวางยาปลุกกำหนัดหลังดื่มสุรามงคลด้วยเล่า ท่ามกลางสุรานับร้อยไห ทำไมถึงเจาะจงไปอยู่ที่คุณชายกัวได้” อาหู่อธิบายต่ออย่างไม่เร็วไม่ช้า“จริงอย่างที่เจ้าว่า หากไม่มีคนในตระเตรียม มีหรือไหสุราราคะ
จะไปตั้งบนโต๊ะรับรองคุณชายกัว เหตุนี้แหละกระมังที่ทำให้รองแม่ทัพเผิงเปลี่ยนทหารอารักขายกชุด พร้อมเสริมทัพให้แน่นหนากว่าเดิม”อาหู่ยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากส่งเสียงชู่ว์ พยักพเยิดหน้าไปทางสุมทุมพุ่มไม้
“พวกเราถูกจับตามองอยู่”
จื่อผิงชำเลืองแลแวบหนึ่ง จากนั้นแกล้งทำเฉย ไม่ใส่ใจ ไม่ถาม
ไม่บอกกล่าวสิ่งใดรู้จักบ่าวเรือนหลังจวนตระกูลจางน้อยไปเสียแล้ว...
นางยืนตัวตรง ทอดสายตามองท้องฟ้าทำทีไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของคนที่มาสอดแนมบริเวณหลังพุ่มไม้ สักพักพอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติมันก็เหมือนจะค่อย ๆ ล่าถอยไปอย่างเงียบเชียบ
“เราต้องตามนางไปหรือไม่” พอเห็นความเคลื่อนไหว จื่อผิงเอ่ยถามสหายรักเบา ๆ
“ไม่จำเป็น” อาหู่เอ่ยเบา ๆ จนแทบไม่เห็นว่าปากขยับ พร้อมกับประสานมือวางตรงหน้าท้อง เชิดหน้าขึ้น ตาคอยมองตามเงาตะคุ่มที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไปทุกที
“จวนเฉินโบยบินแตะฐานันดรศักดิ์ปั๋วได้ ย่อมไม่สามัญธรรมดา คงไม่ใช่แค่เราสองที่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง” อาหู่เหล่ตาไปทางซ้ายทีขวาทีเชิงบอกสหาย
‘ทหารอารักขาล้วนรู้แต่แรกแล้ว แค่เลือกปล่อยให้กวางน้อย ตกหลุมพรางเท่านั้น’
เรือนนอนฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลเฉิน
“ข้าหวังว่าซงเอ๋อร์จะอ่อนโยนกับฮูหยิน” หรูหรั่นเซียงเอ่ยถ้อยคำเจือความเวทนาเต็มส่วน ดวงตาสีเทาทอประกายขุ่นแค้นขณะกล่าวว่า
“ขอบคุณรองแม่ทัพเผิงที่ยื่นมือกู้หน้าในงานเลี้ยงวันนี้ ลำบากรองแม่ทัพเผิงแล้ว”
“ฮูหยินผู้เฒ่า อย่าเกรงใจผู้น้อยเลยขอรับ ทุกอย่างล้วนเป็นหน้าที่”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินเข้าประคองร่างของหญิงวัยกลางคนไปนั่งเก้าอี้ เมื่อครู่นางเดินวนไปวนมา รอฟังรางงานอาการของลูกชายกับลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง
ครั้นเมื่อมีคนมารายงานความเคลื่อนไหวให้ทราบ ว่าบัดนี้บุตรชายกับลูกสะใภ้ร้อนระอุอยู่ในห้องหอ คงทั้งคืนจนกว่าฤทธิ์สุราราคะจะหมดลง ก็เกิดอาการสงสารเด็กสาวคนนั้นขึ้นมาจับใจ
“มีหนอนอยู่ในจวนสกุลเฉิน” รองแม่ทัพหนุ่มไม่อยากก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวอื่นก็จริง ทว่ากับเรื่องที่เกี่ยวข้องพัวพันกับค่ายทหารจูเชว่ เขามิอาจหลีกเลี่ยงพ้น
“ข้าตัดสินใจแล้ว จะยกให้ซงเอ๋อร์กับฮูหยินจัดการเรื่องนี้ ข้าแก่มากแล้ว สู้รบตบมือกับคนชั่วไม่ไหว”
ในน้ำเสียงหรูหรั่นเซียงแฝงความเจ็บปวดจนปัญญา คล้ายรู้แก่ใจแล้วว่าหนอนตัวร้ายนำหายนะมาสู่จวนเฉินคือผู้ใด หนำซ้ำใบหน้าของนางในเวลานี้ยังเต็มไปด้วยความสลดหดหู่
“คราวนี้ท่านแม่ทัพคงไม่คิดยั้งไมตรีเก่าแก่อีก ผู้น้อยเองก็คงไม่คิดช่วยพูดเหมือนทุกครั้ง” ปลายเสียงเผิงเสียนจือเริ่มตะกุกตะกัก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง พลางถอนใจกล่าวว่า
“ครานี้คงยากจะแก้ตัวแล้วจริง ๆ ข้าเองก็คงไม่ออกแรงปกป้องอีก สุดแต่ซงเอ๋อร์จะตัดสิน” หลังเอ่ยจบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เชิญแขกกลับไปพักผ่อน วันนี้ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว นางเองก็อ่อนล้าเต็มที คงต้องพักผ่อนแล้วเหมือนกัน
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี