จวนสกุลเฉิน...
“คุณชายกัวจิ้นเต๋อไม่คิดอยากจะหนีออกไป อำลาอดีตคนรักหน่อยหรือ”
เผิงเสียนจือแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ ส่ายหัวพัลวันขณะที่เขาเองก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยตามไปด้วย
ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายเป็นคนรักเดียวใจเดียว ตั้งใจว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคมากมายไปด้วยกัน แต่ไฉนเลยวันนี้กลับตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะทำอันใดไม่ได้แล้ว ยังถูกบิดากักบริเวณให้อยู่แต่ภายในห้องอีก
“บ่าวคิดว่าคุณชายกัวคงไม่ได้รักจริงหรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างห้องนามว่าฟู่หว่าจีบปากจีบคอพูด พลางทำสีหน้าเย้ยหยัน จากนั้นเดินนวยนาดบิดสะโพกกลมกลึงยั่วยวนสายตา ยกกาน้ำชามาเติมในถ้วยของแม่ทัพ
เฉินชิงซง“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?” เผิงเสียนจือถามกลับอย่างฉงน
“ข้าได้ยินชาวบ้านต่างเล่าลือกันว่า...” นางเว้นจังหวะชำเลืองสีหน้าบุรุษที่เคยร่วมเตียงในวันพิธีก้าวสู่วัยหนุ่มของตระกูลเฉิน
“คำครหาว่าที่ปั๋วเฉินฮูหยินมีอะไรอีกรึ” เผิงเสียนจือแสร้งทำเป็นใคร่รู้ เขาอยากรู้นักว่าสาวใช้ผู้นี้ จะพ่นถ้อยคำเหม็นเน่าอะไรออกมาอีก
ฟู่หว่าถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อเรียกร้องความสนใจจาก
แม่ทัพเฉินชิงซงไม่ได้ เพราะเขายังคงอ่านรายงานทางการทหารอย่าง เคร่งขรึมไม่แม้แต่เงยหน้ามาสบตากับนาง“ชาวบ้านเล่าต่อ ๆ กันว่า ความจริงแล้วสกุลกัวไม่มีใครชอบคุณหนูจางสักคนเลยเจ้าค่ะ กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าเองยังเคยเอ่ยปากคัดค้าน สาเหตุเป็นเพราะสกุลจางต่ำศักดิ์กว่ามากเจ้าค่ะ” ความสะใจปรากฏขึ้นในแววตาของหญิงสาว มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เค้นเสียงเอ่ย “เหอะ! ช่างน่าสมเพชนัก ขนาดตระกูลกัวยังไม่เห็นคุณค่าในตัวนาง แต่ฝ่าบาทก็ยังประทานคนไร้ค่าอย่างนางมาให้ตระกูลเฉินรับไว้อีก ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
ปึง!!!
เฉินชิงซงเผลอทุบโต๊ะเสียงดังปึง ทำเอาฟูหว่าพลันสะดุ้งเฮือก ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสายตาเย็นเยียบ
“ฟู่หว่า! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้มีสิทธิ์มาวิจารณ์ว่าที่ฮูหยิน
ของข้า”“ข้า…ข้าย่อมต้องมีสิทธิ์เจ้าค่ะ ในเมื่อข้า…” ฟู่หว่ากล่าวยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็พูดสวนกลับขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าเป็นเพียงแค่ทาส อย่าริอ่านนินทา หรือกล่าววาจาให้ร้ายว่าที่
ฮูหยินของข้าอีก หากเจ้ายังขืนดื้อดึงไม่ฟังความ จะหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้”น้ำเสียงเยียบเย็นเสียดกระดูกส่งกระแสอำมหิตรุนแรง
ฟู่หว่าตกใจเนื้อตัวสั่น รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ ตอนนี้ได้แต่ต้องข่มความหวาดกลัวไว้ในลำคอจนเอ่ยวาจาใดออกมาไม่ได้
เดิมทีนางตั้งใจใส่ร้ายป้ายสีว่าที่ภรรยาเอกของท่านแม่ทัพ ทว่ากลับทำไม่สำเร็จ นางเหลียวหน้ามองเผิงเสียนจือคล้ายขอความช่วยเหลือ
ทว่ารองแม่ทัพกลับยักไหล่ไม่ยี่หระ ยกจอกน้ำชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ เมื่อไม่ได้รับความเห็นใจ ฟู่หว่าจึงยกมือปิดหน้าปล่อยโฮแล้วสาวเท้าวิ่งออกจากห้องหนังสือไป
หากจะกล่าวกันตามตรง ฟูหว่าคือสตรีคนแรกที่ตัดเส้นพรหมจรรย์ของแม่ทัพเฉินชิงซง
ตระกูลขุนนางมีประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ การบ่งบอกว่าเด็กชายย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม บุรุษอายุสิบห้าจำต้องขึ้นเตียงศึกษาวิธีผลิตทายาท ตระกูลต่ำศักดิ์เรียกใช้นางโลมโคมเขียว ส่วนตระกูลศักดิ์สูงจะคัดเลือกสาวใช้หน้าตาหมดจดสดใส สั่งสอนวิธีปรนนิบัติเจ้านายหนุ่ม
หลังเสร็จสิ้นพิธีกรรมบางคนได้รับโชคใหญ่กลายเป็นสาวใช้อุ่นเตียง รอนายน้อยเข้าพิธีสมรส แล้วเลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยา ทว่าบางคนก็ไม่เป็นที่ต้องตาพึงใจได้เป็นเพียงสาวใช้ข้างห้อง นานทีเจ้านายถึงเรียกรับใช้บนเตียงครั้งหนึ่ง หรือถ้าอนาถหนักก็กลับไปทำหน้าที่ใช้แรงงานเช่นเดิม
ฟู่หว่าเป็นประเภทหลัง แม่ทัพเฉินชิงซงร่วมเตียงแค่วันเข้าพิธี
เสร็จกิจก็ไม่เหลียวแลอีกเลย แม้นนางจะพยายามเข้าหาอย่างเปิดเผย ท่านแม่ทัพหนุ่มก็เลือกวิธีแสดงกิริยาเฉยเมยเป็นคำตอบ‘ข้ามิได้ชอบเจ้า’
ฟู่หว่าโชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดูสงสารเลยเลื่อนตำแหน่งให้เป็น
สาวใช้ข้างห้องคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่ทัพในทุกค่ำคืนทว่าร่วมเจ็ดปีแล้วที่นางไม่เคยได้เห็นผิวใต้ร่มผ้าบุรุษผู้กุมหัวใจของนางอีกเลย เขาผลักไสหนำซ้ำยังสร้างกำแพงกั้น ไม่ยินยอมให้นางก้าวข้ามไป
อาจเพราะฟู่หว่าเป็นสตรีคนเดียวที่เคยร่วมเตียงกับท่านแม่ทัพเฉิน ซ้ำยังได้รับความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่า พลอยทำให้บ่าวไพร่ในจวนเฉินเกรงใจพินอบพิเทาต่อนาง ปฏิบัติเหมือนนางเป็นอนุท่านแม่ทัพ ฟู่หว่าเลยติดนิสัยวางกล้ามใหญ่โต เชิดหน้าปรายตามองผู้อื่น
ยามมีสาวใช้หน้าตางดงามเข้ามาใหม่ มักถูกหาเรื่องใส่ความขับไล่
ไสส่งให้พ้นจวนเฉิน ฟู่หว่ากลัวสาวใช้หน้าใหม่ได้ดีกว่าตน เกิดแม่ทัพเฉินต้องตาพึงใจพวกนาง แล้วยกฐานะเป็นสาวใช้อุ่นเตียง ซึ่งสูงขั้นกว่าสาวใช้ข้างห้อง มีหวังนางคงอกกลัดหนองตรอมใจตายความจริงแม่ทัพเฉินชิงซงเป็นคนนิสัยซื่อตรงต่อความรู้สึก หากพึงใจเขาจะแสดงออก หากไม่ชอบแล้วต่อให้ใส่พานถวายเขาก็ไม่รับ ฟู่หว่าคือสตรีที่เขากล้ำกลืนทำเรื่องอย่างว่า ด้วยหน้าที่ผู้สืบทอดตระกูลต้องคงรักษาประเพณีดีงาม และขัดคำสั่งผู้อาวุโสซึ่งคุมกฎตระกูลเฉินไม่ได้
แต่หลงใหลหรือไม่ คำตอบเดียวคือ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวนาทีเดียวที่จะเผลอไผลกับนาง ยิ่งพักหลังเกิดการกลั่นแกล้งรังแกข่มเหงบ่าวไพร่พวกเดียวกันในจวนด้วยแล้ว เขายิ่งไม่เห็นนางในสายตา
สาเหตุมาจากฟู่หว่าหึงหวงเขา ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ชอบหน้า ทว่ามารดากลับร้องขอเขาไว้ไม่ให้ไล่นางออกจวน
เหตุผลของมารดาเขาก็มาจากบิดาแซ่ฟู่ของฟู่หว่า ซึ่งสละชีวิตปกป้องท่านพ่อของเขาตอนออกศึกเมื่อยี่สิบปีก่อน ผลงานผู้พ่อส่งต่อถึงบุตรสาว ฟู่หว่าจึงกลายเป็นผู้มีคุณต่อตระกูลเฉินไปโดยปริยาย
หลังจากร้องไห้โฮออกจากห้องมาแล้ว ฟู่หวาก็ได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บช้ำปนแค้นเคืองใจลงไป ด้วยไม่อยากให้บ่าวไพร่คนอื่นได้เห็นน้ำตาของนาง จนนำไปนินทาหรือเย้ยหยันกันให้สนุกปาก
คอยดูเถิด! สักวันนางจะทำให้ท่านแม่ทัพยอมรับเป็นอนุให้ได้
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี