“ท่านแม่ทัพจะดุดันไปทุกเรื่องแบบนี้จะดีหรือ” เผิงเสียนจือเริ่มรู้สึกเป็นห่วงว่าที่ปั๋วเฉินฮูหยินคนใหม่เสียแล้ว “ถึงอย่างไรคุณหนูจางก็น่าสงสารไม่น้อย ขนาดอยู่เฉยๆ ยังไม่วายถูกดึงเข้าสู่วังวนการเมือง”
แววตารองแม่ทัพเต็มไปด้วยความวิตก
“ข้าหวังว่าเรือนหลังของท่านแม่ทัพจะอยู่กันอย่างผาสุกนะ”
“ถ้าอยากให้จวนเฉินสงบ เจ้าควรส่งชิ่นหลิงกลับจูเชว่” เฉินชิงซงเอ่ยถึงอีกหนึ่งตัวปัญหา
เผิงชิ่นหลิงหรือน้องสาวคนเดียวของรองแม่ทัพเผิงเสียนจือ นางเปิดเผยความรู้สึกของตนเองอย่างโจ่งแจ้ง หมายปองท่านแม่ทัพเฉิน อยากครองรักครองเรือนตราบสิ้นลมหายใจ
นางถึงขั้นติดตามฮูหยินเฒ่าเฉินเข้าเมืองหลวง ปรนนิบัติดูแลเหมือนลูกสะใภ้ พี่ชายมาตามกลับชายแดนจูเชว่ นางก็หาวิธีกลับจวนเฉินได้อยู่ดี
ยิ่งคราวนี้เผิงชิ่นหลิงไม่มีวันโบกมือจากลาง่ายๆ นางปักหลักตั้งท่ารอประมือกับว่าที่ปั๋วเฉินฮูหยินอย่างใจจดใจจ่อ
“มิใช่ข้าไม่จัดการน้องสาวตัวเอง แต่นาง...” ดื้อรั้นและมั่งคงในรักแรกรักเดียวของตนเองไม่เสื่อมคลาย เผิงเสียนจือกำลังจะเอ่ยชี้แจง ทว่าถูกสอดคำเสียก่อน
“อย่าให้ข้าลงมือเอง ที่ผ่านมาเห็นแก่เจ้าหรอกนะ”
เฉินชิงซงกล่าวเสียงแข็งกระด้าง ท่าทางดุดันน่ายำเกรง จ้องลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของสหายร่วมรบ แววตาลึกล้ำช่างทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันยิ่งนัก
บุรุษสกุลเผิงเป็นคนที่คอยเคียงบ่าเคียงไหล่นองเลือดมาด้วยกัน เขานั้นมีข้อดีมากมาย ทว่ากลับมีข้อเสียเดียว ซึ่งข้อเสียกลับใหญ่หลวงนัก นั่นคือควบคุมพฤติกรรมน้องสาวไม่ได้
เผิงเสียนจือกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางตอบรับ
“ผู้น้อยทราบแล้ว”
รองแม่ทัพหนุ่มหดหัวอย่างเจียมตัว เขามีชนักติดหลังคอยเป็นหนามแหลมทิ่มแทงอยู่นานหลายปี น้องสาวคนดีดื้อด้าน ลืมยางอายวิ่งโร่ตาม
ขอรักท่านแม่ทัพจนอีกฝ่ายเบื่อหน่ายแสนระอา มันน่าหนักใจนัก“เรื่องน้องสาวเจ้าเอาไว้ก่อน ข้ามีเรื่องอื่นอยากถามอีก”
“เรื่องของนายท่านเฉินใช่หรือไม่ขอรับ” ทันทีที่เอ่ยถึงบิดาของเจ้านาย เผิงเสียนจือก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นกว่าเดิม เรื่องน้องสาวของเขา หรือแม้แต่เรื่องของว่าที่ฮูหยินก็ยัง
ไม่สำคัญเท่าเรื่องนี้
“ใช่ สืบไปถึงไหนแล้ว”
“แผนการรบในครั้งนั้นมีเพียงคนของฝ่ายเราเท่านั้นที่มีข้อมูลแน่ชัด ส่วนทางวังหลวงรู้เพียงใจความสำคัญหลังจากเสร็จศึกแล้วเท่านั้นขอรับ ส่วนขั้นตอนและวิธีการทั้งหมดมิได้เปิดเผยออกไป”
“หากคนทางวังหลวงไม่รู้ แล้วเหตุใดตราหยกขององค์ชายสามจึงตกในที่เกิดเหตุได้เล่า ที่ผ่านมาข้าเก็บความสงสัยมานานมากแล้ว คราวนี้ได้มีโอกาสมาเมืองหลวงคงต้องหาหนทางพิสูจน์สักหน่อย”
“ท่านแม่ทัพจะเข้าวังหรือขอรับ”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น หากไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร เจ้าเองก็เถอะ ไหน ๆ ก็เข้ามาในเมืองหลวงแล้วก็ลองสืบข่าว ทั้งจากในวังและตามจวนของขุนนางสำคัญไว้ด้วยแล้วกัน
“ขอรับท่านแม่ทัพ หากมีเรื่องคืบหน้า ข้าจะรีบมารายงานท่านทันที”
หลังจากที่รองแม่ทัพหนุ่มเอ่ยจบ เฉินชิงซงก็ปล่อยให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน จากนั้นเมื่ออยู่ตามลำพังแล้ว เขาก็นำชิ้นส่วนป้ายหยกขององค์ชายสามออกมาจากกล่องไม้ในลิ้นชัก
สิ่งนี้เขาพกติดตัวไว้ตลอด นับตั้งแต่วันที่ได้รับมัน
ในคราที่ตัวเขาไปรับศพของบิดามาจากสนามรบ โดยมีคนกล่าวว่าสิ่งนี้อยู่ในมือของท่านแม่ทัพใหญ่เฉินในวันที่สิ้นใจ ซึ่งคนที่นำมันมามอบให้เขาด้วยมือของตนเองก็คือต้าซือจิง แม่ทัพฝ่ายซ้าย คนสนิทของแม่ทัพใหญ่เฉิน
ทว่าตัวเฉินชิงซงได้พบต้าซือจิงเพียงแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว เพราะในเวลาต่อมาแม่ทัพฝ่ายซ้ายก็สิ้นชีพในสนามรบตามไปอีกคน ทว่าการตายของต้าซือจิงนั้นย่ำแย่กว่าบิดาของเฉินชิงซงมาก เนื่องจากมีเสียงเล่าลือว่า เขาถูกต้อนจนจนมุมยามออกศึกก่อนจะถูกฝ่ายศัตรูจับตัวไปเผาทั้งเป็น ทว่าน่าแปลกที่กลับไม่มีใครพบร่องรอยของแม่ทัพฝ่ายซ้ายอีกเลย แม้แต่ชิ้นส่วนของร่างกายที่ถูกเผาไหม้ก็คล้ายว่าจะสูญหายไปดื้อ ๆ
ด้วยเหตุนี้แม่ทัพหนุ่มจึงคาดเดาว่า ทั้งท่านพ่อและแม่ทัพฝ่ายซ้ายอาจรู้เรื่องราวบางอย่างที่องค์ชายสามกระทำหรือไม่ จึงได้ถูกลอบสังหารในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยที่ความจริงมิได้ถูกคนของต้าโจวสังหารอย่างที่คนอื่นๆ ในกองทัพเข้าใจ
เพราะดูแล้วคนที่ทำให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ได้ ไม่น่าจะใช่คนจากฝ่ายศัตรู เนื่องจากในช่วงเวลาที่ทั้งสองสิ้นชีพ มิใช่ช่วงเวลาที่อยู่ในสมรภูมิรบเต็มตัว หากแต่อยู่ในช่วงที่กำลังถอยร่นคุมเชิงอยู่มากกว่า อีกทั้งคำพูดที่เป็นปริศนาของแม่ทัพฝ่ายซ้าย คนสนิทของบิดาที่กล่าวกับเขาว่าให้ระวังองค์ชายสามให้ดีนั่นก็ด้วย
แม้ว่าเฉินชิงซงจะมิใช่คนที่เชื่ออะไรที่ปราศจากข้อมูลน่าเชื่อถือ ทว่าเมื่อคนสนิทของบิดาร้องเตือน เขาจึงมิอาจเพิกเฉยที่ผ่านมาจึงได้ตามสืบเรื่องนี้มาโดยตลอด
ทว่าองค์ชายสามนั้นมีสุขภาพไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ยังเยาว์ ทุกวันนี้ก็เอาแต่อยู่ในวัง มิได้ดูแลงานด้านใดเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งยังไม่มีการซ่องสุมกำลังลับ ๆ อย่างที่คนที่มีแผนการใหญ่ในใจควรจะทำด้วย
ดังนั้นเรื่องนี้แม่ทัพหนุ่มจึงยังไม่กล้าผลีผลาม เขาจำเป็นต้องสืบข้อมูลให้รอบด้านกว่านี้ ก่อนจะด่วนสรุปสิ่งใดลงไป เพราะหากต้องการทวงแค้นเลือดให้แก่บิดาย่อมต้องทวงคืนให้ถูกคน
ณ เรือนฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉิน
ฟู่หว่าสาวเท้าวิ่งนำความน้อยเนื้อต่ำใจมาฟ้องหรูหรั่นเซียง ทว่าเพียงก้าวข้ามธรณีประตู กลับพบเผิงชิ่นหลิง ผู้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกำลังหัวเราะคิกคักอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่า ความริษยาจึงครอบงำจิตใจทันที
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าขา” นางโผกายเข้าแทรกกลางระหว่างสตรีต่างวัยทั้งสอง
“อะไรของเจ้า ไร้มารยาทสิ้นดี” เผิงชิ่นหลิงที่ถูกฟู่หว่าชน
จนกระเด็นนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินรู้สึกตกใจไปชั่วขณะ ยามเมื่อเห็นสาวใช้คนสนิทที่นางชุบเลี้ยงแสดงกิริยาไม่เหมาะสม
“ฟู่หว่า! เจ้าร้องไห้ทำไมรึ!” นางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แม้รู้ดีอยู่เต็มอก ว่าสาเหตุที่ทำให้ฟู่หว่าหลั่งน้ำตาได้นั้นมีแค่ไม่กี่เรื่อง
“ท่านแม่ทัพดุบ่าวเจ้าค่ะ” ฟู่หว่าฟ้องด้วยท่าทางอ่อนแอน่าสงสาร ร้องห่มร้องไห้น้ำตาอาบหน้า “บ่าวเข้าไปรายงานข่าวที่ชาวเมืองเล่าลือเท่านั้น แต่ท่านแม่ทัพกลับตวาดจนบ่าวขวัญกระเจิง นายหญิงอย่าให้ท่านแม่ทัพขายบ่าวเลยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่นึกสังเวชใจ ทำไมนางจะไม่รู้จักนิสัยของบุตรชาย ฟู่หว่าคงจะพูดจาไม่เข้าหูก็เลยถูกไล่ออกมาอีกแล้วกระมัง
“สงบใจก่อน อย่าคิดมากเลย ช่วงนี้ต้องใช้แรงงานจากบ่าวไพร่อยู่ ซงเอ๋อร์ยังไม่ขายเจ้ายามนี้หรอก”
ประโยคสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่มีความเบื่อหน่ายรำคาญเจือปน
“นะ…นายหญิงผู้เฒ่า มะ…หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ฟู่หว่าปากอ้าตาค้าง ตกตะลึงจนเกือบหยุดหายใจไปชั่วขณะ ฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินไม่เคยเอ่ยวาจาตัดรอนนางเช่นนี้ วันนี้เหตุใดประมุขเรือนหลังจวนเฉินถึงเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะว่าที่ปั๋วเฉินฮูหยิน คนน่าไม่อายคนนั้นกัน ฟู่หว่าเริ่มพาลระรานไปทั่ว
เผิงชิ่นหลิงยิ้มเยาะสาแก่ใจ ในคราวเคราะห์ของฟู่หว่า
ฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินหรี่ตาจ้องฟู่หว่า แล้วเอ่ยดุเสียงกระเง้ากระงอด
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วกี่ครั้ง หากท่านแม่ทัพไม่เรียกหา อย่าริอ่านเสนอหน้าไปเจอ คราวนี้เจ้าผิดที่ไม่ฟังคำสั่งข้า”
“นายหญิงผู้เฒ่า ข้าแค่อยากเจอท่านแม่ทัพ” ฟู่หว่าอดมิได้ที่จะเริ่มปล่อยโฮเรียกความสงสารจากฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉิน “จากนี้บ่าวรู้สำนึกแล้ว จะไม่ไปรบกวนท่านแม่ทัพอีกเจ้าค่ะ นายหญิงผู้เฒ่า บ่าวผิดไปแล้ว”
หรูหรั่นเซียงกลอกตาดำขึ้นฟ้า นึกคิดในใจช่างเอือมระอาผู้มีคุณ
คนนี้หนักหนา ฉับพลันหัวสมองก็ผุดภาพว่าที่ลูกสะใภ้ขึ้นมาหวังว่านางจะปัดกวาดสตรีเหล่านี้ ให้พ้นจวนเฉินแบบละมุนละม่อม ไม่เด็ดขาดดุดันเหมือนบุตรชายของนาง
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี