Beranda / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 28 ค่ำคืนลึกลับ

Share

บทที่ 28 ค่ำคืนลึกลับ

เมื่อจางส่วงเอ่ยชื่อ "ซุนสีห่าว" ออกมา จางอี้หมิง ถึงกับพ่นสุราออกมาเต็มโต๊ะ!

แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวอะไร จางหลันซือ น้องสาวของเขา ก็ลุกขึ้นมาทันที ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางจ้องบิดาตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะกล่าวเสียงดัง

               “ข้าไม่ยอม!”

น้ำเสียงของนางเด็ดขาดและหนักแน่น บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบลงทันที

จางอี้หมิงรีบเช็ดปาก เช็ดน้ำสุราที่พ่นออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวสนับสนุนน้องสาว

               “ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย!”

เขาวางจอกสุราลงกับโต๊ะดัง ตึง! แล้วกล่าวต่ออย่างหนักแน่น

               “ซุนสีห่าวผู้นี้เป็นคนชั่วช้า ไม่เหมาะกับน้องหญิงแม้แต่น้อย! ข้าเกือบซัดหน้ามันที่สำนักเทียนหยาง”

เขาพูดจบก็กวาดตามองบิดาของตนอย่างจริงจัง

แต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ หลี่เอ้อเหมียว ผู้เป็นมารดาเลี้ยงของเขาก็วางตะเกียบลงเบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ

               “อาหารใกล้เย็นแล้ว มากินข้าวกันเถอะ”

ถึงแม้คำพูดของนางจะอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้ทุกคนในโต๊ะเงียบลงโดยไม่รู้ตัว

บรรยากาศสงบลง จางอี้หมิงรีบอาหารเข้าปาก ทั้งเป็ด ทั้งไก่ ทั้งเนื้อ ล้วนผ่านปากเขาลงท้องทั้งหมดจนอิ่ม

หลังจากอาหารมื้อใหญ่สิ้นสุดลง จางอี้หมิง วางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้น

“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอตัว”

จากนั้นจางอี้หมิงหยิบกาสุรา แล้วกล่าวกับ ซงเอ๋อร์

               “พวกเราไปนั่งคุยกันเถอะ”

ซงเอ๋อร์ เงยหน้ามองเขา ใบหน้างามแดงระเรื่อเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าตอบอย่างอ่อนโยน

               “เจ้าค่ะ”

จากนั้นเดินตามหลังเขาออกจากห้องอาหารไป

ในตรอกเล็กๆ ของเมืองหลวง ถัวเค่อชี ศิษย์ระดับสามของสำนักเทียนหยาง ก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบ ในคืนวันหยุดพักผ่อน ท่ามกลางแสงโคมไฟสลัวยามค่ำคืน

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะเขาเต็มแรง

               “ขออภัย! ขออภัยด้วย!”

บุคคลนั้นกล่าวขอโทษเสียงอ่อนน้อม ก่อนจะสะบัดมือ พ่นผงประหลาดสีจางใส่ใบหน้าของเขา

ถัวเค่อชี รู้สึกมึนงง สมองหมุนเคว้ง เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู

กิ๊ง! กิ๊ง!

เสียงกระดิ่งดัง

ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ราวกับมีบางสิ่งควบคุมสติสัมปชัญญะของเขา เท้าก้าวเดินไปเอง โดยที่เขาไม่อาจต้านทานได้

ตรอกมืดแห่งหนึ่ง

ถัวเค่อชี หยุดลงที่หัวมุมตึก ร่างสูงของเขายืนนิ่งราวหุ่นเชิด รอคำสั่งจากเจ้านายที่มองไม่เห็น

จากความมืดมิด ปรากฏร่างสตรีนางหนึ่ง นางสวมหน้ากากปกปิดโฉมหน้า สวมชุดคลุมสีเทายาวถึงพื้น กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกจากร่างของนาง

               “เจ้าเป็นศิษย์แห่งเทียนหยางสินะ?”

เสียงของนางดังขึ้น นุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทาน

ถัวเค่อชี ยืนนิ่ง ดวงตาไร้แวว ราวกับจิตใจของเขาหลุดลอยไปแล้ว

สตรีลึกลับก้าวเข้าใกล้ วางนิ้วเรียวลงบนคางของเขา ยิ้มเย็นชา

               “กลิ่นไอความริษยาของเจ้า... รุนแรงเสียจริง”

ดวงตาของ ถัวเค่อชี กระตุกเล็กน้อย ราวกับคำพูดของนางกระทบถึงจิตใต้สำนึกที่ซ่อนเร้น

นางกระซิบที่ข้างหูเขา

               “หากเจ้ายินดีทำงานให้ข้า ข้าจะมอบพลังให้เจ้า…”

เสียงของนางชวนให้หลงใหล ราวกับมีเวทมนตร์สะกดจิต

ถัวเค่อชี ขมวดคิ้วก่อนจะถามเสียงแข็ง

               “ทำสิ่งใด?”

สตรีปริศนาเผยรอยยิ้มจางๆ

               “ปลดการป้องกันของสำนักเทียนหยางออก”

บรรยากาศเงียบงันชั่วขณะ จากนั้น เสียงของ ถัวเค่อชี ก็ดังขึ้น แผ่วเบา แต่นิ่งแน่ว

               “ตกลง”

แสงประหลาดสีแดงปรากฏขึ้นที่หน้าผากของเขา พริบตาเดียวก็หายไป

ดวงตาของ ถัวเค่อชี กลับมามีสติอีกครั้ง ร่างของสตรีลึกลับหายไปแล้ว เขาสะบัดศีรษะ รู้สึกงุนงง

               “เกิดอะไรขึ้น...?”

               “ปลดการป้องกันของสำนักเทียนหยาง…” เสียงในหัวของเขาดังก้อง มือของเขากำหมัดแน่น ดวงตาฉายแววสับสนมึนงง

ท่ามกลางตรอกแคบที่เงียบสงัด สตรีลึกลับ ยืนพิงกำแพงอยู่ในมุมมืด ร่างของนางแนบชิดกับเงา จนแทบกลืนหายไปกับความมืดมิด

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าแผ่วเบา ก็ดังขึ้น จากปลายตรอก ปรากฏร่างของ ชายลึกลับ สวมชุดคลุมสีเทาเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขาปกปิดด้วยหน้ากากสีเทา

เขาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้านาง ดวงตาสีดำขลับจ้องนางผ่านหน้ากาก

               “ดำเนินการอย่างไรต่อ?”

สตรีลึกลับ ไม่ตอบในทันที นางเพียงยกมือขึ้นช้าๆ ลูบไล้ขอบหน้ากากของตนเบาๆ ราวกับกำลังครุ่นคิด

จากนั้น...นางแย้มรอยยิ้มบางๆ

               “รอสัญญาณจากข้าก็พอ”

เสียงของนางเย็นเยียบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่าง

ชายลึกลับ พยักหน้ารับคำ ไม่ถามอะไรอีก ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ร่างของเขาหายไปในเงามืด เงียบเชียบ ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่

               “หมากตัวแรกของข้าถูกวางลงกระดานแล้ว อยากรู้ยิ่งนักพวกสำนักเทียนหยางจะแก้เกมยังไง กลิ่นไอมารของคนในสำนักอันสูงส่งของเจ้าช่างรุนแรงยิ่งนัก อีกไม่นานข้าจะมอบของขวัญให้แก่พวกเจ้า ศิลาเฝิ่นเหิงจะต้องมาอยู่ในมือพวกข้า” สตรีลึกลับนามว่า เฉิน เสี่ยวฮุ่ย กล่าว

เสี่ยวฮุ่ย ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด มีแสงริบหรี่จากดวงจันทร์ส่องมาเปล่งประกายบนหน้ากากสีดำที่ปกปิดใบหน้าของนาง ขณะเงบขึ้นไปบนท้องฟ้า

นางชูแขนสองข้างขึ้นกล่าวว่า “เจ้าตำหนัก ข้าจะทำให้ท่านฟื้นคืนให้ได้!”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status