เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบ
กลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขา
แววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ
“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”
จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆ
ซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบา
ทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกาย
ช่างผ่อนคลายยิ่งนัก!
จางอี้หมิงเงยหน้ามองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นางชุบผ้าในอ่างน้ำเบาๆ แล้วบีบน้ำออก ก่อนจะส่งให้เขา
“ตลอดสองสามวันนี้ เจ้าคอยปรนนิบัติข้าอยู่ตลอด เจ้าไม่รำคาญหรือ?”
ซงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น แววตาของนางสะท้อนแสงเทียนอ่อนๆ ประกายอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นราวกับผิวน้ำต้องแสงจันทร์
“ข้าน้อยยินดีเจ้าค่ะ”
“ยินดีเพราะเป็นหน้าที่ หรือเพราะใจจริง?”
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเม้มริมฝีปากบาง นางก้มหน้าหลบสายตาเล็กน้อย ราวกับลังเลที่จะเอ่ยคำตอบ ทว่าหัวใจของนางกลับเต้นแรงจนแทบเก็บซ่อนไม่อยู่
“ยินดีด้วยใจจริง” นางตอบเบาๆ
จางอี้หมิงมองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างอ่างอย่างนิ่งสงบ แสงเทียนส่องกระทบเสี้ยวหน้าของนางยิ่งขับให้ดูงดงามละมุนละไม ใบหน้าของเขาค่อยๆ โน้มเข้าไปใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นอันหอมหวนของนาง
“หากไม่มีกฎเหล็กของราชสำนัก ข้าคงแต่งตั้งเจ้าเป็นฮูหยินไปแล้ว”
ซงเอ๋อร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“คุณชายพูดเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นชะตากรรมที่ยากเปลี่ยนแปลง”
“หากข้าจะเปลี่ยนเล่า?”
ซงเอ๋อร์ช้อนตาขึ้นสบกับเขา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“ท่านคงต้องแข็งแกร่งจนฮ่องเต้ไม่กล้าทำร้ายคนสกุลจาง”
จางอี้หมิงยกมือขึ้น ปลายนิ้วของเขาลูบไล้แก้มเนียนนุ่มของนางเบาๆ
“เจ้าพูดถูก” เขากล่าวเสียงแผ่ว
จางอี้หมิงจ้องมองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ ใบหน้านางงดงามจนเขาไม่อยากละสายตาไปไหน
“เจ้าจะอาบน้ำกับข้าหรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์
ซงเอ๋อร์เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายิ่งแดงซ่านกว่าก่อนหน้านี้
“ข้า...ข้าจะไปนอนรอท่าน” นางกล่าวก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้อง
จางอี้หมิงหัวเราะในลำคอเบาๆ เขาส่ายหน้าเล็กน้อย สายตายังคงทอดมองไปยังประตูที่นางเพิ่งจากไป
“ช่างเป็นแม่หญิงที่น่าเอ็นดูเสียจริง…”
เขารีบอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะเดินไปยังห้องนอนที่มีใครบางคนกำลังรออยู่
เมื่อจางอี้หมิงเดินมาถึงเตียง เขาพบว่ามีร่างบอบบางของ ซงเอ๋อร์ นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ผ้าม่านบางพลิ้วไหวไปตามสายลมยามค่ำคืน
แสงจันทร์เสี้ยวยังคงส่องแสง แสงจันทร์ส่องลอดผ่านหน้าต่างเป็นประกายอ่อนโยน กระทบใบหน้าของหญิงสาวที่นอนหลับตาอยู่ ริมฝีปากของนางเผยอเล็กน้อย คล้ายกำลังฝันถึงบางสิ่ง
จางอี้หมิงมองภาพตรงหน้า สายตาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและแฝงแววซุกซน เขาค่อยๆ ยกมุมผ้าห่มขึ้น มุดเข้าไปด้านหลังของนางอย่างเงียบเชียบ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนกายนางลอยกระทบจมูก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
วงแขนแข็งแรงโอบกอดรอบเอวนางจากด้านหลัง ร่างของซงเอ๋อร์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรู้ว่าเป็นใคร นางพยายามขยับตัวเล็กน้อย แต่กลับถูกจางอี้หมิงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“คุณชาย…” นางกระซิบเสียงแผ่ว
“ทำไมเข้าไม่มานอนดีๆ เจ้าคะ”
ริมฝีปากของเขาแนบลงใกล้ใบหูนาง เสียงกระซิบของเขาชิดใบหู ราวกับจะหลอมละลายหัวใจ
“ข้าอยากให้เจ้ารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย”
เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้หัวใจของซงเอ๋อร์เต้นกระหน่ำ ไอร้อนจากลมหายใจของเขาไล้ผ่านต้นคอขาวเนียน ทำให้นางเผลอขยับตัวเบาๆ เพื่อลดความร้อนผ่าวที่แล่นไปทั่วร่าง
ซงเอ๋อร์พยายามเปลี่ยนเรื่อง เพื่อกลบเกลื่อนความหวั่นไหวในใจ
“พรุ่งนี้เช้า คุณชายต้องกลับไปสำนักเทียนหยางแล้ว”
จางอี้หมิง แนบใบหน้ากับซอกคอนาง สูดกลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาว ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว
“ข้าอยากหนีบตัวเจ้ากลับไปด้วยเสียจริง”
ซงเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ‘หึหึ’ ใบหน้าของนางแดงก่ำจากความใกล้ชิด
“คุณชายวาจาเหลวไหลยิ่งนัก”
บรรยากาศเริ่มเงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสองที่แผ่วเบาและใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง
ซงเอ๋อร์ลังเลไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ราวกับจะตัดสินใจบางอย่าง
“ข้าน้อยรู้ว่าคุณชายปรารถนาสิ่งใดจากข้าน้อย”
จางอี้หมิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าว่าอะไร?”
ซงเอ๋อร์ พลิกกายหันกลับมาประจันหน้ากับเขา แววตาของนางฉายแววอ่อนหวาน แต่ก็เต็มไปด้วยความลังเล
“ความจริง...ข้าน้อยก็ปรารถนาเช่นนั้น”
ริมฝีปากของนางเม้มแน่นเล็กน้อย ราวกับกำลังชั่งใจ นางสบตากับเขา แววตาของนางมีทั้งความเขินอายและความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้
“เพียงแต่…”
ซงเอ๋อร์หยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น
จางอี้หมิง โน้มตัวเข้าไปใกล้ สายตาของเขาทอดมองหญิงสาวตรงหน้า ราวกับต้องการอ่านใจของนางให้ทะลุปรุโปร่ง
แต่แทนที่จะคาดคั้นให้ตอบ เขากลับ ใช้มือใหญ่ประคองร่างบอบบางของนางเข้ามากอดแนบแน่น
ไออุ่นจากร่างกายของเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่างของนาง ซงเอ๋อร์เผลอซุกหน้าเข้าหาแผงอกของเขาโดยไม่รู้ตัว
จางอี้หมิงยิ้มบางๆ ในใจของเขาผุดความคิดขึ้นมา
“น่าเสียดายยิ่งนัก แม้เจ้ามิอาจช่วยข้าปรับสมดุลลมปราณได้ในเวลานี้ แต่วันหน้าย่อมต้องมีโอกาสเป็นแน่…ใจจริงข้าอยากจะฉีกขย้ำเจ้าให้เสร็จสิ้นภายในคืนนี้ด้วยซ้ำ แต่หากข้าทำเช่นนั้นในเวลาที่เจ้ายังไม่พร้อม ก็มิต่างอะไรกับเดรัจฉาน”
จางอี้หมิงเพียงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ปล่อยให้ค่ำคืนนี้ผ่านไป ใต้ผ้าห่มเดียวกัน…
และวันหยุดก็ผ่านพ้นไป โดยจางอี้หมิงไม่ได้แวะเวียนไปสำนักสังคีตตามแผนการแม้แต่คืนเดียว
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร