/ แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

공유

บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนัก

จากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่

กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!

เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อย

ร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ

ทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ

“อ๊ากกก!!”

ถัวเค่อชีส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะพยายามยันร่างขึ้นมานั่งหอบหายใจอยู่กับพื้น แต่ทันใดนั้นเอง เงาดำหนึ่งก็ผุดขึ้นจากใต้ดินราวกับสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเงามืด

บุรุษในชุดคลุมสีเทาอันมืดหม่น สวมหน้ากากไร้ซึ่งอารมณ์ เงยหน้ามองดูเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ ถัวเค่อชีฝืนยกใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อขึ้นสบตากับบุรุษปริศนา ก่อนจะแค่นเสียงถามด้วยความเดือดดาล

“เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้?”

บุรุษปริศนา หรือเชียนหวง ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยราวกับยิ้มเย้ย “ใช่” เขาตอบเสียงเรียบ “เจ้าอยากแข็งแกร่งไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่ดีใจ?”

ถัวเค่อชีกำหมัดแน่น เขาเคยใฝ่ฝันถึงพลังอันแข็งแกร่ง เพื่อให้สามารถต่อกรกับเหล่าศัตรูและมีที่ยืนในยุทธภพ แต่ตอนนี้ สิ่งที่เขาได้รับมีเพียงความเจ็บปวดที่แทบจะทำให้สติแตก

“แล้วเมื่อไหร่ข้าจะแข็งแกร่งขึ้น!?” เขาคำรามออกมา ดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยเพลิงแห่งความทะเยอทะยานปะปนกับความสิ้นหวัง

เชียนหวงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเนิบช้า “ลัทธิมารแดนสวรรค์จะดลบันดาลทุกสิ่งให้เจ้า” เขาเอื้อมมือเข้าไปใต้ชุดคลุม หยิบเอาวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาและกำมันไว้แน่นก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องแสดงความภักดีเสียก่อน”

“อย่างไร?” ถัวเค่อชีจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง

เชียนหวงยกกระดิ่งขึ้นมา สะบัดมันเบา ๆ หนึ่งครั้ง เสียงกระดิ่งดังขึ้นในทันที แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเสียงก้องสะท้อนในหัวของเขาเท่านั้น หากแต่เป็นพลังลึกลับที่กดทับลงบนร่างกายจนถัวเค่อชีรู้สึกเหมือนถูกบางสิ่งบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น

ถัวเค่อชีกัดฟันแน่น พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง ลำคอของเขาแห้งผาก เหงื่อเย็นไหลซึมจากไรผมลงมาตามขมับ รู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกดศีรษะของเขาลงต่ำ

“คุกเข่าลง และอ้อนวอนต่อเจ้าอารามลัทธิมารแดนสวรรค์” เชียนหวงกล่าว

“ฝันไปเถอะ!” ถัวเค่อชีตะโกนกลับด้วยเสียงแข็งกระด้าง “คนอย่างข้า นอกจากบิดาผู้ให้กำเนิดกับท่านอาจารย์แล้ว ก็ไม่คุกเข่าให้แก่ผู้ใด”

“อวดดียิ่งนัก!”

เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงกว่าเดิม ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วร่าง ราวกับมีหนามแหลมแทงเข้าไปในอวัยวะภายใน เขาไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป ร่างกายของเขาทรุดฮวบลง คุกเข่ากับพื้นโดยไม่อาจฝืนได้

“ดีมาก” เชียนหวงกล่าวอย่างพึงพอใจ “บัดนี้ เจ้าจงกล่าวสรรเสริญเจ้าอาราม”

ถัวเค่อชีหอบหายใจหนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทว่าความเจ็บปวดนั้นมากเกินกว่าที่จะต่อต้านได้ ในที่สุดเขาก็เอ่ยคำอ้อนวอนเสียงเบา ราวกับเสียศักดิ์ศรีไปหมดสิ้น

เชียนหวงยิ้มออกมา เขาหยิบเม็ดยาสีดำเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าของถัวเค่อชี “กินสิ แล้วเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น”

ถัวเค่อชีลังเลเพียงครู่เดียว ก่อนจะคว้าเม็ดยานั้นมากลืนลงไปโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก

ทันทีที่เม็ดยาผ่านลำคอ ร่างของเขาก็สะท้านเฮือก ดวงตาเบิกกว้าง รู้สึกราวกับมีเพลิงสีดำพวยพุ่งอยู่ภายในอก เส้นเลือดดำทั่วร่างปรากฏขึ้นเป็นสีม่วงคล้ำเหมือนถูกเผาผลาญจากภายใน ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นทำให้เขาล้มลงไปดิ้นกับพื้น

“อ๊ากกกกกกก!!”

เชียนหวงก้มมองเขาอย่างเย็นชา “อดทนไว้ อีกหนึ่งชั่วยาม เจ้าจะได้รับพลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่าระดับห้า”

ถัวเค่อชีดิ้นไปมาอย่างทุกข์ทรมาน ขณะที่เชียนหวงเพียงแค่ยืนมองเขาด้วยสายตาเฉยเมย ราวกับนักทดลองที่กำลังรอผลของยาพิษ

ไม่นานนัก เชียนหวงหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ถัวเค่อชีดิ้นทุรนทุรายอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่เพียงลำพัง ทว่าภายในร่างกายของเขา บางสิ่งบางอย่างได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว...

อารามตะวันตกเฉียงเหนือ

ทางด้านเจียงเยว่และหลี่เกอซิน ตอนนี้ได้เดินทางมาถึงอารามด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว บริเวณนี้อยู่ไกลและทรุดโทรมที่สุดของสำนัก พื้นดินแตกระแหงด้วยความแห้งแล้ง เสาตะเกียงเก่าแก่ที่เคยให้แสงสว่างถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์และฝุ่นละออง บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดราวกับไร้ซึ่งชีวิต แต่กลับแฝงไปด้วยความอึดอัดน่าสะพรึง ราวกับมีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืด

โดยรอบของอารามเต็มไปด้วยหมอกดำปกคลุม กลิ่นไอมาร กลิ่นอับชื้นและกลิ่นคาวเลือดเจือปนอยู่ในอากาศ หลี่เกอซินขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถามขึ้นมาเสียงเบาว่า "ศิษย์พี่ เราควรจัดการเช่นไรดี?"

เจียงเยว่ไม่ตอบในทันที นางยกมือขึ้นโบกเบา ๆ คราหนึ่ง ลมปราณสีฟ้าขาวพลันพัดผ่านไปทั่วบริเวณ หมอกดำที่ปกคลุมอยู่พลันแหวกออก เผยให้เห็นตัวอาคารของอารามที่ตั้งตระหง่านราวกับถูกปลุกให้ฟื้นคืนจากความมืดมิด

“พวกเจ้า จงกระจายตัวเฝ้าบริเวณโดยรอบ อย่าให้สิ่งใดเล็ดลอดเข้ามา” เจียงเยว่สั่งการเสียงเรียบ ศิษย์ที่ติดตามมาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะแยกย้ายกันไปตรึงกำลัง

เจียงเยว่และหลี่เกอซินเดินลึกเข้าไปภายในอาราม ภายในนั้นเงียบสงัดจนน่าอึดอัด แต่ทันทีที่ก้าวพ้นธรณีประตู ภาพตรงหน้าก็ทำให้ทั้งสองต้องหยุดชะงัก ศิษย์เวรยามสองคนล้มคว่ำอยู่บนพื้นไร้ลมหายใจ ร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เกาทัณฑ์จำนวนมากปักอยู่ทั่วร่าง

หลี่เกอซินรีบเข้าไปตรวจดูแล้วขมวดคิ้วแน่น “เป็นเกาทัณฑ์อารักขาอาราม”

เจียงเยว่ยืนมองอย่างเฉยเมย นางเพียงก้าวตรงไปยังแท่นหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางลานพลางเพ่งมอง ก่อนจะพบว่าก้อนศิลาด้านบนนั้นมีร่องรอยการเคลื่อนย้ายเล็กน้อย

“มีใครบางคนพยายามเปิดมัน” เจียงเยว่เอ่ยขึ้น จากนั้นนาง วางมือทั้งสองลงบนหินก้อนนั้นแล้วรวบรวมพลังปราณ ผลักมันกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม

ทันใดนั้นเอง ม่านพลังป้องกันของสำนักเทียนหยางก็พลันเปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง คลื่นพลังอันหนักหน่วงแผ่ซ่านออกไปทั่วบริเวณ

“สำเร็จแล้วหรือศิษย์พี่?”

“ข้าก็หวังเช่นนั้น”

แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้ถอนหายใจ หินก้อนเดิมกลับเริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้งราวกับมีบางสิ่งกำลังผลักดันจากด้านล่าง เจียงเยว่เบิกตากว้าง รีบวางมือทาบลงไปอีกครั้ง คราวนี้หินต่อต้านนางอย่างรุนแรง มันผลักพลังปราณของนางกลับมาจนทำให้ร่างของเจียงเยว่สั่นสะท้าน

เจียงเยว่กัดฟันแน่น นางระดมพลังปราณเข้าสู่ฝ่ามือ พยายามกดมันกลับสู่สภาพเดิม แรงปะทะระหว่างพลังของนางและสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หินก้อนนั้นรุนแรงเสียจนพื้นดินแตกร้าว พลังของเจียงเยว่ถูกสูบออกไปเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มซึมทั่วร่าง ก่อนที่สุดท้าย หินก้อนนั้นจะหยุดนิ่งลงอีกครั้ง

เจียงเยว่หอบหายใจหนัก นางสูญเสียพลังไปไม่น้อยจากการยื้อยุดกับมัน หลี่เกอซินรีบเข้ามาพยุงนางไว้ “ศิษย์พี่ ท่านไหวหรือไม่?”

เจียงเยว่หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “รีบตรวจดูศิษย์สองคนนั้น ดูให้ละเอียดว่าใครเป็นคนทำ”

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status