แชร์

บทที่ 42 เสริมม่านพลัง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-30 19:30:26

เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลม

ดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พัก

หลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”

“แล้วอย่างไร?”

“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”

เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”

“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”

“เจ้ารอที่นี่ก่อน”

เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด นางยิ้มมุมปากเบาๆ

“ข้าจะไปเอายันต์อักษรจากเจ้าจางอี้หมิง”

พูดจบ นางดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กระบี่สีเงินเปล่งประกาย นางกระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่แล้วพุ่งตัวลงไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ความเร็วของนางราวกับสายฟ้าแลบ แสงสีเงินระยิบระยับราวดาวตก

ทางด้านของจางอี้หมิงและซ่งอิน

ลานกว้างหน้าหอเทียนหยางเต็มไปด้วยเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว มันมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวหนังสีหม่นคล้ำดั่งดินโคลน ลำตัวใหญ่โตเต็มไปด้วยพลังอันมหาศาล แต่การเคลื่อนไหวเชื่องช้า

ซ่งอินขมวดคิ้วแน่น สองมือจับกระบี่แน่น ลมปราณสีฟ้าสว่างไสวแผ่ซ่านออกมาจากกระบี่ของเขา เขากระโดดขึ้นสูงเหนือหัวอสูรดินเหนียวตัวหนึ่ง แล้วฟาดกระบี่ลงมา

เปรี้ยง!!

แสงสีฟ้าสาดส่องวูบวาบ กระบี่ของซ่งอินฟาดฟันกลางร่างของอสูรดินเหนียวจนร่างมันแตกกระจายเป็นเศษดินปลิวว่อน

จางอี้หมิงแม้จะยังใช้ลมปราณไม่ได้ แต่เขายังคงพริ้วไหวและดุดันไม่เปลี่ยนแปลง เขากระชับดาบคู่กายแน่น ลีลาการเคลื่อนไหวว่องไวเหมือนพยัคฆ์ร้าย เขาพุ่งทะยานเข้าใส่อสูรดินเหนียวที่พุ่งเข้ามาพร้อมกันสามตัว

ฟวับ!

เปรี้ยง!

คมดาบของจางอี้หมิงฟาดฟันเป็นแนวโค้งอันงดงาม เงาดาบซ้อนกันหลายชั้นจนดูคล้ายเขี้ยวพยัคฆ์ เขาฟาดฟันอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ร่างของอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นชิ้นๆ เศษดินปลิวว่อน

จางอี้หมิงพลิกตัวกลางอากาศและพุ่งทะลวงไปข้างหน้า เขาฟาดดาบใส่อสูรดินเหนียวอีกตัวจนมันกระเด็นไปไกล แต่ทันใดนั้นเองก็มีอสูรดินเหนียวตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว มันยกหมัดใหญ่โตฟาดลงมาหมายจะบดขยี้จางอี้หมิง

ฟึบ!

จางอี้หมิงรู้สึกถึงแรงลมที่พุ่งเข้ามา เขาหันกลับไป แต่หมัดของอสูรดินเหนียวใกล้เข้ามาจนไม่สามารถหลบได้ทัน!

ทันใดนั้น แสงสีเงินสว่างวาบ ราวกับสายฟ้าแลบ เสียงแส้แหวกอากาศดังสนั่น

ฟิ้ว!

แส้สีเงินสะบัดลงมาฟาดใส่อสูรดินเหนียวอย่างรุนแรง พลังจากแส้ทำให้อสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดินในพริบตา

จางอี้หมิงหันไปมอง เห็นเจียงเยว่ยืนอยู่บนกระบี่ลอยเหนือพื้นเล็กน้อย แส้สีเงินในมือของนางเปล่งประกายวาววับ ร่างงามอวบอัดในชุดขาวปลิวไสวราวเทพธิดา

จางอี้หมิงยิ้มบางๆ “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่”

เจียงเยว่สะบัดแส้อย่างชำนาญ ดวงตาคมกริบของนางจ้องมองจางอี้หมิง

“อย่าประมาท อย่าลืมว่าเจ้าใช้พลังปราณปกติไม่ได้”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก ต่อให้ทันไม่มา ขาที่สามข้าก็จัดการมันได้”

เจียงเยว่ไม่สนใจคำพูดกวนประสาทของเขา นางยื่นมือออกมา “เอายันต์เสริมม่านพลังป้องกันมาให้ข้า ข้าต้องไปซ่อมแซมทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ”

จางอี้หมิงพยักหน้า “รบกวนท่านแล้ว” เขาหยิบยันต์อักษรจากในอกเสื้อแล้วโยนให้เจียงเยว่

เจียงเยว่รับยันต์ไว้ด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย นางมองเขาครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าระวังตัวด้วย”

จากนั้นนางก็กระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่สีเงินอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว แสงสีเงินระยิบระยับหายลับไปในพริบตา

เจียงเยว่ยืนอยู่บนกระบี่สีเงินลอยสูงเหนือพื้น นางเงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาหม่นที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆดำทะมึน ที่มีไอพลังมารแผ่ซ่าน

นางหยิบยันต์อักษรม่านพลังป้องกันออกมาจากแขนเสื้อ มันเป็นยันต์สีขาว ที่มีอักขระสลักอยู่เต็มแผ่น

ยันต์นี้ถูกเขียนขึ้นโดยจางอี้หมิงก่อนสูญเสียพลัง สามารถป้องกันคนมีความสามารถเทียบเท่าระดับ 7-8 ได้ ผู้ที่ใช้งานได้มีเพียงผู้ที่เทียบเท่าจางอี้หมิงหรือสูงกว่าเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ซ่งอินใช้งานไม่ได้ ต่อให้ใช้งานก็ด้อยประสิทธิภาพและผลาญพลังปราณมากเกินไป

ความจริงจางอี้หมิงในเวลาก็สามารถฝืนใช้ได้ เพียงแต่ใช้ครั้งเดียวก็จะหมดสภาพในการต่อสู้ทันที

กระดาษยันต์พลิ้วไหวไปมาตามแรงลม พลังปราณสีฟ้าสว่างไสวแผ่ออกมาจากร่างของเจียงเยว่ นางรวบรวมลมปราณไว้ที่ปลายนิ้วแล้วถ่ายทอดลงบนยันต์

ทันใดนั้นเอง อักขระบนยันต์ก็สว่างวาบขึ้นมา ประกายไฟเล็กๆ ปรากฏขึ้นและลุกลามไปทั่วทั้งยันต์

จากนั้น นางสะบัดมือขวาอย่างรวดเร็ว ยันต์อักษรลอยขึ้นเหนือศีรษะของนาง เปล่งแสงสีทองสว่างไสวราวกับดวงตะวัน

ฟิ้ว!!

ยันต์สีขาวลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองจากอักษรกระจายเป็นวงกว้าง ปกคลุมทั่วทั้งสำนักเทียนหยาง อักขระพลิ้วไหวไปมาตามลม ราวกับมีชีวิต มันลอยละล่องอยู่กลางอากาศก่อนจะก่อเกิดเป็นม่านพลังใสที่ค่อยๆ แผ่ขยายออกมาราวเกราะป้องกันที่ทรงพลัง

ม่านพลังใสส่องประกายระยิบระยับครอบคลุมทั่วทั้งสำนักเทียนหยางไว้ชั้นหนึ่ง ลำแสงสีทองไหลเวียนไปมาบนม่านพลังอย่างต่อเนื่อง ม่านพลังนี้แข็งแกร่ง มั่นคง ราวกับกำแพงเหล็กกล้า

เมื่อม่านพลังก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ อสูรดินเหนียวที่อยู่นอกสำนักเทียนหยางพยายามบุกเข้ามาอีกครั้ง แต่พวกมันกลับชนเข้ากับม่านพลังอย่างจัง ร่างของมันกระเด็นกระดอนกลับไป และสลายเป็นผง

เจียงเยว่ยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นนางก็บังคับกระบี่ให้พุ่งกลับลงไปที่ระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง

ณ ระเบียงชั้นสาม หอเทียนหยาง

หลี่เกอซินยืนรออยู่ที่เดิม นางมองดูเจียงเยว่ที่กลับมาพร้อมสายลม นัยน์ตาของนางส่องประกายด้วยความชื่นชม “เรียบร้อยแล้วหรือศิษย์พี่ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

“ข้าเห็นเจ้าเด็กนั้นใช้งานบ่อยเลยนึกขึ้นได้ เพียงแต่ นี่เป็นเพียงแค่การป้องกันชั่วคราว สิ่งที่ต้องทำคือซ่อมแซมอารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”

หลี่เกอซินยืนฟังอย่างตั้งใจ “เช่นนั้นพวกเราไปกันเลยหรือไม่?”

“ถึงอย่างไร พวกมันก็มีปริมาณมาก ระมัดระวังตัวกันหน่อย”

เจียงเยว่กระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่สีเงินอีกครั้ง ร่างงามในชุดขาวปลิวไสวราวเทพธิดา นางพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยหลี่เกอซินและกลุ่มศิษย์ในระดับหนึ่งกับสองก็เดินทางตามไปทันที

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status