ในช่วงเช้า ขณะที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อกำลังเดินอยู่ในสวนของวัง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม สายตาจับจ้องไปยังดอกไม้ที่ผลิบาน ทว่าในใจกลับว้าวุ่นด้วยความคิดถึงเรื่องงานหมั้นและคำพูดของว่าที่คู่หมั้น
เหวิ่นลี่หยาได้เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ นางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนจะกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ถวายบังคมองค์ชายเพคะ ท่านพี่จือหยูมาเข้าเฝ้าที่ตำหนักหรือไม่เพคะ” นางถามด้วยแววตาที่แสดงถึงความห่วงใย
หลี่หยวนเจ๋อเหลือบตามองนางเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะ “นางไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าไม่ได้พบเหวิ่นจือหยูมาหลายวันแล้ว”
เหวิ่นลี่หยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “หม่อมฉันคิดว่านางอาจจะยุ่งกับการเตรียมตัวสำหรับพิธีหมั้น หม่อมฉันเองก็ไม่ค่อยได้พบพี่จือหยูเช่นกัน หม่อมฉันหวังว่านางจะมาเข้าเฝ้าองค์ชายที่นี่ เลยลองตามมาเพคะ แม้ไม่ได้เจอกันนานหวังว่านางจะสบายดี”
คำพูดของนางจะเต็มไปด้วยความห่วงใยต่อพี่สาว หลี่หยวนเจ๋อรับรู้ได้ถึงความต่างกันในน้ำเสียงของนาง เหวิ่นลี่หยาเป็นคนที่พูดจาอ่อนหวานอ่อนโยน และมีท่าทีที่แสดงออกถึงความอ่อนน้อมเสมอ ต่างจากเหวิ่นจือหยูที่มักจะทำตัวแข็งกระด้างราวกับไม่ยินดียินร้ายกับใคร และไม่เคยแสดงความอ่อนโยนให้เขาเห็น
“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน” หลี่หยวนเจ๋อตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง “บางครั้งข้าก็สงสัยว่าทำไมข้าต้องแต่งงานกับนาง ทั้งที่ข้ากับนางแทบไม่รู้จักกันเลย”
เหวิ่นลี่หยายิ้มบางๆ ก่อนจะหลุบตาลงเล็กน้อย “หม่อมฉันคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษและสตรีอาจต้องใช้เวลา องค์ชายและพี่จือหยูอาจยังไม่ได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง แต่หากท่านให้โอกาส หม่อมฉันเชื่อว่าความรักจะเกิดขึ้นได้เพคะ”
คำพูดนั้นทำให้หลี่หยวนเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกถึงความจริงในถ้อยคำของเหวิ่นลี่หยา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับมันได้ง่ายๆ
“ถ้าเปลี่ยนตัวคู่หมั้นได้ก็คงดี” ความคิดนั้นผุดขึ้นในใจขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ ขณะที่มองเหวิ่นลี่หยา นางเป็นหญิงสาวที่งดงาม อ่อนโยน และมีคุณสมบัติครบครัน มีความเป็นกุลสตรีทุกประการในแบบที่เขาใฝ่หา หากนางเป็นคู่หมั้นของเขาแทนพี่สาวที่หยิ่งผยอง ทุกอย่างคงจะง่ายดายกว่านี้มาก
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนตัวคู่หมั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อการหมั้นหมายนี้มันเกี่ยวพันกับการเมืองและผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่เช่นนี้ ตระกูลเหวิ่นเป็นผู้มีอิทธิพล หากเขาทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ทำให้ตระกูลเหวิ่นไม่พอใจ นั่นอาจนำความวุ่นวายมาสู่ราชวงศ์ ทำให้ราชวงศ์หลี่ตกอยู่ในอันตรายได้
เขาถอนหายใจเบา ๆ ขณะมองเหวิ่นลี่หยาที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่เบื้องหน้า ความคิดนี้เริ่มเกาะกุมจิตใจเขามากขึ้นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับนาง “บางครั้งข้าก็คิดว่า ถ้าเจ้าคือคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจือหยูเรื่องราวอาจจะง่ายกว่านี้” เขาพูดขึ้นอย่างไม่ทันระวังตัว
เหวิ่นลี่หยาถึงกับชะงัก เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แม้ปกตินางจะควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่คำพูดขององค์ชายทำให้หัวใจของนางสั่นไหวและแอบสมใจอยู่ลึกๆ นางไม่เคยคาดคิดว่าพระองค์จะคิดเช่นนั้นจริง ๆ นางรู้ดีว่าองค์ชายไม่พอใจกับการหมั้นหมายนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายแสดงความรู้สึกเช่นนี้ออกมาอย่างชัดเจน
“องค์ชาย…” นางเรียกเบาๆ ขณะพยายามรักษาท่าทีให้สงบ “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา มิอาจเปรียบเทียบกับพี่จือหยูได้เลยเพคะ ท่านพี่เป็นบุตรสาวคนโตที่ได้รับการยกย่อง หม่อมฉันไม่คู่ควรกับตำแหน่งของนาง แม้ว่าใจของหม่อมฉันอยากให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความสุภาพ นัยน์ตาของเหวิ่นลี่หยาแสดงออกถึงความเศร้าและความรู้สึกที่ถูกปิดบังมานาน ความจริงคือ นางเองก็หลงรักองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมาตลอด นางแสดงออกอย่างนอบน้อม เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ ไม่มีตำแหน่งที่จะยืนอยู่เคียงข้างเขา นางทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ไกลๆ ยกเว้นว่าพี่สาวนางจะไม่ยืนอยู่ที่นี่แล้ว
หลี่หยวนเจ๋อจ้องมองนางด้วยแววตาที่อ่อนโยน เขารับรู้ความรู้สึกนั้นในสายตาของนางและคำพูดเมื่อครู่เขาก็เข้าใจ แม้ว่าเหวิ่นลี่หยาจะไม่พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา แต่นางก็ไม่ปฏิเสธความจริงที่ว่าหากเป็นไปได้ นางเองก็อาจจะยินดีที่ได้ยืนอยู่ในที่ของพี่สาว
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใครทั้งนั้น” หลี่หยวนเจ๋อกล่าวอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายมากขึ้น
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่แตกต่างจากเหวิ่นจือหยู และในสายตาของข้า เจ้าคือคนที่มีค่ามาก”
คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นลี่หยายิ้มบาง ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้าซ่อนอยู่ “องค์ชายกรุณาต่อหม่อมฉันมากเพคะ แต่หม่อมฉันเองก็เป็นเพียงน้องสาวของพี่จือหยู การหมั้นหมายนี้เป็นเรื่องสำคัญ ข้าไม่อาจขัดขวางการหมั้นหมายขององค์ชายกับนางได้”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะขัดขวาง” หลี่หยวนเจ๋อกล่าวเสียงแผ่ว “เพียงแต่ข้ากำลังคิดหาทางออกที่จะทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข”
เหวิ่นลี่หยายืนนิ่ง นางไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีกต่อไป แม้จะมีความปรารถนาในใจที่ถูกซ่อนอยู่ลึกเกินกว่าจะพูดออกมา แต่นางก็รู้ว่าหนทางนี้ยากเกินไป แต่ถ้ามันเป็นไปได้ก็ดี
ในขณะที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นลี่หยาสนทนากันอย่างเป็นกันเอง ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่บานสะพรั่ง เสียงสนทนาที่ดูเหมือนเป็นความลับระหว่างคนสองคนไม่อาจปกปิดจากบุคคลที่สามได้
อีกมุมหนึ่ง “วาดรวี” ในร่างของเหวิ่นจือหยู เธอซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ขณะที่เสียงสนทนาขององค์ชายและเหวิ่นลี่หยาลอยมาถึงหูของเธออย่างชัดเจนทุกคำ หญิงสาวกำมือแน่นเมื่อได้ยินคำพูดขององค์ชาย
“ถ้าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจือหยู เรื่องราวอาจง่ายกว่านี้”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะขัดขวาง เพียงแต่ข้ากำลังคิดหาทางออกที่จะทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข”
วาดรวีหรือเหวิ่นจือหยูใจสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เสียงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อแทงเข้าไปในใจของเธออย่างแรง แม้เธอรู้ดีว่าในความเป็นจริง เหวิ่นจือหยูในอดีตสมควรได้รับความไม่พอใจจากองค์ชาย แต่วาดรวีไม่ใช่เหวิ่นจือหยูเดิมอีกต่อไป เธอเป็นคนใหม่ที่ถูกบังคับให้เข้ามาอยู่ในโลกนี้ในสถานการณ์ที่เธอไม่เคยเข้าใจ หญิงสาวพยายามทำความเข้าใจชีวิตในยุคจีนโบราณ เธอพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองและเรียนรู้ที่จะรับมือกับความคาดหวังทางสังคมอันเข้มงวด ทั้งในฐานะบุตรสาวของภรรยาเอก และในฐานะคู่หมั้นขององค์ชาย แต่ดูเหมือนสิ่งนั้นจะไร้ค่าเมื่อองค์ชายไม่เปิดใจ และมันก็ยากที่จะยอมรับเมื่อได้ยินชัดเจนจากปากเขาเช่นนี้ วาดรวีไม่เคยคาดคิดว่าองค์ชายจะรู้สึกหนักแน่นขนาดนี้กับการที่เขาไม่อยากหมั้นหมายกับเหวิ่นจือหยู
“ข้าคิดว่าถ้าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจือหยู ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้นมาก…”
เสียงขององค์ชายยังคงก้องอยู่ในหูของเธอ วาดรวีแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอสูดหายใจลึกก่อนจะค่อยๆ หลบออกจากตรงนั้น เธอไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอในดวงตาของเธอ โดยเฉพาะเหวิ่นลี่หยาและองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อที่อยู่ตรงนั้น ความเจ็บปวดนั้นทิ่มแทงจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องพิสูจน์ตัวเอง ให้เขาเห็น” วาดรวีพึมพำเบาๆ พลางตั้งมั่นในใจที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ต่อไป