ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่ว
ลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยิน
ขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้า
ชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเอง
หัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลง
ไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหน
เสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา
“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง
“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รับของขวัญ คุณหนูจะต้องทำเป็นว่าตื่นเต้น คุณชายไป๋จะได้ดีใจใช่หรือไม่เจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานพยักหน้ารับแล้วกล่าวอย่างรู้ทัน
“ใช่แล้ว งั้นเรากลับเรือนเถอะ เสี่ยวหลาน” นางเร่งฝีเท้าเดินนำกลับไป
“คุณหนูไม่ไปเลือกดูของอย่างอื่นก่อนหรือเจ้าคะ ไหนบอกว่าอยากได้เครื่องหอมไปใส่ในถุงหอมมิใช่หรือ”
“ไม่ล่ะ ข้าจะกลับไปรอปิ่นหยกชิ้นนั้นที่เรือน” คุณหนูลู่กล่าวพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี เสี่ยวหลานแม้จะยังไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดคุณหนูของตนจึงรีบร้อนนัก แต่ก็รีบก้าวตามไปโดยไม่ซักไซ้
ลู่ซือหนานก้มหน้าลงมองปลายเท้าตนเอง ความตื่นเต้นปะปนความคาดหวังแล่นวูบในใจ
‘ปิ่นหยกชิ้นนั้น พี่ซื่ออันต้องนำมาให้ข้าในวันนี้แน่’ นางคิดในใจ พลางกำอมยิ้มขณะที่เดินไปอย่างอารมณ์ดี
ภายในเรือนใหญ่ของสกุลลู่ แสงแดดอุ่นยามบ่ายส่องลอดผ้าม่านโปร่งบางเข้ามา บรรยากาศในห้องโถงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชาดอกไม้
ลู่ซือหนานนั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ไม้หอม แกว่งเท้าไปมาเบาๆ มือเรียวงามประคองถ้วยชาไว้ แต่ไม่ทันได้จิบ ดวงตากลมโตเอาแต่หันไปชะเง้อทางประตูเรื่อยๆ
เสี่ยวหลานที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นท่าทางคุณหนูของตนก็กลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ ในขณะที่ลู่ฮูหยิน นั่งถักเย็บผ้าอยู่บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง เหลือบตามองบุตรสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขบขัน
“เจ้ารอผู้ใดอยู่หรือหนานเอ๋อร์”
ลู่ซือหนานสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบก้มหน้าลงทำทีดื่มชา
“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าแค่นั่งเล่นมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย” เสียงตอบแผ่วเบา แต่สีหน้าแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด ลู่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ ไม่ซักไซ้ต่อ
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ ลู่ซือหนานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สายตาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองประตูบานนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า หวังจะเห็นสาวใช้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานว่าคู่หมายนางมาถึงเรือน
แต่จนแล้วจนรอดก็ไร้วี่แวว
แสงแดดที่เคยอบอุ่นเริ่มอ่อนแสงลง จากบ่ายคล้อยเข้าสู่ยามเย็น ในที่สุดลู่ซือหนานก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ปลอบใจตนเองในใจ
‘พี่ซื่ออันคงมีงานที่ต้องจัดการกระมัง วันหลังเขาคงจะเอามาให้ข้าเอง’ นางก้มหน้าลง มุมปากยังฝืนยิ้มจางๆ แม้ในอกจะเจือไปด้วยความผิดหวังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เสี่ยวหลานเดินเข้าไปใกล้ ยื่นผ้าคลุมไหล่มาคลุมให้นางเบาๆ
“อากาศเริ่มเย็นแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู กลับไปพักผ่อนเถอะนะเจ้าคะ”
ลู่ซือหนานพยักหน้าเบาๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางเรียบร้อย ดวงตายังคงหันมองไปยังประตูบานนั้นอีกครั้งหนึ่ง ราวกับยังหวังเล็กๆ ว่าเขาจะมาปรากฏตัวขึ้นทันที แต่ก็ไม่มีใครก้าวผ่านประตูเข้ามาเลย
ขณะเดียวกันเผิงเหยียนเฉิงใช้ไม้เท้าเดินทอดน่องช้าๆ ตามแนวทางเดินที่ปูด้วยหินเรียบ เสียงใบไม้ไหวเอื่อยๆ ทำให้ใจสงบอย่างน่าประหลาด เมื่อเดินเลี้ยวผ่านพุ่มดอกไม้ใหญ่ เขาก็เห็นร่างบางในชุดผ้าแพรสีอ่อนกำลังเดินกลับมาทางเรือนนอน
ลู่ซือหนานก้าวอย่างเชื่องช้า ศีรษะก้มลงเล็กน้อย ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นเศร้า เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“คุณหนูลู่ กลับมาจากตลาดแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
ลู่ซือหนานเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ยิ้มบางๆ ออกมา แม้ในแววตาจะยังมีร่องรอยของความเศร้าเจืออยู่
“กลับมานานแล้วเจ้าค่ะ ข้า...ข้าไปคุยกับท่านแม่อยู่ที่เรือนใหญ่ เลยกลับช้าไปหน่อย” เสียงนางอ่อนหวานแต่ฟังแล้วเหมือนเจือความเหนื่อยล้าเล็กๆ
เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้า ไม่เซ้าซี้ถามต่อ แม้จะรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่นางเก็บซ่อนไว้ในใจ
“แล้วท่านกำลังจะไปไหนเจ้าคะ”
“ข้าจะไปนั่งฝึกเขียนพู่กันที่ศาลาด้านนั้น” เขาชี้ไปทางศาลานั่งเล่น นางจึงคลี่ยิ้มออกมา
“เช่นนั้นข้าขอดูหน่อยนะเจ้าคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น
************************
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
บริเวณศาลาชมสวน ไป๋ซื่ออันยืนรออยู่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเคย สวมชุดผ้าแพรสีเทาอ่อน ห้อยหยกแกะสลักที่เอว“ขออภัยที่ทำให้ท่านคอย” ลู่ซือหนานเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ไม่เป็นไร ข้าเองเพิ่งมาไม่นาน” ไป๋ซื่ออันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินไปพร้อมกันทั้งสองนั่งสนทนากันที่ศาลา ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ ลู่ซือหนานชำเลืองมองถุงผ้าที่ชายหนุ่มถือมาในมือ ใจเต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น นางนึกถึงเครื่องประดับที่อีกฝ่ายเลือกซื้อในตลาดวันนั้น แต่รอแล้วรอเล่า ไป๋ซื่ออันกลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อยบทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ ถึงแผนการส่งของหมั้นที่กำลังจะมาถึง ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับปิ่นหยกชิ้นนั้นที่นางกำลังรอรับจากเขาแม้ในใจจะมีคำถามค้างคา แต่ลู่ซือหนานก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา นางเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างสุภาพ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย‘หรือเขาลืมพกติดตัวมาด้วย’ นางปลอบใจตัวเองในใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอีกด้านหนึ่ง เผิงเหยียนเฉิงเดินอย่างไม่มั่นคงนักเพราะเพิ่งหัดเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นวันแรก เขาค่อยๆพาตัวเองมายืนอยู่หลังแนวไม้พุ่ม ชำเลืองสายตาไปยังร่างเล็กที่กำลังยืน
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างโปร่งบาง ลู่ซือหนานนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ผ้าห่มไหมสีอ่อนคลุมตักนางเอาไว้ ดวงหน้าเปล่งปลั่งยามไร้เครื่องประดับใดๆ กลับยิ่งดูอ่อนเยาว์น่ามองยิ่งกว่าเคยในมือนางกำลังถือหวีไม้สางผมช้าๆ ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย“เสี่ยวหลาน” เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังพับเสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่งเสี่ยวหลานรีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งเจ้าคะ”ลู่ซือหนานยิ้มนิดๆ สายตาเหมือนมีแววฝันลอยอยู่ในนั้น“เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนข้าเจอคุณชายไป๋ครั้งแรก” นางเอียงหน้าพิงเสาเตียง พลางมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มรับลมเย็นเบาๆเสี่ยวหลานยิ้มตาม ก่อนพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ คุณหนูตกใจจนหน้าเผือดเชียว”ลู่ซือหนานหัวเราะคิก รอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม“วันนั้น รถม้าคันใหญ่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าคงไม่รอดเสียแล้ว” นางเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวในตอนนั้น“แต่ขาพุ่งเข้ามา ดึงข้าออกจากถนนไว้ทัน”ภาพในความทรงจำปรากฏชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มในชุดสีเข้ม ยื่นมือมาคว้าแขนนาง แล้วดึงเข้าหาตัว แววตาของเขาในยา
สายลมเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิพัดต้องกระดาษหน้าต่างบางเบา ส่งเสียงกรอบแกรบไม่ขาดสายภายในเรือนพักอันเงียบสงัด เผิงเหยียนเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมที่เคยเปล่งประกายบัดนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า มือข้างขวาของเขาขยับเพียงเล็กน้อยก็พลันรู้สึกชาดั่งไม่ใช่ร่างกายของตนเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล แผ่วเบาแต่ชัดเจนไม่นานนัก ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออกอย่างไม่เบามือนัก ร่างงามในชุดแพรไหมสีแดงลายดอกโบตั๋นเยื้องย่างเข้ามา ใบหน้าเรียวที่แต่งแต้มอย่างประณีตมีเพียงความเย็นชาปรากฏอยู่ในดวงตา“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงของโจวจิงหยูเยียบเย็นราวหยดน้ำค้างยามรุ่งสาง นางไม่ได้เอ่ยถามไถ่ ไม่ได้เอื้อมมือสัมผัสหน้าผากเขาเช่นภรรยาทั่วไป ทว่ากลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้ากระดาษบางเบาถูกประทับตราประจำตระกูลโจวเอาไว้อย่างชัดเจน“หนังสือหย่า!” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างขึ้นเพียงนิด ดวงตาที่ขุ่นมัวยิ่งหมองหม่นลง“เพราะเหตุใดเล่าฮูหยิน” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ทั้งที่แม้แต่เปล่งเสียงยังรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน โจวจิงหยูหัวเราะเบาๆ แต่แฝงด้วยความเยาะหยัน“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษพิการเช่นเจ้าหรือ มื
เมืองหลวงของแคว้นสือในยามนี้ยังคงคลุมด้วยหมอกบางๆ ท้องฟ้าสีเทาซีดเย็นชา ราวกับมิได้ต้อนรับการจากไปของผู้ใดเผิงเหยียนเฉิงก้าวเท้าออกจากตรอกเล็กๆ ด้วยไม้เท้า เสียงกระทบพื้นหินดังกึกกักไปตามจังหวะฝีเท้าที่ไม่สม่ำเสมอผ้าคลุมเก่าๆ บนร่างเขาปลิวไหวตามแรงลม ร่างที่เคยยืดตรงอย่างองอาจ บัดนี้โค้งงอเดินไม่มั่นคงอย่างมิอาจขัดขืนทุกย่างก้าวช่างหนักอึ้ง ทุกลมหายใจเจือกลิ่นอับชื้นของความพ่ายแพ้ ไม่มีใครหันมามอง ไม่มีใครเอ่ยถาม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ล้มลงย่อมไร้ค่าดั่งฝุ่นผงที่ถูกเหยียบย่ำบัณฑิตตกอับกำหมัดซ้ายแน่น ฝ่ามือทั้งสอง นั้นเต็มไปด้วยรอยแตกจากความหนาวเหน็บ เขาเดินผ่านจัตุรัสใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงขจรไกลเมื่อสอบได้ที่หนึ่ง วันนี้ผู้คนในจัตุรัสยังคงพลุกพล่านแต่ไม่มีใครจดจำเขาได้อีกแล้ว“ดูนั่นสิ ขอทานเร่ร่อนอีกคน” เสียงกระซิบดังมาจากกลุ่มคนในร้านชา เขาได้ยินแต่เลือกที่จะเมินเฉยที่ไหล่ขวาของเขา มีห่อผ้าผืนเล็กที่เก็บข้าวของเพียงน้อยนิด ไม่มีแม้แต่ของมีค่าชิ้นใด ทุกสิ่งที่เคยมี ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเช่นเดียวกับความศรัทธาของเขาในวันวานเมื่อเดินถึงประตูเมือง เสียงลั่นเอี๊ยดของประตูที่
ขณะที่รถม้าเคลื่อนตัว เสียงล้อกระทบพื้นหินดังกึกกักเบาๆ เป็นจังหวะ ภายในรถม้าคล้ายโลกอีกใบ เงียบสงบและอบอุ่นผิดกับเส้นทางขรุขระด้านนอกกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรในรถม้าขนาดกลางชวนให้เผิงเหยียนเฉิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาด เขานั่งก้มหน้าต่ำ มือกำชายเสื้อแน่น ราวกับไม่กล้ามองสบตาลู่ซือหนานที่นั่งอยู่ตรงข้ามลู่ซือหนานนั่งมองเขาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านจำข้าได้หรือไม่”เผิงเหยียนเฉิงชะงัก เงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาแดงเรื่อด้วยความเหนื่อยล้าและความซาบซึ้ง“ข้า...จำได้” เสียงเขาสั่นเครือเล็กน้อย“แม่นางลู่ ผู้เคยเป็นเหมือนน้องสาวในวัยเยาว์ของข้า” เขากล่าวต่อเสียงเบาคล้ายอับอายกับสภาพของตนในตอนนี้“เรียกข้าอย่างเดิมเถอะ ว่าแต่ท่านกำลังจะไปที่ใด” ลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ดวงตาแฝงความอ่อนโยนเผิงเหยียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “กลับเจียงเฉิน...ข้าจะกลับบ้านเกิด”“เช่นนั้นไปพักที่เรือนของข้าก่อน ดูท่านสิป่วยขนาดนี้ยังจะฝืนเดินทาง”“ข้า...ข้าไม่อาจรบกวนเจ้าได้” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้าง“ท่านลุงเผิงช่วยเหลือบิดาข้าไว้เมื่อหลายปีก่อน วันนี้ถึงตาข้าตอบแทนบ้าง” ลู่ซือห
กลางดึกเงียบงัน พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่กลางฟ้า ทอแสงสีเงินเย็นเฉียบลงบนลานเรือนที่ไร้ผู้คนในห้องพักเงียบสงบ เผิงเหยียนเฉิงนอนอยู่บนเตียง ฟูกนุ่มและกลิ่นยาสมุนไพรหอมกรุ่นคล้ายจะช่วยปลอบประโลมทว่าในห้วงฝันของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บและความเจ็บปวดที่ไม่เคยเลือนหาย เป็นภาพฝันที่แสนอัปยศในชีวิตของบุรุษผู้หนึ่งเขาเห็นตัวเองในชุดบัณฑิตสีหม่น นั่งคุกเข่าอยู่กลางลานเรือนใหญ่ของสกุลโจว เบื้องหน้าคือโจวจิงหยูในชุดสีสด งามสง่าแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาและรังเกียจ“เผิงเหยียนเฉิง เจ้าไร้ประโยชน์แล้ว” เสียงของนางเย้ยหยัน ดังก้องในหู“สกุลโจวไม่ต้องการภาระอย่างเจ้า”จากนั้น หนังสือหย่าถูกโยนลงมาตรงหน้าอย่างไร้เยื่อใยพ่อแม่ของนางยืนอยู่ข้างๆ แม้ไม่เอ่ยวาจา แต่แววตาที่มองมาก็ชัดเจน รังเกียจระคนชิงชัง และดูแคลน ราวกับเขาไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้วมือที่เคยแข็งแรงของเขาสั่นเทา ลมหายใจขาดห้วง ดวงตาแดงก่ำ แต่ทำได้เพียงประคองหนังสือหย่าขึ้นมาอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงขอร้อง มีเพียงความอัปยศปกคลุมทั่วร่าง เสียงหัวเราะเย้ยหยันของโจวจิงหยูดังก้องขึ้นในหู “เจ้าก็แค่สุนัขที่เราไม่ต้องการแล้ว”“ไสหัวไป”“ไม่
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดทอผ่านหน้าต่างโปร่งบาง ลู่ซือหนานนั่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ ผ้าห่มไหมสีอ่อนคลุมตักนางเอาไว้ ดวงหน้าเปล่งปลั่งยามไร้เครื่องประดับใดๆ กลับยิ่งดูอ่อนเยาว์น่ามองยิ่งกว่าเคยในมือนางกำลังถือหวีไม้สางผมช้าๆ ขณะปล่อยให้ความคิดล่องลอย“เสี่ยวหลาน” เสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังพับเสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่งเสี่ยวหลานรีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูมีอะไรจะรับสั่งเจ้าคะ”ลู่ซือหนานยิ้มนิดๆ สายตาเหมือนมีแววฝันลอยอยู่ในนั้น“เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนข้าเจอคุณชายไป๋ครั้งแรก” นางเอียงหน้าพิงเสาเตียง พลางมองไปยังหน้าต่างที่เปิดแง้มรับลมเย็นเบาๆเสี่ยวหลานยิ้มตาม ก่อนพยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ คุณหนูตกใจจนหน้าเผือดเชียว”ลู่ซือหนานหัวเราะคิก รอยยิ้มงดงามดุจดอกไม้แรกแย้ม“วันนั้น รถม้าคันใหญ่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าคงไม่รอดเสียแล้ว” นางเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนยังรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวในตอนนั้น“แต่ขาพุ่งเข้ามา ดึงข้าออกจากถนนไว้ทัน”ภาพในความทรงจำปรากฏชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มในชุดสีเข้ม ยื่นมือมาคว้าแขนนาง แล้วดึงเข้าหาตัว แววตาของเขาในยา
บริเวณศาลาชมสวน ไป๋ซื่ออันยืนรออยู่ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยเช่นเคย สวมชุดผ้าแพรสีเทาอ่อน ห้อยหยกแกะสลักที่เอว“ขออภัยที่ทำให้ท่านคอย” ลู่ซือหนานเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกว้าง“ไม่เป็นไร ข้าเองเพิ่งมาไม่นาน” ไป๋ซื่ออันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินไปพร้อมกันทั้งสองนั่งสนทนากันที่ศาลา ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวเบาๆ ลู่ซือหนานชำเลืองมองถุงผ้าที่ชายหนุ่มถือมาในมือ ใจเต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น นางนึกถึงเครื่องประดับที่อีกฝ่ายเลือกซื้อในตลาดวันนั้น แต่รอแล้วรอเล่า ไป๋ซื่ออันกลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อยบทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ ถึงแผนการส่งของหมั้นที่กำลังจะมาถึง ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับปิ่นหยกชิ้นนั้นที่นางกำลังรอรับจากเขาแม้ในใจจะมีคำถามค้างคา แต่ลู่ซือหนานก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา นางเพียงยิ้มและหัวเราะอย่างสุภาพ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย‘หรือเขาลืมพกติดตัวมาด้วย’ นางปลอบใจตัวเองในใจ แต่ก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนหวานอีกด้านหนึ่ง เผิงเหยียนเฉิงเดินอย่างไม่มั่นคงนักเพราะเพิ่งหัดเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นวันแรก เขาค่อยๆพาตัวเองมายืนอยู่หลังแนวไม้พุ่ม ชำเลืองสายตาไปยังร่างเล็กที่กำลังยืน
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างามลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่นอันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง“ข้าไม่เคยลืมเ
ภายในห้องพักที่อบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ เผิงเหยียนเฉิงนั่งลงช้าๆ บนตั่งไม้ หันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นสบายยังไม่ทันได้หลับตาพักผ่อน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้อง“พี่เหยียนเฉิง” ลู่ซือหนานก้าวเข้ามาพร้อมถาดไม้ในมือ ในนั้นวางกาน้ำต้มยาอยู่“ข้าให้ห้องครัวเตรียมยาตามใบสั่งของหมอไว้ให้ท่านดื่ม ข้าอยากต้มด้วยตัวเอง จึงมาเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาใสบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเผิงเหยียนเฉิงมองนางเงียบๆ แวบหนึ่งในดวงตาคมกริบมีแววอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางค่อยๆ รินน้ำยาอุ่นร้อนลงในถ้วย แล้วยื่นให้เขาด้วยมือของตนเอง“ยานี้แม้จะขมหน่อย แต่หมอบอกว่าดื่มเป็นประจำจะฟื้นฟูเส้นเอ็นได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจเผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยามา ดวงมือที่สัมผัสกับปลายนิ้วของนางเพียงแผ่วเบา แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นที่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้านเขารับยามาเงียบๆ ดื่มยาขมเฝื่อนนั้นจนหมดโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ หลบสายตาอ่อนโยนของนางอย่างระมัดระวังลู่ซือหนานพยักหน้า ยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าจะไปดูหม้อยาอีกที ว่
ที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอก ลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหอมของดอกเหมยกระจายไปทั่วบริเวณบัณฑิตหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น เขาใช้ไม้เท้าที่ถูกสั่งทำให้เป็นพิเศษในการช่วยพยุงเดิน โดยมีบ่าวข้างกายนามว่าอาหมิง ช่วยพาออกจากห้องไปรับลมที่สวนดอกไม้ขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า มือจับไม้เท้าแน่น เขาสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ปอด รู้สึกว่าร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากศาลากลางสวน เรียกความสนใจจากบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาเรียวคมของเขาเหลือบมองไปเห็นลู่ซือหนาน นางยืนเคียงข้างกับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเผิงเหยียนเฉิงยืนนิ่ง มองภาพนั้นเงียบๆ ใต้เงาไม้ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ลู่ซือหนานก้มหน้าด้วยความเขินอาย ไป๋ซื่ออันที่นั่งอยู่กลับเลื่อนสายตาไปมองสาวใช้คนหนึ่งที่ถือป้านน้ำชาอยู่ใกล้ๆเพียงชั่วพริบตา เผิงเหยียนเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนสายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ลึกซึ้งผิดวิสัยชายที่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับคู่หมายของตนเอง แม้ว่าสาวใช้คนนั้นจะหลบตาอย่างสุภาพ แต่ไป๋ซื่ออันกลับอมยิ้ม ส่งสายตาเชิงเกี้ยวพาอย่างไม่ปิดบังเผิงเหยียนเฉิงหลุบตาลงช้