ขณะที่รถม้าเคลื่อนตัว เสียงล้อกระทบพื้นหินดังกึกกักเบาๆ เป็นจังหวะ ภายในรถม้าคล้ายโลกอีกใบ เงียบสงบและอบอุ่นผิดกับเส้นทางขรุขระด้านนอก
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรในรถม้าขนาดกลางชวนให้เผิงเหยียนเฉิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างแปลกประหลาด เขานั่งก้มหน้าต่ำ มือกำชายเสื้อแน่น ราวกับไม่กล้ามองสบตาลู่ซือหนานที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ลู่ซือหนานนั่งมองเขาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านจำข้าได้หรือไม่”
เผิงเหยียนเฉิงชะงัก เงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาแดงเรื่อด้วยความเหนื่อยล้าและความซาบซึ้ง
“ข้า...จำได้” เสียงเขาสั่นเครือเล็กน้อย
“แม่นางลู่ ผู้เคยเป็นเหมือนน้องสาวในวัยเยาว์ของข้า” เขากล่าวต่อเสียงเบาคล้ายอับอายกับสภาพของตนในตอนนี้
“เรียกข้าอย่างเดิมเถอะ ว่าแต่ท่านกำลังจะไปที่ใด” ลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ดวงตาแฝงความอ่อนโยน
เผิงเหยียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “กลับเจียงเฉิน...ข้าจะกลับบ้านเกิด”
“เช่นนั้นไปพักที่เรือนของข้าก่อน ดูท่านสิป่วยขนาดนี้ยังจะฝืนเดินทาง”
“ข้า...ข้าไม่อาจรบกวนเจ้าได้” เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้าง
“ท่านลุงเผิงช่วยเหลือบิดาข้าไว้เมื่อหลายปีก่อน วันนี้ถึงตาข้าตอบแทนบ้าง” ลู่ซือหนานกล่าวเสียงนุ่ม แต่แน่วแน่
เผิงเหยียนเฉิงก้มหน้าลงอีกครั้ง คราวนี้น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาโดยไม่อาจหักห้าม ในโลกที่เย็นชาใบนี้ ยังมีคนที่ไม่ทอดทิ้งเขา ในขณะที่ภรรยาที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้ เขาเป็นแบบนี้จากการช่วยเหลือนาง นางกลับทรยศต่อเขาและผลักไสอย่างเลือดเย็น
สองวันหลังจากพบกันบนเส้นทางนอกเมืองหลวง ในยามเย็นวันนี้ขบวนรถม้าของสกุลลู่ก็มาถึงเมืองเจียงเฉิน เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมสายน้ำและทุ่งนาเขียวขจี
เรือนสกุลลู่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง
เรือนหลักกว้างขวางด้วยตัวเรือนไม้งดงาม บรรยากาศภายในเรือนสงบเรียบ แต่แฝงกลิ่นอายของความมั่งคั่งและบารมีรถม้าเคลื่อนตัวผ่านประตูใหญ่เข้าไปในลานหน้าบ้าน บ่าวไพร่ที่เฝ้าเรือนต่างพากันโค้งคำนับทันทีที่เห็นรถม้าของคุณหนูรองลู่กลับมาถึง บ่าวอีกคนทำหน้าที่เข้าไปรายงานแก่ประมุขของเรือน
เสี่ยวหลานกับบ่าวคนอื่นๆ ช่วยกันประคองเผิงเหยียนเฉิงที่ยังอ่อนแรงลงจากรถม้า ลู่ซือหนานเดินนำไปอย่างไม่ลังเล
“ไปที่เรือนรอง” นางสั่งเบาๆ
เรือนรองของสกุลลู่เป็นเรือนพักสำหรับแขกผู้มีเกียรติ สงบและแยกจากตัวเรือนหลัก เหมาะแก่การพักรักษาตัว
เมื่อถึงเรือนรอง เผิงเหยียนเฉิงถูกจัดให้นอนพักบนเตียงไม้ที่ปูด้วยฟูกผ้านุ่มสะอาด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกำยานในห้องทำให้เขารู้สึกคล้ายหลับไปครึ่งหนึ่ง
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากทางเดิน
“ข้าได้ยินว่าเจ้าพาใครบางคนกลับมาด้วย” เสียงทุ้มต่ำแฝงความอบอุ่นเอ่ยขึ้น
ลู่หยวนฉี เดินเข้ามาพร้อมกับหวังเจิ้ง บ่าวคนสนิท บิดาของลู่ซือหนานเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีบุคลิกสง่างาม คิ้วดกหนา ดวงตาคมลึก แววตาดูใจดีแต่ก็น่าเกรงขามในคราเดียวกัน
ลู่ซือหนานรีบลุกขึ้นโค้งคำนับเบาๆ แล้วเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านพ่อ เขาคือเผิงเหยียนเฉิง บุตรชายของลุงเผิงที่อยู่ข้างบ้านเดิมของเรา ผู้ที่เคยช่วยชีวิตท่านเมื่อหลายปีก่อนเจ้าค่ะ บัดนี้เขาบาดเจ็บอ่อนแรง ข้าขอให้เขาได้พักรักษาตัวที่เรือนของเรา”
ลู่หยวนฉีได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ ก็คลี่รอยยิ้มบางๆ ออกมา เขาเดินเข้าไปใกล้ มองบุรุษที่นอนซูบเซาอยู่บนเตียงอย่างพินิจ เมื่อเห็นว่าบุรุษตรงหน้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณก็ถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความเห็นใจ
“เหยียนเฉิง” เขาเอ่ยเรียกเบาๆ
ชายหนุ่มพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่ลู่หยวนฉียกมือห้ามไว้ก่อน
“อย่าฝืนตัวเอง” เขากล่าวอย่างเมตตา
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณบิดาเจ้ามาก ครั้งนั้นหากไม่ได้เขา ป่านนี้ข้าคงไม่อาจมีวันนี้” ลู่หยวนฉีถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าพักรักษาตัวที่นี่เถอะ ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ถือเสียว่าข้าทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณที่ค้างคามานาน”
“ข้าขอบคุณนายท่านลู่”
เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้าง รู้สึกคล้ายก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกยกออก น้ำเสียงแหบพร่าเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก
“ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณ แล้วหลังจากนี้อย่าเรียกห่างเหินเช่นนั้นอีก เรียกข้าลุงลู่อย่างเดิมเถอะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ขอรับ ท่านลุงลู่” เขากล่าวเสียงอ่อนแล้วไอออกมาเล็กน้อย
“ต้มยาสมุนไพรให้คุณชายเผิง แล้วพรุ่งนี้ตามหมอมาดูแลเข้า ปฏิบัติคุณชายเผิงในฐานะแขกสำคัญของสกุลลู่” ลู่หยวนฉีประกาศลั่น ก่อนจะหันมาบอกบุตรีของตนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“ซือหนานดูแลเหยียนเฉิงให้ดีล่ะ”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” ลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ขณะมองเผิงเหยียนเฉิงที่นอนนิ่งอยู่ด้วยสายตาอ่อนโยน
บ่าวไพร่รีบเข้ามาจัดการเปลี่ยนชุด เตรียมน้ำอุ่นและยาสมุนไพรตามคำสั่งของนายท่าน ท่ามกลางความวุ่นวาย เผิงเหยียนเฉิงหลับตาลงช้าๆ อย่างอ่อนแรง
อย่างน้อยในตอนนี้ชีวิตเขาก็ไม่ได้โชคร้ายไปเสียทีเดียว หากรักษาตัวจนหายดีแล้วเขาจะต้องตอบแทนบุญคุณนี้แน่ แม้อีกฝ่ายจะไม่ต้องการก็ตามที
************************
ในช่วงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเริ่มต้น งานราชการในส่วนของสำนักศึกษาที่เผิงเหยียนเฉิงได้ริเริ่มและปรับปรุงใหม่ก็เริ่มประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน จากการที่มีแนวคิดปฏิรูปที่เน้นความเป็นธรรมและให้โอกาสแก่ทุกคน ผู้คนในราชสำนักและชาวบ้านต่างยกย่องความคิดเหล่านี้อย่างไม่ขาดสายณ ห้องทำงานหลักในจวนโหว เผิงเหยียนเฉิงก้าวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงใหม่ ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงและความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบการศึกษาที่เอื้ออำนวยให้แก่สตรี ซึ่งเขาและภรรยา ลู่ซือหนาน ได้ร่วมกันผลักดันมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาหลักสูตรและแนวทางสอนได้ถูกปรับปรุงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตามคำแนะนำจากผู้รู้และนักวิชาการทั้งในราชสำนักและต่างแคว้นฮ่องเต้ทรงประกาศแสดงความชมเชยต่อความก้าวหน้าของสำนักศึกษาและการปฏิรูปที่ได้รับการดำเนินการโดยเผิงเหยียนเฉิงและลู่ซือหนานอย่างยิ่งยวดขณะเดียวกัน เมื่อหน้าที่การงานประสบความสำเร็จ ครอบครัวของเขาก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันในห้องนอนอันอบอุ่น ภายใต้แสงเทียนสีอ่อนที่สาดส่องลงมาจากเพดานเผิงเหยียนเฉิงที่เพิ่งกลับมาถึง เขาเดินเข้ามาเอื้อม
ในยามค่ำของคืนนั้น ท้องฟ้าโปร่งใสแต่แสงจันทร์ดูหม่นเล็กน้อย บรรยากาศภายในจวนโหวเงียบสงบเช่นเคย จนกระทั่งเสียงร้องเบาๆ ดังขึ้นจากห้องนอนชั้นใน“อื้อ ท่านพี่... ข้าเจ็บ... เจ็บท้อง...”ลู่ซือหนานนิ่วหน้า มือข้างหนึ่งกุมผ้าห่ม อีกข้างจับท้องแน่น ร่างทั้งร่างเกร็งเหมือนคลื่นบางอย่างกำลังซัดเข้ามาทีละระลอกเผิงเหยียนเฉิง ได้ยินเสียงภรรยาก็ลุกจากโต๊ะหนังสือมา ใบหน้าซีดเผือด“ฮูหยิน เจ้าเป็นอะไร เจ็บมากหรือไม่ เสี่ยวหลาน เสี่ยวหลาน ไปตามหมอตำแยมา ไปตามท่านแม่ด้วย”เสียงร้องเรียกดังลั่นจนบ่าวไพร่วิ่งกันพล่านทั่วเรือน เสี่ยวหลานกับสาวใช้หลายคนรีบพากันเข้ามาช่วยพยุงลู่ซือหนานให้นอนสบาย เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาดอย่างเร่งด่วนอันเหม่ยฉินเข้ามาพร้อมท่าทีสงบนิ่ง นางมองเห็นสถานการณ์แล้วเอ่ยเสียงเข้ม“ทุกคนอยู่ในความสงบ ให้คนไปตามหมอตำแยแล้วหรือยัง ถ้ายังให้รีบไปตามมา เซี่ยมามารบกวนให้คนต้มยาสมุนไพรตามตำราเร่งด่วน เสี่ยวหลาน เสี่ยวหนิว พวกเจ้าอยู่ใกล้นาง ห้ามให้เคลื่อนไหวแรง”ผู้เป็นสามีพยายามจะเข้าไปใกล้ แต่ลู
ในวันหนึ่ง ณ ถนนหน้าจวนโหว เสียงฝีเท้าของม้าหลายตัวดังขึ้นตามถนนสายหน้าเรือนใหญ่ ขบวนรถม้าอย่างดีจากเจียงเฉินเคลื่อนตัวมาหยุดตรงประตูหน้าจวนโหว ข้ารับใช้รีบออกมาต้อนรับเมื่อรู้ว่าเป็นครอบครัวของฮูหยินใหญ่ประตูไม้เปิดออก ชายในชุดตัวยาวผ้าแพรสีเทาอ่อนลงจากรถก่อน ลู่หยวนฉีบิดาของลู่ซือหนานเดินลงมาแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความปีติ ก่อนจะหันไปรับลูกชายตัวน้อยจากภรรยา ให้นางลงมาจากรถม้าได้สะดวกเด็กน้อยวัยหกเดือนในอ้อมแขนของบิดา เขามีผมดำขลับ ดวงตากลมโต และยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ต่างจากพี่สาวอย่างลู่ซือหนานในวัยเยาว์หลี่อันพ่อบ้านประจำจวนรีบเข้าไปแจ้งข่าว แก่ลู่ซือหนานที่นั่งพักอยู่ในห้องพักด้านในเมื่อได้ยินข่าวถึงกับน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน นางให้เสี่ยวหลานพยุงเดินออกมาช้าๆ โดยมีเซี่ยมามาเดินเข้ามาดูแลอยู่ไม่ห่าง เพราะเผิงโหวสั่งเอาไว้ว่าให้นางคอยดูแลนายหญิงให้ดีเมื่อเห็นบิดามารดาและน้องชายตัวน้อย นางคารวะเล็กน้อยแล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนที่อันเหม่ยฉินจะเอามือไปสัมผัสข้างแก้มของบุตรสาวด้วยน้ำตา“ลูกเอ๋ย...แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าอ่อนล้าหรือไม่ ท้องโ
วันถัดมา หยางมี่อิงแต่งกายเรียบร้อยในชุดผ้าแพรบางสีชมพูอ่อน เครื่องประดับจัดเต็มแต่ดูละมุน เดินมาถึงหน้าจวนโหวอย่างมั่นใจ หวังจะเข้ามาเยี่ยมลู่ซือหนานเช่นเคย“บอกเผิงฮูหยินด้วยว่า ข้ามาเยี่ยมตามปกติ”นางยิ้มบาง ส่งเสียงกับบ่าวเฝ้าประตูแต่บ่าวหนุ่มกลับทำหน้านิ่ง ยกมือขึ้นคำนับ“ขอประทานอภัยแม่นางหยาง ข้าน้อยรับคำสั่งจากท่านโหวเผิงโดยตรง ห้ามมิให้แม่นางก้าวเข้าจวนอีก”“อะไรนะ” สีหน้าหยางมี่อิงเปลี่ยนไปในทันที เสียงที่เคยหวานเริ่มสั่นเครือ“ท่านโหวพูด... พูดแบบนั้นจริงหรือ”บ่าวค้อมศีรษะอย่างสุภาพแต่หนักแน่น “ใช่ขอรับ เป็นคำสั่งชัดเจนเมื่อวานก่อน แม้จะเป็นสหายเก่า ก็ไม่อนุญาตให้เข้าได้ ท่านโหวถึงขั้นให้จดชื่อไว้ด้วย เพื่อป้องกันการฝ่าฝืน”หยางมี่อิงยืนแข็งอยู่หน้าจวน ใบหน้าที่เคยเชิดสูงบัดนี้แดงจัดด้วยความอับอายและโกรธแค้น หัวใจพลันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง นางไม่คิดว่าเผิงเหยียนเฉิงจะกล้าปฏิเสธนางตรงๆ เช่นนี้ และที่สำคัญกว่านั้น นั่นหมายความว่าเขาอาจบอกภรรยาไปแล้ว&ldqu
บรรยากาศในจวนโหวที่เคยสงบ เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียนของสตรีอีกนาง หยางมี่อิงยังคงเข้ามาหาลู่ซือหนานบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงที่เผิงเหยียนเฉิงต้องออกไปจัดการงานราชการต่างเมือง ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้นางได้ใช้เวลาอยู่ในจวนมากขึ้น ทว่าภายใต้รอยยิ้มและน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนมนั้น กลับซ่อนอะไรบางอย่างที่เสี่ยวหลานรู้สึกถึงบ่ายวันหนึ่ง ณ เรือนรับรองภายในจวนโหวลู่ซือหนานนั่งถักเชือกสีขาวแดงสำหรับทำเครื่องประดับทารกอยู่บนตั่งในสวน หยางมี่อิงเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าผลไม้ในมือ“วันนี้ข้าแวะผ่านตลาด เห็นท้อขาวลูกสวยเลยซื้อมาฝากเจ้า” หยางมี่อิงยิ้มอ่อนโยน วางตะกร้าไว้บนโต๊ะหิน“หญิงตั้งครรภ์กินผลไม้สดดีต่อร่างกาย”“ขอบใจเจ้า มี่อิง” ลู่ซือหนานรับคำอย่างนุ่มนวล พลางวางเชือกในมือลง“เจ้าลำบากแวะมาหาข้าบ่อย ข้ารู้สึกเกรงใจนัก”“เจ้าเป็นเพื่อนเก่า ข้าดีใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ ต่างหาก” หยางมี่อิงกล่าวพร้อมยิ้มหวาน ดวงตากวาดมองไปทางเรือนรอบข้าง แล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจ“ช่วงนี้ท่านโหวไม่
ช่วงเวลาหลายวันถัดมา หยางมี่อิงเริ่มแวะเวียนมาหาลู่ซือหนานที่จวนโหวบ่อยขึ้น นางพูดจานุ่มนวล อ่อนโยน และมักนำของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้ ไม่ว่าจะเป็นผ้าแพรลวดลายงามจากทางใต้ หรือสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ได้จากหมอชื่อดัง“ข้าเห็นเจ้ากำลังตั้งครรภ์ เลยปรึกษาผู้อาวุโสในเรือน ข้าว่าน้ำขิงสูตรนี้จะช่วยให้เจ้าหลับได้ดีขึ้นยามค่ำ” หยางมี่อิงยื่นถ้วยให้ลู่ซือหนานด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนลู่ซือหนานรับน้ำขิงมา แต่ไม่ได้ดื่มเข้าไป เพราะไม่ไว้ใจยาจากคนนอก “ขอบคุณเจ้ามาก ข้ามีบ่าวอยู่ แต่ก็อบอุ่นใจนักที่เจ้าห่วงใยถึงเพียงนี้”หยางมี่อิงนั่งลงใกล้ๆ พลางช่วยจัดเรียงผ้าปักลายที่สาวใช้พับไว้ข้างตั่ง“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าอิจฉาเจ้ายิ่งนัก...” นางว่าเบาๆ“มีสามีดี มีลูกในครรภ์ และยังได้รับเกียรติให้ตั้งสำนักศึกษาอีก ข้าดีใจแทนเจ้านะซือหนาน”ลู่ซือหนานยิ้ม ไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่เก็บถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในใจ นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจปนเล่ห์นัยบางอย่างจากน้ำเสียงของเพื่อนเล่นวัยเยาว์ เหมือนสายลมอ่อนโยน แต่กลับแฝงความเยือกเย็นบางอย่าง