ログインแต่เจ้าขันทีเฒ่ามากราคะผู้นั้นเขาไปดื่มดีหมีเลือดพยัคฆ์มาหรือไรจึงบังอาจมองพระชายาของซู่จิ้งอ๋องราวกับจะจับนางกลืนกินลงท้องเช่นนั้น เห็นทีตาเฒ่าเหลิ่งคงไม่อยากหายใจแล้วเป็นแน่
“เอ่อ…อะแฮ่ม!เป็นเฝิงกุ้ยเฟยที่มีรับสั่งเอาไว้ว่า ห้ามไม่ให้พระชายาหานก้าวเข้าไปภายในตำหนักแม้เพียงครึ่งก้าวพ่ะย่ะค่ะ”
“!!?” ซูผิงนั้นบังเกิดความสงสัย แต่ไม่กล้าเปิดปากสอบถามออกไป
“!!?”
ถิงเฟยเองก็เช่นกัน สาวใช้ตัวน้อยล้วนไม่แจ้งแก่ใจว่า เฝิงกุ้ยเฟยนั้นต้องการอย่างไรกันแน่ ให้คนสนิทผู้หนึ่งไปเร่งให้คุณหนูสามของตนเองมาเข้าเฝ้าโดยเร่งด่วน แต่พอมาแล้วกลับให้คนสนิทอีกคนมาขวางเอาไว้ ทำเช่นนี้เด็กสาวไม่กระจ่างใจเลยสักเพียงนิดเดียว
ฝ่ายของหานซางจื่อกลับไม่แสดงกิริยาอาการใดออกไปสักนิด นอกจากยังคงยิ้มอ่อนเต็มใบหน้าเท่านั้น แต่ภายในใจของนางกลับรู้แจ้งไปแล้วทั้งหมดถึงจุดประสงค์ของผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘ท่านแม่สามี’
“พระชายาหานจะไม่ถามหรือพ่ะย่ะค่ะว่า เหตุใดเฝิงกุ้ยเฟยจึงมีคำสั่งเช่นนี้”
อดไม่ได้เหลิ่งกงกงจึงต้องถามออกไปเสียเอง หากแต่เด็กสาวตรงหน้าของขันทีเฒ่ากลับไร้กิริยากังขาแม้แต่น้อยดูไม่ออกสักนิดว่าหานซางจื่อนั้นคิดเห็นเป็นประการใด
“สงสัยย่อมต้องถามกับเฝิงกุ้ยเฟยจึงจะถูกจริงหรือไม่เล่าท่านกงกง ถามท่านที่เป็นเพียงบ่าวไพร่ จะรู้ความได้อย่างไร”
กล่าวแล้วสาวน้อยก็ยิ้มไร้เดียงสาออกไปหนึ่งสาย ดูไปคล้ายจริงใจแต่มองให้ดีกลับคล้ายนางกำยังยิ้มเย้ยหยันเขาอยู่อย่างไรก็ไม่ทราบได้ คำพูดคำจาก็เหน็บแนมเจ็บปวดจนขันทีเฒ่าถึงกับคิ้วกระตุก
“ปากคอของเจ้านี่สมกับเป็นสายเลือดของซ่งฮองเฮาเสียจริงๆ นะหานซางจื่อ”
สตรีโฉมงามยากจะคาดเดาอายุแท้จริงเดินกรีดกรายออกมาจากภายในตำหนักงดงาม โดยมีแม่นมจางเดินรั้งท้ายมาไม่ห่าง หานซางจื่อนั้นทำเพียงกดรอยยิ้มอ่อนหวานและไร้เดียงสาออกไปหนึ่งสาย ก่อนจะย่อกายทำความเคารพสตรีสูงวัยผู้ได้ชื่อว่าเป็นมารดาของสวามีเต็มพิธีการ
“สะใภ้ผู้แซ่หานถวายพระพรเสด็จแม่สวามีเพคะ”
พอเฝิงกุ้ยเฟยได้ฟังว่า หลานสาวของศัตรูตัวร้ายเรียกตนเองว่า ‘เสด็จแม่สวามี’ เข้าเท่านั้น นางก็ถึงกับโมโหจนลมออกหู
“ผู้ใดคือเสด็จแม่ของเจ้ากัน เปิ่นกงคือเฝิงกุ้ยเฟย!”
“โอ๋ว? ...”
ใบหน้างดงามนั้นเงยขึ้นเล็กน้อยพร้อมกันหลุดเสียงร้องน่ารักน่าเอ็นดูออกมาหนึ่งคำ ซึ่งทั้งหมดเฝิงหลันฉวานั้นกลับมองหานซางจื่อผู้เป็นสะใภ้ใหม่ของตนเองด้วยความชิงชัง เลยเห็นแต่เพียงอีกฝ่ายที่เป็นผู้เยาว์กำลังยั่วยุโทสะของตนเองอยู่เท่านั้น
“บังอาจนัก! คุกเข่าลงไปเดี๋ยวนี้!”
หานซางจื่อถึงกับชะงักนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะยังไม่ทราบถึงความผิดที่ตนเองต้องคุกเข่า และเป็นการคุกเข่าที่กลางลานหน้าตำหนักอีกด้วย เช่นนี้ออกจะไม่สมควร และไม่สมเหตุผลเกินไปแล้วกระมัง
“สะใภ้ขอบังอาจถามว่า สะใภ้ทำความผิดใด หรือล่วงเกินเฝิงกุ้ยเฟยด้วยเรื่องอันใดไปหรือเพคะ?”
เพียะ!
“คุณหนู!”
“พระชายาหาน!”
ถิงเฟยและซูผิงกรีดร้องออกมาเมื่อใบหน้าของหานซางจื่อถูกฝ่ามือของเฝิงกุ้ยเฟยตบจนสะบัดไปตามแรง เรือนกายบอบบางกระเด็นลงไปนั่งกับพื้น พอนางหันกลับมา มุมปากจิ้มลิ้มบัดนี้กลับมีโลหิตไหลออกมาเสียแล้ว แววตาของหานซางจื่อกลับไร้ความแตกตื่นหรือเสียขวัญ อาจมีรอยกังขา แต่พอมองซ้ำกลับหายไปอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับที่เด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวนั้นไม่ได้รอให้สาวใช้ข้างกายกับนางกำนัลผู้ติดตามเข้ามาช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แต่นางกลับลุกขึ้นด้วยตนเองแล้วมายืนสงบนิ่งเผชิญหน้ากับมารดาของสวามีที่ดูไร้เหตุผลที่สุดในชีวิตของเด็กสาวที่ได้พบเจอผู้คนมา
“ไม่ว่าสะใภ้ทำสิ่งใดผิดไป สะใภ้แซ่หานผู้นี้ต้องขออภัยเพคะ ขอเฝิงกุ้ยเฟยลงโทษ และระบายโทษสะใภ้โดยมิต้องชี้แจงเถิด”
เพียงถ้อยคำนอบน้อมไม่กี่ประโยคเหล่านั้นที่หลุดออกจากเรียวปากจิ้มลิ้มของสะใภ้ที่เฝิงหลันฮวาแสนจะชิงชังกลับเหมือนตนเองถูกฝ่ามือของซ่งฮองเฮาฟาดลงมาบนใบหน้าซ้ำๆตอกย้ำถึงความด้อยสติปัญญาของตนเองที่ให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่พันครั้งก็คงมิอาจเทียบได้กับสตรีเช่นซ่งเพ่ยหนี่ว์ได้ซ้ำไปซ้ำมาจนตาลาย
“นี่เจ้า!” เฝิงหลันฮวาโกรธจนหน้าดำไปแปดส่วน ความงามที่มากล้นเลือนหายไปเสียเกินกึ่งหนึ่งเมื่อนางแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“เชิญเฝิงกุ้ยเฟยชี้แนะสะใภ้แซ่หานผู้โง่เขลาด้วยเพคะ”
เด็กสาวไม่ต้องรอให้เฝิงกุ้ยเฟยนั้นออกคำสั่งอีกครั้งก็คุกเข่าลงไปที่พื้นทันที เพราะรู้แจ้งที่แห่งนี้นางตัวคนเดียวถิ่นของผู้อื่นจะมัวรักหน้าตาตนเองมากกว่าชีวิตไม่ได้เด็ดขาด รักษาชีวิตเอาไว้จึงนับว่าเป็นยอดคน นางที่เตรียมพร้อมมาแล้วต่อให้ช่วงแรกสะดุดไปบ้างด้วยไม่ทันคิดว่า เฝิงกุ้ยเฟยจะไร้ซึ่งเหตุผลเอาแต่โทสะเป็นใหญ่เช่นนี้ แต่เมื่อตั้งตัวได้หานซางจื่อก็ไม่รีรอที่จะเสแสร้งเป็นผู้น้อยอ่อนข้อให้ผู้ใหญ่ในทันที บทบาทสะใภ้อ่อนแอนี้นางซ้อมมาแล้วเป็นแรมเดือน ถึงไม่เชี่ยวชาญแต่ก็นับว่าพอจะแสดงได้อยู่บ้าง
“สะใภ้ผู้แซ่หานสำนึกผิดแล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้ซู่จิ้งอ๋องมีโทสะจนไม่อยากร่วมหอล้วนเป็นสะใภ้ที่ผิดเองเพคะ เช้านี้จึงตั้งใจมาขอรับโทษจากเฝิงกุ้ยเฟยด้วยความเต็มใจ สะใภ้ขอสำนึกผิดอยู่ตรงนี้จนกว่าเฝิงกุ้ยเฟยจะเมตตาเพคะ”
กล่าวจบหานซางจื่อก็ก้มลงวางสองมือแนบไปกับพื้นดินที่ยังชื้นแฉะไปด้วยน้ำฝนที่เพิ่งจะจางหายไป หน้าผากหรือก็แนบสนิทไปกับพื้นดินเช่นเดียวกับฝ่ามือน้อยทั้งสองข้าง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะไม่ต้องเจ็บตัวไปมากกว่านี้และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะดูเป็นฝ่ายถูกทั้งซู่จิ้งอ๋องและเฝิงกุ้ยเฟยรังแก และแน่นอนอีกไม่นานคนของซ่งฮองเฮาที่แฝงกายอยู่ภายในตำหนักของซู่จิ้งอ๋องจะต้องรายงานออกไปเป็นแน่
ลงทุนยอมเป็นสุนัขรักชีวิตสักหน่อย แต่สองแม่ลูกคู่นี้จะต้องถูกฮ่องเต้ตำหนิ เด็กสาวก็ถือว่าการค้านี้ตนเองไม่ขาดทุนแล้ว ก็นางเป็นเจ้าสาวพระราชทาน อันที่จริงหากเฝิงกุ้ยเฟยจะไม่รีบร้อนเอาผิดนางเรื่องจ้าวเหลียงอี้ทอดทิ้งนางในราตรีเข้าหอก็อาจจะเก็บเงียบไม่เปิดเผยออกไปแล้ว แต่นี่สตรีสูงวัยผู้นี้กลับไร้สติเกินไป จึงโง่เขลาไม่ทันคิดว่า การที่ตนเองเอาความกับลูกสะใภ้ผลร้ายจะไปตกอยู่ที่บุตรชายของตนเอง
ยิ่งสาเหตุที่จ้าวเหลียงอี้ทอดทิ้งเจ้าสาวพระราชทานมีเพียงไปดูม้าคลอดลูกด้วยแล้ว เชื่อเถิดฮ่องเต้จะต้องพิโรธมากอย่างแน่นอน เพราะมันเท่ากับว่าบุตรชายคนเล็กนี้หยามหมิ่นเกียรติบิดาของแผ่นดิน บัดนี้หานซางจื่อไม่แปลกใจเลยที่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะนานเท่าใดเฝิงกุ้ยเฟยก็ไม่เคยเอาชนะซ่งฮองเฮาได้
“เสด็จแม่!”
จ้าวเหลียงอี้ที่ในคราวแรกนั้นคิดเพียงว่าจะมาดูชมเรื่องบันเทิงกลับต้องตกใจที่มาเห็นว่ามารดาของตนทำผิดไปเสียแล้ว เช่นนี้หากเฝิงกุ้ยเฟยมีโทสะแล้วเรียกสะใภ้คนใหม่เข้าไปตำหนิหรือลงโทษในที่ลับตาคนยังนับว่าไร้ปัญหา แต่นี่มารดาของเขากลับขาดสติมาลงโทษหานซางจื่อสะใภ้ที่ฮ่องเต้เลือกด้วยตนเองเช่นนี้ เท่ากับหยามหน้าบุรุษเหนือแผ่นดินแล้วจริงๆ
“น้องหญิงลุกขึ้นก่อน”
ต่อให้ฝืนใจจ้าวเหลียงอี้ก็ต้องทำแล้ว ชายหนุ่มตรงเข้าไปประคองให้ผู้เป็นพระชายาลุกขึ้นมายืน แต่เพียงนางเงยหน้าทุกคนถึงกับเมินหน้า เพราะจากภาพเด็กสาวงดงามและสูงศักดิ์บัดนี้มอมแมมเต็มไปด้วยดินโคลนอาภรณ์นี้กลับยิ่งดูยับเยินสองแก้มเต็มไปด้วยคราบน้ำตา หูตาดูบอบช้ำจนน่าหวาดกลัว
อึก!
ซู่จิ้งอ๋องเติบโตมายี่สิบสามหนาวกลับยังไม่เคยพบพานสตรีใดร้องไห้แล้วน่าสงสารได้ถึงเพียงนี้มาก่อน เพราะหานซางจื่อไม่ได้ร้องไห้ด้วยการส่งเสียง แต่นางร้องไห้เงียบๆมีเพียงน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ปลายจมูกเล็กแดงจัดแล้วยังมีเรียวปากเล็กจิ้มลิ้มที่ปริแตกนั้นก็บวมจัด ยิ่งดวงตาคู่งามนั้นกลับยิ่งดูร้าวราน จนเขาที่ไม่ได้ชมชอบนางเห็นแล้วยังปวดใจ
“ขอท่านอ๋องอย่าได้ขัดขวางที่เฝิงกุ้ยเฟยลงโทษหม่อมฉันเลยเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ผิดต่อท่านอ๋องและเฝิงกุ้ยเฟยเอง”
น้ำเสียงหวานจับใจนั้นสั่นสะท้านยิ่งแววตากลับเขย่าหัวใจคนมองได้ดียิ่ง พลันนั้นจ้าวเหลียงอี้ก็พบว่าสาวน้อยที่ตนเองเคยคิดว่ากำราบได้ไม่ยากนั้น เห็นทีเขาจะมองหานซางจื่อต่ำไปแล้วจริงๆ ...
บทที่ 20หน้าจวนหนานไค่กั๋วกงวันนี้คึกคักอย่างยิ่ง เพราะสามวันก่อนพวกชาวบ้านใกล้เคียงไร้วาสนาจะได้ชื่นชมรูปโฉมของคุณหนูสามที่แต่งออกไปเป็นพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋อง หรือซู่จิ้งหวางเฟยของเทียนสุ่ยที่ฮ่องเต้เป็นผู้เลือกด้วยตนเองเพราะนางถูกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวกับอาภรณ์เต็มพิธีการปกปิดเอาไว้ วันนี้ได้ข่าวว่านางจะกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม พอรถม้าของหานซางจื่อเลี้ยวพ้นหัวโค้งถนนจึงพบกับภาพชาวบ้านเนืองแน่น“ชาวบ้านพวกนี้เขาไม่มีการมีงานทำกันหรือไรนะถิงเฟย?”“เรื่องปกติ นายหญิงอย่าได้คิดมาก เรื่องของผู้อื่นล้วนน่าสนใจเสมอ”“อ๋อ”หานซางจื่อรับคำเพียงเท่านั้นก็เงียบไปรอจนรถม้าหยุดนิ่งก็ก้าวลงไปหาบิดากับมารดาเลี้ยง และพี่ชายคนโตเช่นหานเจาจง กับสะใภ้ใหญ่ รวมถึงเหล่าอนุภรรยาทั้งสี่ของเขาด้วยกิริยาสง่างาม“นางโฉมงามถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงถูกซู่จิ้งอ๋องหมางเมิน?”“นั่นน่ะสิ หรือนางมีโรคร้าย”เสียงของท่านป้าสองคนกระซิบกระซาบกัน แต่เพราะหานซางจื่อนั้นมีวรยุทธ์สูงกว่าคนปกติ ให้เบาและไกลกว่านี้นางก็ได้ยิน ทว่านางกลับไม่ใส่ใจ อยากนินทาก็ทำไปนางไม่เดือดร้อน“ซางจื่อคารวะท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่ พี่ใหญ่ สะใภ้ใหญ่”“ลุกขึ้
บทที่ 19แต่มิคาดว่าเพียงเขาสัมผัสถูกฝ่ามือของสาวน้อยผู้เป็นพระชายาเท่านั้นกลับต้องทั้งตกใจ ทั้งสงสัย และมีความแปลกใจผสานอยู่หลายส่วน เพราะว่าฝ่ามือของหานซางจื่อนั้นกลับหยาบกระด้างกว่าฝ่ามือของบุรุษเช่นเขาเสียอีกพอจับมากางออกจึงเห็นชัดเจนว่า มีตุ่มไตที่เป็นรอยด้านมากเพียงใด ฝ่ามือของนางกำนัลที่อยู่หน่วยซักล้างอาภรณ์ในราชวังถ้าเขาจำไม่ผิดยังไม่น่าจะหยาบกระด้างเท่านี้“หลินเปียว?”คนเดียวที่เขาเคยสัมผัสได้ถึงฝ่ามือหยาบกระด้างใกล้เคียงกับฝ่ามือของหางซางจื่อที่นึกออกก็คือองครักษ์เงานามหลินเปียวเท่านั้น เพราะแม้แต่มู่สือเองหรือกงเหวินก็ยังไม่มีฝ่ามือหยาบกระด้างเช่นที่หานซางจื่อมีเลยสักนิด นามขององครักษ์เช่นหลินเปียวผู้เดียวที่เขาคุ้นเคยจึงหลุดออกมาจากปากของเขาราวกับละเมอ“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”จ้าวเหลียงอี้จับมือเล็กพลิกไปมาด้วยกิริยากังขาไร้ความกระจ่างดวงตาเลื่อนลอย เพราะกำลังใช้ความคิดแต่ไม่นานเขาก็ตรวจชีพจรของนางดูตามที่พอมีความรู้อยู่บ้างว่าที่แท้นางหลับจริงหรือเสแสร้ง สุดท้ายก็กระจ่างว่า นางหลับสนิทจริงๆ“!!?”ตุ๊บ!“!!!”และเพราะเขาตรวจชีพจรของนางจึงพบว่าที่ข้อมือของนางมีรอยกรีดที่ไม
บทที่ 18หานซางจื่อถึงกับเผลอใจสบถอยู่ในหัวอก แต่พอได้สติก็รู้สึกผิดจนแทบอย่างจะกัดลิ้นตนเองเสียนัก เกิดมาถึงป่านนี้นางไม่เคยหยาบคายได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ภายในใจนางก็ไม่เคยด่าทอไปถึงบิดามารดรของผู้อื่นมาก่อน อาจมีบ้างที่เผลออุทานสบถในใจยามตกใจ แต่ไม่เคยสบถเพราะควบคุมอารมณ์โกรธมิได้เช่นนี้“ลำบากอี้เกอจริงๆ ต่อไปขอหม่อมฉันเรียกท่านว่า ‘พี่อี้’ เถิดนะเพคะ คำว่าท่านพี่นั้นหม่อมฉันรู้สึกว่ามัน...ประหลาดยิ่งนัก ไม่อาจเรียกได้อย่างราบรื่นเพคะ”‘ช่างบัดซบยิ่งนัก วันนี้ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกรงว่าจะต้องถูกบุรุษนามเหลียงอี้ผู้นี้พรากไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่?’ หานซางจื่อรู้สึกว่าตนเองอยากหลับสักตื่น แต่มิอาจทำได้ต้องมาถูกจ้าวเหลียงอี้ทรมานไม่สิ้นสุด บุรุษผู้นี้ช่างเป็นดาวมรณะ เป็นตัวเภทภัยของนางจริงๆ“เอาอย่างนั้นหรือ?”“เพคะ”จ้าวเหลียงอี้ไม่ได้มีปัญหากับเรื่องเหล่านี้ เพราะที่เขามาก็เพียงต้องการจะมาดูอาการป่วยของนางให้กระจ่างเท่านั้น เพราะมีบางสิ่งผิดปกติไปนับตั้งแต่นางดื่มน้ำชาถ้วยนั้นแทนเขาได้ไม่นาน อาการของหานซางจื่อก็เปลี่ยนไปในเวลาราวหนึ่งก้านธูป หากน้ำชาถ้วยนั้นไม่มีปัญหาเหตุใดอาการของนางจึงทร
บทที่ 17ผ่านไปอีกสองชั่วยามหานซางจื่อจึงค่อยคืนสติกลับมา กระนั้นอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก แต่การเดินลมปราณขับเลือดพิษออกมาบางส่วนนั้นก็นับว่าได้ผลพอสมควร แต่ผลกระทบก็คือการเสียเลือดไปมากทำให้นางอ่อนล้าและง่วงงุนมากกว่าปกติตลอดเวลา“สยงต้าเกอส่งยามาให้แล้วพร้อมกับตำราแก้พิษของกระเรียนแดงมาแล้วแต่ก็ยังติดปัญหาที่ส่วนหนึ่งคือยาบำรุงเลือดเสียแปดส่วน ที่แห่งนี้หากจะต้มยาจะเกิดผลร้ายหรือไม่ดังนั้นถิงเฟยไม่กล้าตัดสินใจจึงรอให้นายหญิงตื่นขึ้นมาก่อนแล้วถามให้แน่ชัดเจ้าค่ะ”เรื่องเชื่อฟังนายหญิงนับว่าถิงเฟยเองก็ไม่น้อยหน้าสาวใช้สกุลอื่น ดังนั้นเรื่องสำคัญเด็กสาวจึงไม่กล้าตัดสินใจเองเด็ดขาด โดยเฉพาะภายในตำหนักซู่จิ้งอ๋องและสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ ถิงเฟยยิ่งต้องรอฟังคำสั่งเพียงเท่านั้น“เรื่องนี้เจ้าให้ซูผิงหรือหงเจี๋ยจัดการได้เลย เพราะเมื่อช่วงยามอู่ที่ข้าและซู่จิ้งอ๋องกลับมาด้วยกันได้บอกแก่เขาไปแล้วว่า ข้าไม่สบายตัว มีปัญหาสุขภาพของสตรี เรื่องต้มยาบำรุงเลือดนี้จึงนับว่าไม่ผิดปกติอันใด อย่างดีก็อ้างว่ารอบเดือนของข้ามามากเกินไป”หานซางจื่อเอ่ยเสียงแผ่วพลังกำลังภายในของนางบัดนี้สูญสิ้นไปไม่น้อย
บทที่ 16ตลอดเส้นทางจนถึงรถม้าคราวนี้หานซางจื่อเดินได้เนิบช้ายิ่งนัก จนจ้าวเหลียงอี้ต้องรั้งฝีเท้ารอนางอยู่หลายครั้งพอขึ้นรถม้าได้สาวน้อยก็ปิดตาหลับทันที ใบหน้างดงามกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแต่ผิวกายของนางกลับซีดเซียวจนมีสีเริ่มออกม่วงใกล้ดำคล้ำทว่าพอนางไม่ปริปากบอกว่าตนเองเป็นอันใดออกไป ชายหนุ่มก็ไม่ติดใจสอบถามเช่นกัน เพราะคิดว่านางเย่อหยิ่งนักก็ปล่อยนางป่วยไปก็แล้วกัน คนเช่นเขามีสตรีเอาอกเอาใจมาทั้งชีวิต จะให้ลดตัวไปเอาใจสตรีก่อนสังหารเขาเสียยังจะง่ายกว่า ฝ่ายหานซางจื่อนั้นกระจ่างแล้วว่าพิษที่ซ่งฮองเฮาตั้งใจมอบให้กับจ้าวเหลียงอี้คือพิษกระเรียนแดงก็เมื่อเดินทางออกจากวังหลวงได้ครึ่งทางแล้วซึ่งพิษนี้จะไม่กำเริบเร็วและหนักถึงเพียงนี้ หากว่านางไม่เคยถูกพิษน้ำค้างเหมันต์มาก่อน พิษเย็นและพิษร้อนมารวมอยู่ในร่างของคนผู้เดียว หากว่าพอเหมาะก็ไม่เกิดอันใด แต่นางรับมามากทั้งสองที่ควบคุมจนไปถึงตำหนักซู่จิ้งอ๋องนางไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า ตนเองจะสามารถควบคุมพิษนี้ไม่ให้แสดงให้จ้าวเหลียงอี้รู้แจ้งได้หรือไม่วรยุทธ์ขั้นเก้านี้มิอาจสะกดพิษทั้งสองไม่ให้ปะทะกันได้นานนัก“เจ้ากำลังไม่สบายหรือไม่ซางซาง”สุดท้
บทที่ 15กว่าถานจีเซียงจะคิดได้ว่า ตนเองผิดไปเสียแล้วก็เมื่อเห็นสายตาไม่พึงใจและกรุ่นโกรธของจ้าวหลงเฉินนั่นแหละมือไม้เรียวงามอย่างสตรีสูงศักดิ์พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที ใบหน้าก็ซีดเผือดยิ่งกว่าหานซางจื่อเสียอีก เห็นแล้วทำเอาพระชายาหานให้นึกระอาสตรีโง่เขลาเช่นไท่จื่อเฟยถานอยู่ในใจเสียมิได้“พอดีว่าหม่อมฉันหน้ามืดระหว่างเดินผ่านศาลาที่ไท่จื่อเฟยนั่งพักอยู่ ไท่จื่อเฟยเมตตาจึงให้นางกำนัลข้างกายมาเชิญให้หม่อมฉันกับซู่จิ้งอ๋องแวะมานั่งพักเพคะไท่จื่อ”แน่นอนว่าหานซางจื่อเตรียมการมาก่อนแล้วจึงเอ่ยวาจาได้ไหลลื่นอย่างยิ่งไร้ข้อพิรุธให้คนขี้ระแวงเช่นจ้าวหลงเฉินได้กังขา“ต้องขอบพระทัยไท่จื่อเฟยที่เมตตาหม่อมฉันยิ่งนัก”กล่าวแล้วก็หันไปโค้งกายให้กับถานจีเซียงทั้งที่ยังนั่งอยู่ในอ้อมแขนของจ้าวเหลียงอี้ด้วยกิริยาอ่อนหวานยิ่งนัก ซึ่งขณะนั้นเจ้าของอ้อมแขนก็ไปสะดุดกับสายตาของจ้าวลู่ฉือที่ทอดมองมายังร่างในอ้อมแขนของตนเองเข้าพอดี ต่อให้เขาเป็นคนอ่อนด้อยในเรื่องสตรี แต่สายตาของบุรุษด้วยกันย่อมกระจ่างต่อสายตาของพี่ชายลำดับที่ห้าในทันใด“จริงหรือเซียงเอ๋อร์”จ้าวหลงเฉินถามถานจีเซียงด้วยใบหน้านิ่ง สายตาจับผิดจนพ







