LOGINเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายและกำลังของ มิราวดีเริ่มตก เพราะไม่เคยต้องใช้แรงมากมายเท่านี้ พอเข้าตัวห้างสรรพสินค้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง มีผู้คนค่อนข้างเยอะทำให้วิ่งหลบหนีได้ง่าย แม้จะมีคนมองทุกครั้งที่วิ่งผ่านหรือชน แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยคำขอโทษ ได้แต่กล่าวขอโทษในใจและวิ่งหนีต่อไป
“เฮ้ย อยู่ทางนั้น !” “ทำไมตาดีขนาดนี้เนี่ย !” เธอบ่นพลางหันมองทั้งสองคนที่กำลังวิ่งตามทางบันไดเลื่อน แม้จะอยู่ห่างมากพอแต่ความไวของอีกฝ่ายก็ทำให้ประมาทไม่ได้ “เป็นนักวิ่งระดับชาติหรือไง !” มิราวดีรู้ตัวดีว่าต้องหาสักที่หลบซ่อนไม่ให้หาเจอ แต่ถ้าเข้าห้องน้ำไปก็ไม่ปลอดภัย ถ้าหากไม่มีคนแล้วพวกนั้นบุกเข้ามา เหมือนไปติดกับเต็ม ๆ หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวายจนเริ่มหาทางออกไม่ได้ แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ทว่าเธอก็ไม่มีโทรศัพท์หรือเงินติดตัวมาสักนิด ครั้นจะขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านก็รีบเดินหนีเธอทันที ในตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมาก ทำได้แต่วิ่งหนีไป กระทั่งหนีออกมาทางประตูของห้างที่เป็นลานรับส่งรถแล้ว ก็ยิ่งตัดสินใจลำบากว่าจะไปทางไหนต่อดี จะกลับเข้าไปใหม่ก็ไม่ทันเพราะพวกนั้นตามมาแล้ว “นั่น ! อยู่ทางนั้น” มิราวดีสะดุ้งลนลานเมื่อเห็นอีกฝ่ายห่างออกไปไม่ไกลมากนัก จึงรีบวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต ประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณการหลบหนีพอรับรู้ได้ว่าพวกนั้นกำลังตามมาประชิด พอมองหนทางข้างหน้ากลับมืดมิด หญิงสาวตั้งมั่นในใจว่าจะต้องหาที่หลบบังกายเพื่อให้พวกนั้นตามหาไม่เจอ แต่แทบไม่มีที่ให้หนีต่อไป ดวงตากลมมองเห็นรถคันหนึ่งผ่านมาและหยุดจอดอยู่ พอหันไปด้านหลังก็เห็นทั้งสองคนกำลังวิ่งมา หญิงสาวไม่มีเวลาคิดเยอะนอกจาก...เปิดได้ทีเถอะนะ ! มิราวดีภาวนาในใจและเปิดประตูกระโดดขึ้นรถทันที ไม่มองแม้แต่เจ้าของรถที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ หากจะแจ้งความจับก็ยิ่งดี พาเธอไปส่งตำรวจเลย ! พอเข้ามาแล้วก็ตั้งสติหันมองคนที่นั่งอยู่ในรถ จะให้ลงไปตอนนี้ก็ไม่ได้ มีแต่ต้องขออ้อนวอนเขา “ออกรถก่อนได้ไหมคะ !” เธอสบตามองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอย่างอ้อนวอน ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่แต่ขอให้หลุดพ้นจากทั้งสองคนนี้ไปก่อน รชตมองหญิงสาวที่เปิดประตูขึ้นรถมาด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะมองคนด้านนอกอีกสองคนที่กำลังวิ่งเข้ามา “ออกรถได้” เสียงที่พูดไม่ใช่เสียงของชายหนุ่ม แต่เป็นเสียงของไก่ตัวสีขาวที่อยู่ในกรงข้าง ๆ กับเธอ และคนขับรถก็ทำตามคำสั่ง มิราวดีอึ้งจนคิดว่าตนเองต้องเสียสติของไปแล้วแน่ “ไก่...พูดได้...” หญิงสาวมองเหมือนเป็นเรื่องประหลาดและตกใจจนเผลอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “จอดรถ” ชายหนุ่มสั่งและหันมองหญิงสาว “ลงไปได้แล้ว” “คะ” มิราวดีอึ้งขานรับอย่างงง ๆ แต่พอนึกได้ว่าต้องเดินทางกลับต่อเองจึงพูดขึ้นว่า “คุณพอมีเงินให้ฉันไหมคะ ฉันสัญญาว่าจะคืนคุณแน่นอนค่ะ นะคะ...คือฉัน...” “ลงไปได้แล้ว” “ถ้างั้นไปส่งฉันที่สถานีตำรวจทีนะคะ !” หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทางนี้ “ขอร้องเถอะนะคะ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา มองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง ครั้นจะพูดต่อแต่ก็โดนแทรกขึ้นเสียก่อน “อยู่ที่ไหนล่ะ” แน่นอนไม่ใช่เสียงของคนขับรถหรือชายหนุ่ม แต่เป็นเสียงของไก่ตัวสีขาวที่อยู่ในกรงขนาดกลาง “เร็วสิ ! จะให้ไปส่งที่ไหน” เจ้าไก่ตัวสีขาวเอียงคอพูด “อยู่ที่คอนโด...” หญิงสาวตอบแบบงง ๆ เมื่อได้คำตอบ รถก็เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง รชตส่งสายตามองไก่ตัวผู้ที่อยู่ในกรงด้วยความขุ่นเคืองเป็นเชิงบอกว่า อยากเป็นไก่ต้มหรือไง ! ยี่สิบนาทีต่อมารถยนต์คันหรูสีดำหยุดจอดลงที่หน้าคอนโดฯ ของ มิราวดี เธอหันมองด้วยความโล่งใจและยกมือขึ้นขอบคุณชายหนุ่ม “ขอบคุณมากนะคะ ฉันสัญญาว่าจะตอบแทนบุญคุณคุณแน่นอน” “หนีหนี้มาสินะ” เจ้าไก่เอ่ยขึ้น “เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว ถึงจะบอกว่าใช่ก็ไม่ถูกเพราะไม่ใช่หนี้ของเธอสักหน่อย หญิงสาวผ่อนลมหายใจหันไปมองชายหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” กล่าวขอบคุณก่อนที่จะรีบลงจากรถ เพราะเห็นสีหน้าของชายหนุ่มดูไม่พอใจเท่าไหร่ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ บ้างที่อาศัยรถเขามาส่งแต่ความโล่งใจที่เกิดขึ้นและอิสระที่หนีมาได้ ทำให้รู้สึกว่าสวรรค์ยังเมตตา แน่นอนว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกไม่ได้ หากพวกนั้นถามถึงที่อยู่จากแฟนและตามมาละก็ทุกอย่างคงจบกันแน่นอน “อะไร มองฉันแบบนั้นหมายความว่ายังไง” เจ้าไก่ตัวสีขาว หรือนามว่า ‘อาโป’ เอ่ยถาม รชตมองด้วยสายตาขุ่นเคือง “นายอยากเป็นยาบำรุงให้ฉันหรือไง” “นายต้องขอบคุณฉันสิ ! ฉันเป็นเทพนะ เทพเจ้าน่ะ” อาโปขยับปีกดิ้นอยู่ในกรงจนเกือบตกจากที่นั่ง มองชายหนุ่มที่ส่งสายตาประมาณว่า ‘อ้อ งั้นเหรอ’ พอเห็นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด ทั้งที่เขาเป็นเทพรูปหล่อที่ต้องมาซวยอยู่ในร่างไก่สีขาวที่หมดอายุขัยแล้ว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็กลับไปร่างเดิมไม่ได้สักที “ถ้านายไม่ได้ช่วย ฉันคงไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้คือคนที่นายกำลังตามหาอยู่” “หมายความว่ายังไง” สีหน้าของรชตดูเปลี่ยนไป อาโปขยับปีกวางท่า “ฉันสัมผัสได้ว่าดวงวิญญาณของเธอเหมือนกับของผู้หญิงคนนั้น...อาจจะเป็นสิ่งที่ฉันรอคอยคือการกลับไปเป็นเทพเจ้ารูปหล่ออีกครั้งหนึ่ง !” “ถ้านายพูดผิดอาจจะได้อยู่ร่างนี้ไปกับฉันอีกสักร้อยปี” “ไม่มีทางหรอกน่า!” อาโปขยับปีกหมายบินเข้าหาชายหนุ่ม เป็นเพราะพิธีกรรมโบราณนั่น ทำให้เขาต้องเผลอซวยมาเป็นผู้พิทักษ์จำเป็นเพื่อช่วยชายผู้นี้จนกว่าจะแก้คำสาปได้ “ฉันไม่อยากอยู่ร่างนี้ไปถึงหนึ่งพันปีหรอกนะ ให้ตายสิ !” ชายหนุ่มมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาไม่รู้สึกถึงตัวตนหรือวิญญาณของหญิงสาวเลยแม้แต่นิดเดียว หลายร้อยปีมานี้เดินทางไปทั่ว ย้ายถิ่นไปเรื่อย และตามหาเธอ ทุกครั้งที่เข้าใกล้หรือรู้สึกว่าต้องเป็นคนเดียวกันกลับมาเกิดใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ “ถ้าใช่ก็จะแก้คำสาปนี้ได้ใช่ไหม” “อืม” อาโปทำท่าทางนึกคิด “ตอนที่ทำพิธีนี้ ผู้หญิงคนนี้เต็มใจมอบด้วยความรัก ฉันคิดว่าถ้านายทำให้เธอรักได้ ก็อาจจะ” มันยากลำบากเหลือเกินที่จะทำใจแสร้งเล่นละครอีกครั้งหนึ่งเพื่อหลอกล่อให้เธอช่วยแก้คำสาป ทว่าการมีชีวิตอายุยืนนั้นไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแม้แต่น้อย “แค่นายทำให้เธอรักนายก่อน ส่วนที่เหลือฉันจะลองหาวิธีดู” อาโปพูดด้วยสีหน้าคิดหนัก แม้จะเป็นเทพก็ไม่ได้รู้อะไรมากขนาดนั้น ซ้ำพิธีนี้สร้างขึ้นจากความเชื่อของมนุษย์จนเกิดเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่เทพองค์หนึ่งประทานพรให้ ในอดีตกาลหลายพันปีที่ถูกสืบทอดมา แต่ไม่มีใครได้ใช้มันแม้สักครั้งเดียว จวบจนเวลาก็ผ่านมานานจนความเชื่อเหล่านี้ถูกลบเลือนไปเกือบสิ้น รชตส่งสายตานิ่ง ๆ ก่อนหันหน้าออกไปทางหน้าต่างรถ มองวิวกลางคืนพลางคิดเพียงลำพัง ถ้าหากง่ายขนาดนั้นคงจะดีไม่น้อย เขาจะได้หยุดความอมตะที่ทรมานนี้สักที “แล้วนายอยากให้ฉันช่วยไหมล่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้า “มีแผนเหรอ” เจ้าไก่สีขาวส่งสายตามีเลศนัย ยิ้มหัวเราะอย่างมีชัย “ระดับท่านเทพซะอย่าง”หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว มิราวดีตัดสินใจที่จะตามหาพ่อบ้านมงคลเพื่อถามคำถามที่ค้างคาใจมาหลายวัน“ให้ฉันช่วยนะคะ” เธอเดินเข้ามาในห้องครัวและช่วยเก็บของ“ผมทำเองดีกว่าครับ แค่เล็กน้อย” พ่อบ้านมงคลพูดอย่างเกรงใจแต่พอมองสีหน้าที่ไม่สบายใจของเจ้านายแล้วจึงเอ่ยถาม“นายหญิงมีอะไรให้ผมรับใช้ก่อนหรือไม่ครับ”มิราวดีรู้ดีว่าตัวเองนั้นกลบเกลื่อนสีหน้านั้นไม่ค่อยเก่งจึงได้แค่ยิ้มหวานให้“เอ่อ...ฉันไม่รบกวนคุณพ่อบ้านตอนทำงานนะคะ แต่ที่จริงก็มีหลายอย่างที่จะ...เอ่อ”“มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือครับ เสร็จแล้วค่อยกลับมาทำงานตรงนี้ก็ได้ครับ”มิราวดีมีท่าทีกระวนกระวายใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม“ถามไปเถอะ อยากรู้คำตอบไม่ใช่เหรอ” เสียงของอาโปดังขึ้นก่อนเจ้าไก่สีขาวจะเดินเข้ามาแล้วหันไปพูดกับพ่อบ้านมงคล“ฉันมาตามของว่างหลังอาหาร”พ่อบ้านมงคลนึกขึ้นได้จึงรีบเดินไปจัดการทันที ส่วนมิราวดีก็ยืนงงมองอาโปสลับกับพ่อบ้าน“ถึงเวลาที่ต้องรู้แล้วสินะ แล้วนี่ก
มิราวดียังคงมีคำตอบที่ค้างคาใจอยู่ แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ก็ไม่กล้าจะนำเรื่องนี้ไปถามพ่อบ้านมงคลตามคำบอกของชายหนุ่ม เธอกำลังคิดว่าสมควรแล้วหรือไม่ที่จะรับรู้เรื่องราวต่อจากนี้ หรือจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยไม่ต้องสนใจว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทว่าคำพูดของเขาที่บอกว่า รอเธอมานาน นั้นทำให้อดที่จะหาคำตอบไม่ได้เดิมทีวันทั้งวันเธอจะเต็มที่กับการทำงานเสมอ ทว่าวันนี้หญิงสาวกลับไม่มีสมาธิทำงานเท่าที่ควรนั่น เพราะความแคลงใจที่มี ในช่วงบ่ายของวันเธอต้องออกไปพบลูกค้าที่ไซต์งานตามนัด เมื่อพบปะลูกค้าตามนัดเรียบร้อย มิราวดีอยากพักผ่อนในช่วงเวลาสับสนนี้จึงตัดสินใจไม่กลับเข้าบริษัทมิราวดีขับรถกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งงานและคำถามที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจ“วันนี้กลับมาเร็วก่อนเวลา ผมยังเตรียมอาหารให้ไม่เสร็จเลยครับ”พ่อบ้านมงคลเดินออกมาต้อนรับ“เอ่อ ... แล้ว...”“นายท่านยังไม่กลับมาครับ แต่ก็คงอีกสักพักหนึ่ง อยากให้ผมยกอาหารว่างขึ้นไปให้ก่อนไหมครับ” พ่อบ้านมงคลเอ่ยมิราวดีส่ายหน้าและพูดขึ้นในทันที“ไม่ค่ะ เดี๋ย
“คุณ...” นั่นแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่รชตจะมาช่วยได้ทันเวลา“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าผมจะปกป้องคุณ”“อย่าเข้ามายุ่งดีกว่าถ้ายังไม่อยากตาย”รชตมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวอยากจะฆ่าพวกมันเสียตอนนี้เลย หากรอเธออยู่ที่เดิมไม่รู้ว่าจะมาทันหรือไม่ ดีที่ตัดสินใจเดินตามชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้น หยิบปืนขึ้นมาขู่เพื่อให้อีกฝ่ายกลัว“สงสัยมันอยากตาย”นัยน์ตาคมมองอย่างเดือดดาล ทันทีที่พวกมันยกปืนขึ้นหมายจะยิง ชายหนุ่มก็วิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็วและใช้มือบีบคออีกฝ่ายดันให้ตัวลอยสูงขึ้นแล้วเหวี่ยงด้วยแรงทั้งหมดให้ร่างนั้นกระแทกชนกับต้นไม้ใหญ่อีกฝั่ง ล้มกระแทกตัวลงมาที่พื้น ส่วนอีกคนเห็นท่าไม่ดีก็รีบหยิบปืนขึ้นมาเหนี่ยวไกด้วยความหวาดกลัวความตาย“ระวังค่ะ!”ช้าไปเสียแล้ว ลูกกระสุนพุ่งหวือออกมาเจาะร่างของรชตจนล้มลงกับพื้น เขาใช้มือกุมหน้าท้องเอาไว้ เลือดที่เกิดจากบาดแผลนั้นไหลออกมาผ่านเสื้อที่สวมอยู่ ความรู้สึกเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วร่างมิราวดีตกใจรีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันที ส่วนอีกคนเห็นท่าว่าควรรีบหนีเอาตัวรอด
ช่วงเวลาที่แสนวิเศษมักจะผ่านไปเร็วเสมอ มิราวดีใช้เวลาหลายวันในการเดินทางเที่ยวและพักผ่อนโดยที่ทิ้งเรื่องงานทั้งหมดไป จนถึงคืนสุดท้ายโชคดีที่ได้ข่าวจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าที่ศาลเจ้าไม่ไกลจากที่พักมีจัดงานเทศกาลของศาลเจ้าและของกินในช่วงกลางคืนบรรยากาศท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะในช่วงต้นฤดูหนาว นักท่องเที่ยวต่างมาชมการแสดงและงานที่จัดเพียงปีละครั้งเท่านั้นมิราวดีและรชตเดินมาจนถึงลานการแสดงที่ถูกจัดอย่างสวยงาม“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีงานที่สวยขนาดนี้ด้วย”มิราวดีพูดพลางมองพลุบนท้องฟ้าที่ถูกจุดขึ้นหลายนัดรชตหันมองใบหน้าสวยของภรรยาที่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พลันคิดว่าในอดีตชาติที่เธอทำไปเพราะว่ารักเขา จนตอนนี้การกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเพื่อรอการแก้คำสาปนี้ แม้ที่ผ่านมาจะเกลียดและรู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคือสาเหตุของความทรมานที่ต้องทนมาหลายร้อยปี“คุณคะ อยากลองเล่นหน่อยไหมคะ”มิราวดีเอ่ยขึ้นพลางชี้นิ้วไปยังจุดหมาย“คุณอยากได้ตุ๊กตาตัวนั้นเหรอ ไว้ผมไปซื้อให้ก็ได้”มิราวดีส่ายหน้าพลางแล้วนิ่งเงียบไปคร
ตะวันสาดส่องผ่านม่านเข้าสู่ห้องนอนในยามเช้า หญิงสาวกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ในอ้อมกอดของคนข้างตัว เธอขยับตัวลุกขึ้นบิดคลายเมื่อยพลางหันมองคนตัวใหญ่ที่ยังหลับสนิทอยู่ แล้วจึงลงจากเตียงอย่างเบา ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของอีกฝ่าย ก่อนเดินไปหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไป ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มในยามเช้า เป็นเพราะค่ำคืนที่มีความสุขที่สุดก็ว่าได้แน่นอนว่าเพียงคำพูดของอีกฝ่ายทำให้เธอยอมเปิดหัวใจรับเขาเข้ามา แม้ว่ารชตจะไม่บอกรักเหมือนที่เคยได้ยินจากปากแฟนเก่าก็ตาม มิราวดียิ้มเขินอย่างมีความสุขขณะที่อาบน้ำ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็อาบเสร็จ พอออกมาจากห้องน้ำจึงเห็นว่าชายหนุ่มนั้นตื่นเเล้ว“เราไปกินข้าวแล้วเข้าไปในเมืองกันไหม มีโบราณสถานและตลาดโบราณด้วย” รชตเสนอเพราะในหัวก็ไม่มีเเผนการเที่ยวที่วางไว้นอกจากถามพนักงานว่าที่ไหนน่าสนใจและควรไปบ้าง“คุณอยากไปไหม”“ไปแน่นอนค่ะ คุณก็รู้ว่าฉันชอบซื้อไปกินไปนี่คะ”มิราวดีตอบเสียงใสชายหนุ่มยิ้มมองใบหน้าของภรรยาอย่างมีความสุข เขารู้ถึงสิ่งที่รบกวนใจเเล้ว ทว่าในส่วนลึกก็ยังคงหวาดกลัวอนาคตภายภาคหน้าอย
“ชอบมากค่ะ”“ผมขอโทษที่ไม่ได้ถามความเห็นของคุณก่อน”มิราวดีหันมองชายหนุ่มด้วยแววตาใส“ไม่ค่ะ คุณเป็นคนบอกฉันเองว่าจะจัดการให้นี่คะ และฉันก็ชอบที่นี่มากด้วย”รชตยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ พลางเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าของ หญิงสาว ครั้นส่งสายตามองนานเท่าไรหัวใจและความรู้สึกที่อยู่ในอกก็แทบทะลักออกมา แม้รู้ดีว่าความสับสนนี้ไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียวฝ่ามืออุ่นสัมผัสใบหน้ายิ่งทำให้แก้มทั้งสองข้างของมิราวดีผ่าวร้อนมากขึ้น จะให้ตัดใจและสร้างกำแพงที่เริ่มทลายลงใหม่อีกครั้งก็คงยาก เธอก้มหน้าลงรับสัมผัสที่อ่อนโยนทำให้หัวใจระทวยยิ่งกว่าเดิมชายหนุ่มใช้มือเชยคางของภรรยาขึ้นให้สบตา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากจะครอบครองหัวใจและร่างกายของเธอ ยิ่งพยายามหลีกหนีมากแค่ไหน กลับกลายเป็นว่าหัวใจนั้นเรียกร้องหามากเท่านั้น เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้จน ลมหายใจสัมผัสผิวแก้ม ดวงตากะพริบมองด้วยความตกใจและรีบเบี่ยงหน้าหลบอย่างรวดเร็วรชตมองด้วยแววตาสับสนและผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ เขาขยับตัวออกห่างมองภรรยาที่ก้มหน้าอยู่ หรือเพราะเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเล







