กลางดึกคืนนั้นทุกคนก็เดินทางออกจากเมืองหลวงในทันที เพราะมีผู้คนเข้าออกเยอะมาก อีกทั้งการดูแลก็ไม่เข้มงวดเท่าแต่ก่อน การที่ผู้คนจะเดินทางออกนอกเมืองหลวงจึงไม่ใช่เรื่องยากเท่าแต่ก่อนอีก ขอเพียงใช้เงินติดสินบนเหล่าทหารที่เฝ้าประตูมากหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว
ระหว่างทางหลี่จื่อเวยไม่ได้พูดสิ่งใดกับมู่หรงซานเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเช่นกัน แต่ทว่าในใจกลับโอดครวญเป็นอย่างมาก
เดิมทีเขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองหลวงมาตลอด ต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชนบทเช่นนั้นเขาคงอึดอัดตาย สหายสักคนก็ไม่มี ร้านค้าก็ไม่ได้มากมายเท่าในเมืองหลวง เขาต้องบ้าตายเป็นแน่
ใช้เวลาเดินทางอยู่ครึ่งค่อนคืนก็เดินทางมาถึงบ้านสวนในตอนเกือบรุ่งสาง เมื่อมาถึงก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย บ่าวไพร่ที่ติดตามมาก็มีเพียงคนสองคน ตอนนี้ทุกคนจึงทำได้เพียงช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อจัดที่ทางให้เรียบร้อย
หลี่จื่อเวยหันไปมองบิดาของตนและหลี่ฮูหยินผู้เป็นแม่เลี้ยง รวมถึงน้องชายและน้องสาวที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทีที่เหนื่อยล้า หลี่ฮูหยินเดินเข้ามาหาหลี่จื่อเวย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"นับว่าบ้านสามีของเจ้ายังมีสมบัติชิ้นสุดท้ายเหลืออยู่นะ จือจือ พวกเราเลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี ยามนี้เจ้าต้องตอบแทนบุญคุณพวกเราให้ดีล่ะ บิดาเจ้าจะได้ไม่ลำบาก เข้าใจหรือไม่"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะในลำคอ ก่อนจะมองมองหลี่ฮูหยินด้วยแววตาที่เรียบเฉย ตอบแทนบุญคุณเช่นนั้นหรือ บุญคุณอันใดกัน หากมีใจรักใคร่ห่วงใยนางจริง คงไม่ส่งนางมาแต่งกับสามีเช่นมู่หรงซานหรอก แม้แต่ตอนที่นางป่วยจนตายก็ไม่เห็นหัวคนตระกูลหลี่เลยสักคน
ที่นางทำไปเพราเห็นแก่หลี่จื่อเวยคนเก่าก็เท่านั้น ไหนๆ ก็มาอยู่ในร่างของนางแล้ว ก็ถือว่าเป็นการทำเพื่อนางครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน
ด้านบิดาของนางก็เดินเข้ามาหานาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"นี่จือจือ เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้น้องๆ ได้อยู่สบายย่อมเป็นเรื่องดี แม้ว่าก่อนหน้านี้พ่อจะผิดเองที่บังคับเจ้าแต่งงาน แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจพ่อนะ ฐานะทางบ้านเราไม่สู้ดี เงินสินสอดของเจ้าก็ทำให้พวกเราไม่ต้องลำบาก"
หลี่จื่อเวยจ้องมองคนตระกูลหลี่ทั้งหมด ก่อนจะเอ่ย
"เดิมทีข้าไม่เคยอยากให้พวกท่านติดตามมาด้วย แต่เรื่องนี้เป็นพ่อแม่สามีข้าที่เอ่ยปาก หากอยากอยู่ที่นี่ก็ใช้ชีวิตให้สงบ อย่ามาสร้างปัญหาให้ข้าก็แล้วกัน"
หลี่ต้งที่ได้ยินบุตรสาวเอ่ยเช่นนั้นก็หน้าชาไปเล็กน้อย ส่วนหลี่ฮูหยินก็จ้องมองหลี่จื่อเวยเขม็ง
"ตั้งแต่แต่งงานออกไปดูเหมือนเจ้าจะใจกล้าขึ้นมากนะ ไม่ถูกข้าตบตีสั่งสอนมานาน คงปีกกล้าขาแข็งขึ้นแล้วกระมัง"
หลี่ฮูหยินเดินเข้ามาและยื่นมือมาบีบแขนของหลี่จื่อเวยอย่างแรง หลี่จื่อเวยแม้จะเจ็บแต่นางก็ไม่ยอม จึงยื่นมือของตนไปบีบแขนของหลี่ฮูหยินอย่างแรงเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"ลองดูสิ ท่านตบมา ข้าตบคืนเต็มแรงแน่"
"นี่เจ้า!!"
หลี่จื่อเวยไม่สนใจพวกเขาอีก นางเดินเข้ามาช่วยแม่สามีจัดเตรียมของต่างๆ ใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวันกว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อย และได้กินอาหารมื้อกลางวันด้วยกัน บ้านสวนไม่ได้ใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ก็พออยู่อาศัยได้ไม่ลำบาก เรือนใหญ่ตรงกลางเป็นที่อยู่ของพ่อแม่สามี ส่วนเรือนปีกซ้ายเป็นของนางและมู่หรงซาน และเรือนปีกขวาเป็นของคนตระกูลหลี่ที่มาขออาศัยอยู่
"เฮ้อ จือจือ ข้าเบื่อจังเลย เรามาหาสิ่งใดทำกันดีหรือไม่"
หลี่จื่อเวยที่กำลังหวีผมหันไปมองมู่หรงซานทันที เขาเดินเข้ามาโอบเอวนาง ก่อนจะเอ่ยกับนางอย่างหยอกเย้า หลี่จื่อเวยขนลุกไปทั้งตัว ตั้งแต่ทะลุมิติมานางก็ไม่เคยหลับนอนกับเขาเลยสักครา ให้ตายเถอะ นางนอนกับคนแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ
"มู่หรงซาน ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะไปที่สวน ท่านแม่บอกว่าเราจะปลูกผักทำสวนเลี้ยงชีพกัน ยามนี้บ่าวไพร่ไม่มีให้ใช้แล้ว เราคงต้องทำกันเอง"
นางเอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนหนีจากการเกาะแกะของมู่หรงซาน มู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นมาทันที
"ข้าไม่ไปหรอกนะ อยู่แต่ในสวนน่าเบื่อจะตาย ข้าจะไปเดินเล่นเสียหน่อย ดูว่าแถวนี้มีร้านสุราหรือว่าโรงพนันบ้างไหม"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ย
"ท่านต้องไปสวนกับข้า"
"โธ่ จือจือยอดรัก ข้า..."
"หากไม่หุบปาก ข้าจะต่อยท่านจนปากแตกแน่นอน"
มู่หรงซานที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที ก่อนจะจ้องมองหลี่จื่อเวยอย่างออดอ้อน หลี่จื่อเวยเหนื่อยแล้ว นางจึงขึ้นไปนอนบนเตียง มู่หรงซานคิดจะตามขึ้นมานอนด้วย แต่ก็ถูกนางเอ่ยตัดบทเสียก่อน
"ไปนอนที่พื้นโน่น"
"จือจือ"
"หากไม่ยอมไปสวนผักก็นอนพื้นไปตลอด ไม่ต้องมาใกล้ข้า ข้าไม่ชอบคนขี้เกียจ"
นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะหลับหนีมู่หรงซานทันที มู่หรงซานถอนหายใจออกมา ก่อนจะหาผ้ามาปูนอนที่พื้น เขาจ้องมองหลี่จื่อเวยก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ตั้งแต่นางฟื้นกลับมาเขารู้สึกว่ามีหลายอย่างในตัวนางที่แปลกไป ที่สำคัญนางดูสวยและน่าค้นหากว่าแต่ก่อนมากนัก ไม่จืดชืดและไร้ชีวิตชีวาเช่นแต่ก่อนอีก แต่เสียอย่างเดียวดุไปหน่อย
เขาจ้องมองนางอยู่ค่อนคืนก่อนจะผล็อยหลับไป จนกระทั่งรุ่งเช้าเขาก็ถูกนางปลุกให้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า มู่หรงซานหาวแล้วหาวอีก แต่เมื่อถูกสายตาของภรรยารักจ้องมองมาก็รีบยิ้มแก้เก้อทันที
หลี่จื่อเวยฟื้นกลับมา ทุกคนดีใจไม่น้อยเลย ด้านท่านหมอจ้าวและจ้าวจิ้นเองก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ คนฟื้นขึ้นมาแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวจิ้นนำยาบำรุงมามอบให้หลี่จื่อเวยหลายอย่าง บอกนางว่าขอเพียงตั้งใจบำรุงอย่างเต็มที่ย่อมหายดีในไม่ช้า หลี่จื่อเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบุตรชายฝาแฝดของตนที่ยามนี้กำลังนอนหลับอยู่มู่หรงซานกอดนางเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากเขาอีกยี่สิบห้าปีต่อมา"นั่นแหละดี เจ้าเทระวังหน่อยสิ สุรานี้ซื้อมาแพงนัก!!!"เสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากศาลาริมสระน้ำ มู่หรงซานที่กำลังเดินออกมาหลังจากตรวจตราบัญชีสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาปรายตามองไปยังศาลาริมน้ำ ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่งนับแต่วันนั้นหลี่จื่อเวยก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ร่างกายของนางอ่อนแอเกินไป แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ยามนี้บุตรชายสองคนเติบโตแล้ว อายุก็ยี่สิบต้นๆ นามว่า มู่หรงเสวียน และมู่หรงชางมู่หรงเสวียนนั้นนับว่าเอาการเอางาน ชอบอ่านตำรา สนใจการค้าขาย ถอดแบบหลี่จื่อเวยมาไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากมู่หรงชางที่วันๆ เอาแต่ดื่มสุรา เที่ยวหอนางโลม เล่นการพนัน ถอดแบบเขามาราวกับจับวาง เขาเตือนเท่าใดมันก็เถีย
สองปีผ่านไป"ฮูหยินน้อย ออกแรงอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อีกหน่อย""อื้อ"เสียงร้องดังออกมาจากห้องเป็นระยะ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก มู่หรงซานเดินวนเวียนไปมาหน้าห้องนอนอย่างไม่สบายใจ จนมู่หรงฮูหยินต้องเอ่ยปากเตือนขึ้นมา"ซานเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเดินวนไปเวียนมาข้าเวียนหัวหมดแล้ว""ท่านแม่ ข้าร้อนใจนี่ขอรับ นางเป็นเช่นไรบ้าง นี่ก็ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังไม่คลอดอีก"เขาเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองเฉินหลิ่น จ้าวจิ้นและหวังเจี้ยนที่กำลังเดินเข้ามา จ้าวจิ้นเอ่ยถามมู่หรงซานทันที"จือจือเล่าเป็นเช่นไรบ้าง ข้านำโสมอย่างดีติดมือมาด้วย เอาไว้ให้นางบำรุงร่างกาย""ขอบใจจ้าวมากนะอาจิ้น""อืม"ด้านเฉินหลิ่นก็เดินเข้ามาหามู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกัน"ใจเย็นเถิด ยามที่ภรรยาข้าคลอดบุตรชายก็เป็นเช่นนี้"มู่หรงซานหันมาพยักหน้าให้เฉินหลิ่นคราหนึ่ง เฉินหลิ่นได้แต่งงานกับองค์หญิงจากในวังหลวง พวกเขาทั้งสองรักใคร่ทะนุถนอมกันเป็นอย่างดี อีกทั้งภรรยาของเฉินหลิ่นก็สนิทสนมกับหลี่จื่อเวยมาก เพราะสองจวนมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง เพราะพบเจอกันบ่อยครั้ง"ภรรย
หลายวันต่อมา หลี่จื่อเวยที่กำลังกลับมาจากภัตตาคารจื่อซานก็ได้พบกับคนบ้านรอง ท่านอาของมู่หรงซาน ก็คือมู่หรงหยางนั่นเอง มู่หรงหยางมาพร้อมกับอาสะใภ้รองอวี้ซิน และลูกชายลูกสะใภ้ สภาพของคนทั้งหมดดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จื่อเวยปรายตามองพวกเขาคราหนึ่ง ในใจพลันนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นได้ ยามที่เกิดสงครามใหม่ๆ บ้านรองมารีดไถเงินจากบ้านหลักไปมากมาย ทำเป็นเก่งกล้าสามารถ แต่ท้ายที่สุดกลับไปไม่รอดอย่างเช่นวันนี้มู่หรงฮูหยินเองไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงเชิญคนเข้ามาในจวนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามมรรยาทมู่หรงหยางเล่าว่าหลังจากเดินทางไปที่บ้านเก่าของอวี้ซิน ฟางม่านม่านลูกสะใภ้ของเขาก็แท้งบุตร นับแต่นั้นก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก บุตรชายก็ไม่เอาไหน ดื่มแต่สุราทั้งยังเที่ยวสตรีหอนางโลมไม่เว้นวัน สามีภรรยาทุบตีกันจนมู่หรงเฉินบุตรชายเขาแขนพิการ ฟางม่านม่านก็ขาหัก กลายเป็นคนพิการทั้งคู่ส่วนมู่หรงหยางและภรรยานั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ถูกญาติพี่น้องฝั่งภรรยาคดโกงทรัพย์สินไปจนหมด จึงอดอยากจะมาหยิบยืมเงินจากคนบ้านหลัก เพราะรู้ว่ายามนี้คนบ้านหลักร่ำรวยมีเงินมากมายมู่หรงฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับน้องชา
หลายวันต่อมามู่หรงซานและหลี่จื่อเวยก็เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ระยะทางจากหมู่บ้านหลิงซีมาที่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ไกลกันเท่าใดนัก ระยะเวลาการเดินทางจึงไม่ได้ล่าช้าอย่างที่คิด สองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงในช่วงสายๆ เมื่อหาโรงเตี๊ยมสำหรับนอนพักหนึ่งคืนเรียบร้อยแล้ว มู่หรงซานและหลี่จื่อเวยจึงรีบไปดูจวนแห่งนั้นทันทีการเดินทางครั้งนี้มีลุงกู้ติดตามมาด้วย ลุงกู้พาเจ้านายไปดูที่ดินและจวนนั้นในทันที เมื่อหลี่จื่อเวยได้เห็นก็รู้สึกชอบมากเหลือเกิน จวนหลังนี้ขนาดพอดี ที่ดินก็เป็นทำเลเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำด้วยเจ้าของที่ดินเก่าร้อนเงินและต้องการเดินทางไปอยู่กับลูกชายที่ต่างเมือง จึงตัดใจขายจวนหลังนี้ในราคาสองพันตำลึงราคาอาจจะสูงไปสักเล็กน้อย แต่หลี่จื่อเวยจำคำของเจ้าห่านตัวผู้นั้นได้ดี มันบอกว่าให้นางตัดใจซื้อเสียอย่าได้ลังเล เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่่จื่อเวยจึงตกลงซื้อในทันที ใช้เวลาครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี เจ้าของเดินรับเงินไปอย่างยินดีปรีดามู่หรงซานที่เห็นเช่นนั้นก็หันมาเอ่ยถามภรรยาตนทันที"ราคาไม่ได้น้อยเลย เจ้าตัดใจซื้อได้ลงจริงๆ หรือ""ดีกว่าเอาให้ท่านไปเล่นพนันก็แล้วกัน
เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส พืชผักที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวและนำไปขายจนหมดแล้ว ลุงกู้เองก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเขาขายผักได้หมด อีกทั้งยังขายได้ในราคาที่ดีมากอีกด้วย ตอนนี้เมืองหลวงคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งยังได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีคนต้องการจะขายที่ดิน ซึ่งอยู่ติดกับตลาดพอดี หลี่จื่อเวยจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปดูที่ทางเสียหน่อยการตายของหลี่อินและจุดจบของสามแม่ลูกไม่ได้ส่งผลใดต่อคนตระกูลมู่หรงเลยแม้แต่น้อย บิดาของนางเองก็เสียใจอยู่เพียงไม่กี่วันก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดอีก หลี่จื่อเวยกำลังล้างผักอยู่ในครัว วันนี้นางตั้งใจว่าจะทำข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัวเสียหน่อย เมื่อจัดการเตรียมทุกอย่างพร้อมจึงได้เริ่มทำอาหาร ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลี่จื่อเวยจึงนำอาหารมาให้ห่านสองตัวนั้นต่อทันทีเมื่อเข้ามาก็พบว่าเจ้าห่านสองตัวกำลังกอดก่ายกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว หลี่จื่อเวยวางอาหารลงตรงหน้ามันก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อกินอิ่มแล้ว หลี่จื่อเวยจึงเอ่ยถามทันที"นี่เจ้าห่านตัวผู้ อีกไม่นานข้าคงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว หากข้าอยากเปิดร้านอาหาร แล้วต้องการใช้บ่อน้ำวิเศษ แต่ไม่สามารถนำม
เมื่อสามแม่ลูกมหาประลัยย้ายออกจากบ้านสวนไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่น้อย ด้านบิดาของหลี่จื่อเวยก็รู้สึกผิดไม่น้อย หลี่จื่อเวยเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปเถิด นางไม่่ได้ติดใจอยากจะเอาความใดมากไปกว่านี้เช้าวันต่อมาหลังจากกินมื้อเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเวยและมู่หรงซานก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับห่านสองตัวนั้นให้แม่สามีได้ฟัง เพราะตอนนี้สามแม่ลูกนั่นออกจากบ้านสวนไปแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าเป็นกังวลอีกแล้ว มู่หรงฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นเดิมทีก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เห็นตั๋วเงินมากมายที่เก็บเอาไว้ในห้องนอนของบุตรชายและสะใภ้ นางก็ถึงกับอ้าปากตาค้างเงินนี่มันมากมายเหลือเกินนางไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดหลี่จื่อเวยจึงคิดมาบอกนางเอาป่านนี้ นางเองเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมันหลี่จื่อเวยจับมือของมู่หรงฮูหยิน ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องขออภัยท่านแม่ที่ไม่ได้บอกกล่าวให้เร็วกว่านี้ เพราะข้าไม่ไว้ใจสามแม่ลูกนั้น ยามนี้พวกนางจากไปแล้ว ข้าจึงวางใจอยากบอกท่าน ท่านแม่เจ้าคะ ยามนี้เมืองหลวงเองก็เจริญมากแล้ว พวกเราไปหาที่ทางทำกินในเมืองหลวงกันดีห