“อา ๆ ๆ ๆ”“ฝนตกแล้ว!”“ฝนตกแล้วจริง ๆ!”“ฮือ ๆ ๆ! ภัยธรรมชาติสิ้นสุดลงแล้ว!”“ท่านพ่อ ท่านแม่! พวกท่านเห็นแล้วหรือยัง?! ภัยธรรมชาติสิ้นสุดลงแล้ว!”ประชาชนทั้งในและนอกเมืองจินโจววิ่งกรูออกมาเหมือนเสียสติไปแล้วพวกเขายืนตากฝนอย่างตื่นเต้น เห็นคุณค่าฝนตกหนักครานี้ที่พวกเขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อเป็นเวลาสามเดือนเต็ม ๆ“เป็นเพราะธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ใช่แล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงขอฝนตกใหญ่ครั้งนี้มาให้พวกเรา”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงเป็นพระโพธิสัตว์!”“นางคือธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่าบาทพระราชทานยศให้ด้วยพระองค์เอง นางสวดขอพรเพื่อบ้านเมืองและประชาชน! เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา!”เวินซื่อในวันนั้นไม่รู้เลยว่า ทุกคนในจินโจวกำลังตะโกนเรียกชื่อนางท่ามกลางฝนที่ตกหนักนั้นธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงธิดาศักดิ์สิทธิ์พระองค์แรกของราชวงศ์ต้าหมิงมีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นพร……เจ็ดวันต่อมา ในที่สุดเวินซื่อและคณะก็กลับมาถึงเมืองหลวง“จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”ก่อนเข้าเมือง เป่ยเฉินหยวนชี้ไปที่เวินเยวี่ยที่หมดสติแล้วถามขึ้นเวินซื่อครุ่นคิดสักครู่ “มอบนางให้ข้าจัดการเถอะ”“จะดูไหวหรือ? จินซือ
เวินซื่ออดหัวเราะไม่ได้ “เพราะว่าครั้งนี้ข้าเดินทางไกล อาจารย์ต้องเป็นห่วงแน่นอน หากวันหลังศิษย์พี่หญิงต้องเดินทางไกล อาจารย์ก็ต้องเป็นห่วงท่านเช่นกัน”ม่อโฉวซือไท่ที่จูงมือนางไปไม่พูดจาใด ๆนางเพียงแค่บ่นพึมพำในใจประโยคหนึ่งเงียบ ๆไม่เหมือนกันนางอาจจะเป็นห่วงอู๋ขู่ แต่จะไม่เหมือนกับความเป็นห่วงที่มีต่ออู๋โยวสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตั้งแต่จื่อจวินล่วงลับไป นานแค่ไหนแล้วที่นางไม่ได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับในช่วงเวลานี้หม้อนั้นต้มน้ำแกงบำรุงไว้เป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าม่อโฉวซือไท่ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง หลังจากมอบชามใหญ่ให้เวินซื่อเพียงคนเดียวแล้ว ส่วนที่เหลือก็แบ่งให้คนอื่นเวินซื่อถือชามน้ำแกง ดื่มอย่างยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณอาจารย์ น้ำแกงนี่อร่อยจริง ๆ เจ้าค่ะ”“ชอบก็ดีแล้ว เมื่อก่อนข้าก็ตุ๋นน้ำแกงบำรุงให้แม่ของเจ้าบ่อย ๆ นางมักจะบอกว่าชอบน้ำแกงที่ข้าตุ๋นมากที่สุด”เมื่อพูดถึงมารดาของเวินซื่อ สีหน้าของม่อโฉวซือไท่ก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้เพียงแต่ยังมีความเศร้าโศกที่ยากจะสังเกตเห็นได้ซ่อนอยู่ในดวงตาเวินซื่อนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่พูดจาใด ๆ“บ้าจริง ดูข้าสิ ทำไมถึงพูด
หลังจากป้อนยาสลบให้เวินเยวี่ยเป็นจำนวนมาก และปิดหูปิดตาปิดปากนางทั้งหมดแล้ว จึงมัดแขนมัดขาทั้งสองคู่อย่างแน่นหนา แล้วโยนเข้าไปในมิติของหยกของนางแม้นางจะไม่อยากให้เวินเยวี่ยเข้ามาเลยสักนิด เพราะทำให้มิติของนางแปดเปื้อนแต่ไม่มีวิธีอื่น มีเพียงอยู่ในนี้เท่านั้นถึงจะไม่ถูกจินซือถูหาตัวพบแน่นอนเวินซื่อขังเวินเยวี่ยไว้ที่บ้านหลังเล็กภายในมิติจากนี้แค่ลากนางออกมาข้างนอก แล้วป้อนน้ำป้อนข้าว จากนั้นค่อยโยนกลับเข้าไปก็พอแล้วเมื่อเสร็จสิ้น เวินซื่อหันมองพื้นที่ในมิติซึ่งแต่เดิมคือที่วางกองสมุนไพรมากมายที่ไปกว้านซื้อมาสมุนไพรที่เดิมทีวางไว้ตรงนั้น ล้วนบริจาคให้จินโจวพร้อมกับสิ่งของรอบนั้นไปหมดแล้วแม้จินโจวฝนตกแล้ว แต่ผลข้างเคียงที่ภัยธรรมชาตินำมาให้ไม่ได้จบลงอย่างง่ายดายสมุนไพรเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ใช้ดีและใช้บ่อยที่สุด มอบให้ราษฎรชาวจินโจวเหมาะสมที่สุดเวินซื่อหันหลัง เท้าสะเอวมองดูแปลงสมุนไพรผืนใหญ่ล้ำค่าของนางเดิมทีสมุนไพรหายากที่อยู่ภายในซึ่งถูกเก็บไปแล้ว เมื่อนางใช้น้ำในลำธารรดริน มันเติบโตขึ้นใหม่ตามที่คาดการณ์ขณะนี้นางต้องเลือกของขวัญสองชิ้นชิ้นหนึ่งมอบให้อาจารย์ส
หากนางดูไม่ผิด สิ่งที่บรรจุอยู่ภายในคือต้นเห็ดหลินจือร้อยปี!เวินซื่อหัวเราะพร้อมกล่าว “เพราะอาจารย์ดีกับข้ามากเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจึงอยากมอบของขวัญที่ดีให้อาจารย์สักชิ้น”นางบอกเล่าความเป็นห่วงและกังวลของตนให้ม่อโฉวซือไท่ฟัง “ท่านเองก็รู้ดีว่าสรรพคุณของเห็ดหลินจือเป็นเช่นไร ความจริงศิษย์เป็นห่วงอาการทางหัวใจของท่านมาตลอด ดังนั้นจึงเตรียมของขวัญเช่นนี้ให้ หวังว่าท่านจะไม่ละเลยอาการของหัวใจท่าน ขอให้รักษามันให้หายดีอย่างจริงจังเจ้าค่ะ”นางเชื่อในวิชาแพทย์ของอาจารย์ หากนางยอมรักษา ปัญหาเล็กน้อยแค่นั้นเกรงว่าคงรักษาหายนานแล้วส่วนสิ่งที่นางมอบให้ในวันนี้ เป็นเพียงความห่วงใยของศิษย์เท่านั้นไม่ได้ล้ำค่า เพียงอยากส่งมอบม่อโฉวซือไท่นึกไม่ถึงว่าเวินซื่อจะเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่ตลอดหลังจากนิ่งเงียบไปหลายวินาที นางถึงได้บอกเล่าสาเหตุที่ตนไม่ยอมรักษาอย่างจริงจัง“ยามนั้นเมื่อมารดาของเจ้าเสียชีวิต ข้าเสียใจอยู่นานมาก จมอยู่กับความทุกข์ตลอดจึงทำให้เกิดโรคเล็กน้อยขึ้น เมื่อก่อนไม่รักษาเพราะไม่ต้องการ แต่ยามนี้เมื่อมีศิษย์รักอย่างเจ้าอยู่เคียงข้าง อีกทั้งยังไม่อยากให้เจ้าคอยเป็นห่วง ข้าสมควรรั
“หญ้าคืนวสันต์หรือ?”หลินจื่อฟูหันขวับมองเวินซื่อในทันทีทันใด “มี! ย่อมมีแน่นอน!”เขากล่าวอย่างตื้นตัน “ครั้งที่แล้วหลังจากธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้มอบเห็ดหลินจือสีม่วงร้อยปีให้ท่านอ๋อง ตำรับยาของท่านอ๋องขาดเพียงสมุนไพรหายากสองชนิดเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือหญ้าคืนวสันต์!”บังเอิญขนาดนี้เชียว?เวินซื่ออ้าปากอย่างแปลกใจยังไม่ทันที่นางจะได้พูด หลินจื่อฟูพูดอย่างกระตือรือร้น “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ท่านถามเรื่องนี้ทำไมหรือ? หรือในมือท่านมีหญ้าคืนวสันต์อยู่จริงขอรับ?”เวินซื่อกล่าว “ข้ามีหญ้าคืนวสันต์อยู่ต้นหนึ่งจริง เพราะครั้งที่แล้วอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนคุ้มกันข้าไปจินโจว ช่วยข้าต้านภัยอันตรายไม่น้อย ดังนั้นครั้งนี้จึงมาเพื่อขอบคุณเขา”นางยื่นกล่องไม้ใบนั้นไปตรงหน้าหลินจื่อฟูรีบรับมาอย่างอดรนทนไม่ไหว เมื่อเปิดออกดู เป็นหญ้าคืนวสันต์จริง!หนำซ้ำต้นนี้ต้องมีอายุร้อยปีแน่นอน!หลินจื่อฟูดีใจจนอยากกระโดดโลดเต้น “ดีเหลือเกิน ดีมากจริงๆ ตำรับยาของท่านอ๋องมีสมุนไพรหายากเพิ่มมาอีกหนึ่งชนิดแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าในมือธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องมีหญ้าคืนวสันต์ร้อยปีแน่ๆ เกาเย่าเจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว
“ขอบคุณน้ำใจของท่านอ๋อง และขอบคุณทุกคนที่ลำบากไปเสาะหาเมล็ดพันธุ์สมุนไพรมากมายขนาดนี้”ก่อนหน้านี้เป่ยเฉินหยวนเห็นนางทำสวนสมุนไพรไว้ในเรือนหลังเล็กสองแห่ง จึงไปถางที่หลังเขาเพื่อทำแปลงสมุนไพรให้นางอีกทั้งบอกนางว่าจะช่วยเสาะหาเมล็ดพันธุ์สมุนไพรมาให้ นึกไม่ถึงว่าเขาจำได้ตลอดเขาเป็นถึงอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังจำคำพูดที่บอกกับนางได้น้ำใจของเขาทำให้เวินซื่อหวั่นไหวอย่างอดไม่ได้แม้การมอบหญ้าคืนวสันต์ให้เป่ยเฉินหยวน เสี่ยงถูกเปิดโปงจริง แต่ตอนนี้เมื่อมองดูเมล็ดพันธุ์สมุนไพรเหล่านี้ จู่ๆ นางรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเสียใจมากขนาดนั้นเพราะอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ไม่เคยทำสิ่งใดเกินเลยกับนางมาก่อนจำนวนครั้งที่ช่วยนางมากกว่าทุกคนข้างกายนางรวมกันเสียอีกเมื่อคิดได้ดังนั้น ความกระวนกระวายในใจเวินซื่อดูสงบลงเล็กน้อย“ธิดาศักดิ์สิทธิ์? ธิดาศักดิ์สิทธิ์!”หลินจื่อฟูทำหน้าดีใจ วิ่งมาหาเวินซื่อโดยไม่สนใจภาพลักษณ์“ท่านกำลังเรียนวิชาแพทย์ไม่ใช่หรือ? ลองดูตำรับยาชุดนี้ของข้าสิ อัศจรรย์มากใช่หรือไม่?”ในมือหลินจื่อฟูถือกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วรีบวิ่งมาข้างกายเวินซื่อ จากนั้นยื่นกระ
เวินซื่อแสร้งทำไม่เข้าใจ แล้วเอ่ยถาม “เหตุใดบนนี้จึงวงสมุนไพรบางชนิดเอาไว้ หรือมีความหมายอื่นใด?”หลินจื่อฟูรีบตอบทันควัน “โธ่เอ๊ย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร พวกนี้เป็นสมุนไพรที่ยังได้มาไม่ครบ ส่วนสมุนไพรตัวอื่นยังพอหาได้บ้าง แค่มีเงินมากพอก็หาได้แล้ว แต่หญ้าฝรั่นตัวนี้ข้าอับจนหนทางจริงๆ”เมื่อเอ่ยถึงสมุนไพรชนิดสุดท้าย หลินจื่อฟูทำหน้ากลัดกลุ้มเวินซื่อหลุบตาลงเล็กน้อย เก็บอารมณ์พลุ่งพล่านในแววตาหญ้าฝรั่นตัวนี้...นางมี!เวินซื่อปกปิดความผิดปกติของตัวเองสุดฤทธิ์ ภายนอกทำท่าสงสัยเล็กน้อย “หญ้าฝรั่นคือสมุนไพรอย่างไรหรือ? ทำไมข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย?”ไม่เคยได้ยินหรอกหรือ?แววตาหลินจื่อฟูมีความผิดหวังแวบผ่านทว่าไม่ช้าเขาก็กลับมายืนหยัดอีกครั้ง พร้อมแนะนำเวินซื่อ “ความจริงหญ้าฝรั่นแม้แต่พวกเราก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ข้าน้อยเคยเห็นในตำราแพทย์โบราณจากผู้อาวุโสรุ่นก่อนที่สืบทอดไว้ แม้จะไม่รู้อะไรเลย ทว่าในตำราโบราณบันทึกสรรพคุณของสมุนไพรชนิดนี้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ทำให้อารมณ์ผ่อนคลายได้จริง อีกอย่างเมื่อรวมเข้ากับสมุนไพรตัวอื่นในตำรับยาของข้าน้อย น่าจะได้ผลชะงัด สามา
เวินซื่อไม่กล้าเสี่ยงแต่นางไม่อาจต้านความรู้สึกผิดในใจ ดังนั้นนางจึงหนี“ขอโทษนะ ข้า...ข้าเพิ่งนึกได้กะทันหันว่ามีธุระยังไม่ได้จัดการ วันนี้ข้าขอตัวกลับก่อน ครั้งหน้าค่อยมาเยี่ยมเยียนใหม่!”เวินซื่อน้ำเสียงสั่นเครือ แทบจะวิ่งหนีไปต่อหน้าเป่ยเฉินหยวนหนีไปโดยไม่ทันกลับมามองเป่ยเฉินหยวนตะลึงอยู่ที่เดิมเขาหันมองร่างของเวินซื่อที่หายไปอย่างรวดเร็วตรงทางเข้า ยังไม่เข้าใจว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่“อู๋โยว...อู๋โยว!?”วินาทีต่อมา เขารีบหันหลังตามออกไปทันทีเดิมทีเวินซื่อคิดจะหนีกลับไปทันทีแต่นึกไม่ถึงว่าเป่ยเฉินหยวนจะตามออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วขวางหน้านางไว้ชายร่างสูงใหญ่สีหน้าลนลาน “เป็นอะไร? ตกลงเมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่? เหตุใดจึงต้องขอโทษข้า?”“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้ามีธุระจริงๆ เป็นธุระด่วน! ตอนนี้ข้าต้องกลับแล้วจริงๆ ดังนั้นท่านให้ข้ากลับไปเถอะนะ!”เวินซื่ออยากเดินอ้อมเขาออกไปทว่าถูกเป่ยเฉินหยวนขวางไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป่ยเฉินหยวนไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ“เอาเถอะ ข้ารู้แล้ว ท่านอยากกลับก็กลับไป แต่เจ้าฟังท่านพูดก่อนสักคำได้หรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนก้มหน้าล
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม