เข้าสู่ระบบถึงขั้นทนดูบรรยากาศในตำหนักที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ อย่างตะลึงงัน มองดูสีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งด้านล่างที่ก่อนหน้านี้ยังพูดคุยกับเขาอย่างถูกคอแย่ลงเรื่อย ๆสุดท้ายก็เป็นคนโง่เขลาที่มองสถานการณ์ไม่ออกอีกคนหนึ่งเป็นผู้ทำลายสถานการณ์อันชะงักงันนี้ใช่แล้ว เวินเยวี่ยนั่นเอง“พ่อข้าก็บอกแล้วว่าขาไม่ค่อยดี ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่เสินอ๋องก็ยังเห็นใจละเว้นพิธีการให้พ่อข้า วันหน้าพบเจอก็ไม่ต้องให้เขาทำความเคารพ แล้วพวกท่านจะมาบีบคั้นอะไรกันเช่นนี้? จะใจกว้างเหมือนเสินอ๋องหน่อยไม่ได้หรือ?”นาน ๆ ทีที่เวินเฉวียนเซิ่งจะรู้สึกว่าบุตรสาวผู้นี้ของเขาพอจะมีประโยชน์อยู่บ้างถึงจะซื่อบื้อไปสักหน่อยก็ตามแต่เมื่อมาจากปากของเวินเยวี่ย พูดเรื่องที่เสินอ๋องละเว้นพิธีการให้เขาก่อนหน้านี้ออกมา เวลานี้ต่อให้คนตรงหน้าคือชินอ๋องกับพระชายาแล้วจะทำไมเล่า?เว้นเสียแต่พวกเขาไม่อยากไว้หน้าเสินอ๋องผู้เฒ่า มิเช่นนั้นก็ไม่อาจบีบบังคับให้เขาคุกเข่าทำความเคารพได้อีกจริง ๆใช่แล้ว หากเขายอมนอบน้อมจริง ๆ ก็ต้องคุกเข่าให้ไป๋เยวี่ยโหรวเวินเฉวียนเซิ่งไม่มีทางก้มหัวอับอายต่อหน้าหญิงที่เคยเป็นของตนเองโดยเฉพาะหญิงผู้นี้ย
ฝ่ามือนี้พาให้เวินเฉวียนเซิ่งมึนงง ทำให้ทุกคนเห็นแล้วต่างอึ้งกันไปครู่หนึ่งปาถูเอ่อร์ที่ได้สติก่อนใครรีบพุ่งตัวเข้าไป เอาตัวบังนางไว้ด้านหลังจนมิด กลัวว่าเวินเฉวียนเซิ่งผู้นั้นจะทำร้ายเยวี่ยโหรวของเขาเพราะฝ่ามือนี้ถูกเขามองด้วยสีหน้าระแวดระวังจนเวินเฉวียนเซิ่งทั้งโมโหและขบขันเขายกมือลูบใบหน้าที่แสบร้อน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นจนใจว่า “เยวี่ยโหรว นี่คือท่าทีของเจ้าที่มีต่อสหายเก่าที่ได้มาพบกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปีอย่างนั้นหรือ? อย่างน้อยตอนนั้นข้าก็เคยช่วยชีวิตเจ้าไว้กระมัง?”คำพูดนี้เมื่อเอ่ยออกมา ชางชิงหลานและคนอื่น ๆ ที่เดิมทีเพียงแค่รอดูอะไรสนุก ๆ ก็พลันเบิกตากว้าง มองไปมาระหว่างเวินเฉวียนเซิ่งกับไป๋เยวี่ยโหรวด้วยความแปลกใจยิ่งนักเจิ้นกั๋วกงจากต้าหมิงผู้นี้ ที่แท้เป็นสหายเก่ากับพระชายาชินอ๋องแห่งราชสำนักฝ่ายในหรือนี่?จริงหรือเท็จกันแน่?สถานการณ์นี้ดูไม่ค่อยปกตินักเข้ามาถึงก็ตบผู้อื่นไปฉาดหนึ่ง หากเป็นสหายเก่าที่มีบุญคุณช่วยชีวิตกันจริง จะเป็นเช่นนี้หรือ?“พวกสกปรกเลวทราม คู่ควรเอ่ยนามข้าด้วยหรือ”เมื่อไป๋เยวี่ยโหรวได้ยินน้ำเสียงนั้นของเขา ก็ข
“คารวะเสินอ๋อง”พิธีการถูกทำซ้ำอีกหนึ่งรอบ แต่เสินอ๋องผู้เฒ่าไม่ได้ไต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ราวกับรู้อะไรอยู่แล้ว เพียงเอ่ยปากพร้อมเสียงหัวเราะ “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าสองสามีภรรยารีบเข้ามานี่ มาพบปะแขกเหรื่อของพ่อในวันนี้”ปาถูเอ่อร์จูงมือไป๋เยวี่ยโหรวไว้ไม่ปล่อยพานางเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ ยืนอยู่เบื้องหน้าหลายคนรวมเวินเฉวียนเซิ่งอยู่ในนั้นด้วยสายตาหลายคู่พลันจับจ้องมาที่ตัวพวกเขาแต่สายตาเหล่านั้นเพียงกวาดมองปาถูเอ่อร์แวบหนึ่ง แล้วก็ไปรวมอยู่ที่ใบหน้าของไป๋เยวี่ยโหรวที่อยู่ข้างกายเขาแทนเวินเยวี่ยที่เพิ่งฟื้นได้ไม่นาน ก็เพิ่งถูกเอ้อถานหลัวพาตัวมาเช่นกัน แม้จะพอรู้สถานการณ์อยู่บ้าง แต่ก็ยังสับสนอยู่เล็กน้อยว่าสถานการณ์ตรงหน้านี้คือเรื่องอะไรกันแน่อย่างเช่น...หญิงผู้นั้นที่ถูกชายอื่นจูงมืออยู่ เหตุใดจึงมีหน้าตาเหมือนกับนางราวกับพิมพ์เดียวกัน?หรือว่า...มารดาของนางก็ฟื้นคืนชีพแล้ว?!“ท่านแม่?”เวินเยวี่ยเอ่ยปากออกมาโดยไม่รู้ตัว ลองหยั่งเชิงเรียกไปหนึ่งคำทว่าเมื่อสิ้นเสียงนี้ ไป๋เยวี่ยโหรวที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็มีสีหน้าบึ้งตึงลงทันใด สายตาราวกับจะกินคน จ้องเขม็งใส่เวินเยวี่ยราวกับจ
บนท้องถนน กลิ่นหอมของสุราลอยอบอวลจาง ๆท่ามกลางกลิ่นหอมของสุรานี้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าด้านหลังหลานซื่อกับพวกหายไปหนึ่งคนหลังจากเห็นกับตาว่าเกาหยางกับพวกออกจากเมืองไปแล้ว หลานซื่อและเป่ยเฉินหยวนจึงเปลี่ยนเส้นทางตามสือเซี่ยวมุ่งหน้าไปยังจวนเสินอ๋องณ เวลานี้ทางฝั่งจวนเสินอ๋องไป๋เยวี่ยโหรวและปาถูเอ่อร์ทั้งสองคนได้ถูกเสินอ๋องผู้เฒ่าเชิญเข้าสู่จวนเสินอ๋องแล้วจริง ๆทันทีที่ก้าวเข้าสู่ตำหนักใหญ่ ปาถูเอ่อร์ก็พบว่าภายในตำหนักดูเหมือนจะมีผู้อื่นอยู่ด้วย เขาไม่ได้คิดมาก เพียงทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อน “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”เมื่อเขาทำความเคารพเสร็จ กลับพบว่าคนข้างกายไร้ความเคลื่อนไหวเขาหันไปมอง ไป๋เยวี่ยโหรวยืนนิ่งไม่ขยับอยู่กับที่“เยวี่ยโหรว? เป็นอะไรไป?”ไป๋เยวี่ยโหรวไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องเขม็งไปข้างหน้าอยู่อย่างนั้นปาถูเอ่อร์เกรงว่าจะทำให้เสินอ๋องผู้เฒ่ากริ้ว จึงรีบยื่นมือไปดึงนาง พอดึงก็พบว่าเวลานี้ไป๋เยวี่ยโหรวตัวแข็งทื่อไปทั้งร่างปาถูเอ่อร์เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เขาเองก็ไม่สนธรรมเนียมที่ต้องก้มหน้าเมื่อทำความเคารพแล้ว พลางเงยหน้ามองตามสายตาของไป๋เยวี่ยโหรวเข้าไปในต
“มีเรื่องอะไรหรือ?”หลานซื่อหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบสือเซี่ยวประสานมือคารวะกล่าวว่า “เสินอ๋องมีคำสั่งให้ข้าน้อยมาแจ้งแก่คุณชายอู๋โยวว่า ตอนงานเลี้ยงได้เห็นหน้าตาของคุณชายอู๋โยว ตอนนั้นเสินอ๋องก็รู้สึกคุ้นตายิ่งนัก เพียงแต่นึกไม่ออก ภายหลังเสินอ๋องกลับถึงตำหนักเสินอ๋อง จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะได้พบคนผู้หนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนกับคุณชายอู๋โยวไม่มีผิด คนผู้นี้กำลังอยู่ที่ตำหนักเสินอ๋อง”หากไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้าที่ว่า ‘เมื่อสองวันก่อน’ หลานซื่อก็อาจจะเผลอคิดไปเองว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเวินเฉวียนเซิ่งแต่เวินเฉวียนเซิ่งเพิ่งจะเข้ามาในเมืองหินดำวันนี้เองเวินเยวี่ยแม้จะคล้ายนางอยู่บ้าง แต่ก็เพิ่งจะถูกส่งตัวไปถึงเอ้อถานหลัววันนี้เช่นกันส่วนเวินฉางอวิ้นกับเวินจื่อเยวี่ยยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอกจากคนพวกนี้แล้ว ยังจะมีใครหน้าตาเหมือนนางได้อีก?คงไม่ใช่ว่าเสินอ๋องผู้เฒ่าจงใจพูดเช่นนี้หรอกกระมัง?คิดจะหลอกให้นางหลงกลหรือ?ไม่ใช่ ช้าก่อน!หลานซื่อพลันนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาเบิกกว้างอย่างฉับพลัน ในใจพลันตื่นตระหนกหรือว่า...จะเป็นเขา?นางมองสือเซี่ยวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พล
“ฆ่าเลยไหม?”พอเป่ยเฉินหยวนเห็นกลุ่มคนที่ขวางทางอยู่ แววตาก็เย็นเยียบลงในชั่วพริบตา กลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านไปทั่วร่างเกาหยางและกองทัพธงดำที่อยู่ด้านหลังเขาก็เช่นกัน แต่ละคนเตรียมพร้อมรอฟังคำสั่งแล้วเห็นได้ชัดว่าขอเพียงหลานซื่อพยักหน้า เป่ยเฉินหยวนรวมถึงเกาหยางกับพวกจะพุ่งเข้าไปทันที สังหารชาวต่างเผ่าที่ขวางหน้าประตูเมืองเหล่านั้นทั้งหมดให้สิ้นซากนิ้วมือของหลานซื่อขยับเล็กน้อย แมลงพิษจำนวนไม่น้อยในมุมมืดก็เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์หน้าประตูเมืองอย่างละเอียดกองทหารยอดฝีมือชาวต่างเผ่าสองร้อยนาย รวมถึงปรามาจารย์กู่อีกสามคนจำนวนไม่น้อยเลยแต่ว่า ไม่ถือว่ารับมือยากบุกฝ่าออกไปตรง ๆ พวกเขาก็สามารถตีฝ่าออกจากเมืองไปได้เมื่อคิดได้ดังนี้ หลานซื่อกำลังจะพยักหน้า “เช่นนั้นก็...” ฆ่าคำว่าฆ่ายังไม่ทันหลุดออกจากปาก ด้านหลังพลันมีเสียงกีบม้าวิ่งห้อดังเข้ามาหลายเสียงมีคนมาอีกแล้วหลานซื่อกับพวกหันกลับไปมอง ผู้มาใหม่ทั้งสามล้วนสวมชุดเกราะองครักษ์ของตำหนักเสินอ๋อง สวมหน้ากากอันเย็นเยียบบนใบหน้า ควบม้าพุ่งมาถึงหน้าประตูเมือง หัวหน้าองครักษ์ของเสินอ๋องปรายตามองกองทหารหน้าประตูเมืองแวบหนึ่ง จา







