ตอนอันหลันซินยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ จึงเปิดเผยปลายนิ้วที่โดนเข็มทิ่มไปหลายจุดให้ได้เห็นเวินซื่อกวาดมองหนึ่งครั้งสีหน้าพลันเรียบเฉยแล้วละสายตา “ข้าบอกแล้ว ข้าไม่โกรธเจ้านานแล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องทำเรื่องที่ไร้ความหมายเช่นนี้อีก”อันหลันซินยิ้มเจื่อน “ไม่ อย่างน้อยสำหรับข้า ตอนนี้สามารถมอบให้มันให้เจ้าได้ถือว่ามีความหมาย ต่อจากนี้ชีวิตของข้าไม่น่าจะมีความหมายใดแล้ว”บรรยากาศเงียบสงัดดำเนินไปสักพักแต่น่าเสียดายสุดท้ายเวินซื่อไม่ได้รับผ้าเช็ดหน้านางไว้“ทำไมยังยืนอยู่ที่นี่?”เป่ยเฉินหยวนที่เพิ่งสั่งการกองทัพธงสำเสร็จ กลับมาก็เห็นภาพนี้พอดีเขาก้าวเข้าไป แล้วขวางเวินซื่อกับอันหลันซินออกจากกันอย่างเงียบเชียบแล้วหันไปเอ่ยกับเวินซื่ออย่างห่วงใย “ตอนนี้ดึกดื่นน้ำค้างลง รีบเข้าไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเป็นหวัด”เป่ยเฉินหยวนรบเร้า แล้วพาเวินซื่อเข้าไปด้านในอันหลันซินที่ยืนอยู่จุดเดิมไม่ขยับ หันไปจ้องร่างของเป่ยเฉินหยวนที่ใช้ร่างกายบังเวินซื่อเอาไว้วินาทีนั้น แววตาของนางมีความโหดเหี้ยมอำมหิตแวบผ่านบุรุษที่สมควรตายผู้นี้ไม่ เขาตายไม่ได้ยังต้องใช้ประ
เหล่าขุนนางที่แต่เดิมหวาดกลัวยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นใครไม่รู้บ้างว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นี้คือเทพสังหาร มีคนตายในมือนับไม่ถ้วนเมื่อเขาชักกระบี่ ทุกคนจึงรีบปิดปากแน่นสนิททันทีหมอที่ถูกเรียกตัวเข้ามาอย่างเร่งรีบ หลังตรวจให้เวินซื่อเสร็จจึงโล่งอก “ท่านอ๋องวางใจได้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์แค่เป็นหวัด บวกกับเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทาง จึงได้ล้มป่วยขอรับ”“ดูตำรับยานี่สิ ต้องเปลี่ยนยาหรือไม่? หรือว่ากินต่อไปได้เลย?”เป่ยเฉินหยวนนำตำรับยาที่เวินซื่อเขียนเองให้หมอดู หลังจากรับไปหมอส่ายหน้าหลังดูจบแล้ว “ไม่ต้องเปลี่ยนยา สรรพคุณยาตามตำรับนี้เพียงพอแล้ว ข้าน้อยจะเพิ่มตัวยาอีกชนิดเข้าไป หลังจากธิดาศักดิ์สิทธิ์ดื่มเข้าไปจะฟื้นขึ้นในไม่ช้าขอรับ”ขณะนี้เวินซื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากได้ยินบทสนทนาของพวกเขา นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่ต้องแล้ว...”เมื่อได้ยินเสียงของนางเป่ยเฉินหยวนรีบสาวเท้าเข้าไป พร้อมโน้มตัวมองอย่างกังวล “ยังเวียนหัวหรือไม่? มีตรงไหนที่ไม่สบายอีกหรือเปล่า?”เวินซื่อส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไร ขอบคุณท่านหมอมาก ไม่ต้องเพิ่มยาหรอก ท่านอ๋อง ใช้สมุนไพรที่ข้านำมาด้วยต้มตามตำรับยาที่ข้
เดิมทีสถานการณ์ของลู่โจวไม่ได้สาหัสขนาดนี้ เพราะหนิงหย่วนโหวมีความเชี่ยวชาญด้านการศึก ในมือมีอำนาจทหารหลายหมื่นนาย ไม่ถึงกับควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ทว่าหลังจากพวกเขาออกเดินทางเพียงไม่กี่วัน ผู้พิพากษาคนหนึ่งของลู่โจวถูกสังหาร จากนั้นทั่วอำเภอหนิงอันก็เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ภายในหนึ่งคืนประชาชนติดโรคกันหลายพันคนรอให้หนิงหย่วนโหวส่งคนไปสืบความจริงได้นั้น ถึงได้รู้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ผู้พิพากษาอำเภอหนิงอันเคยฉุดหญิงสาวคนหนึ่ง ตอนหลังกลัวเรื่องจะเปิดเผย จึงฆ่าปิดปากบิดามารดาของหญิงผู้นั้นแต่ผู้พิพากษาไม่รู้ ว่าหญิงชาวบ้านผู้นั้นยังมีพี่ชายที่หนีออกจากบ้านอีกหนึ่งคน นามว่าฉางอู๋เต้าตอนหนุ่มฉางอู๋เต้าเคยทำร้ายคนจนบาดเจ็บ กลัวจะเดือดร้อนทางบ้าน จึงหนีออกมา ขณะนี้อยู่ที่จินโจวตอนหลังเมื่อเกิดภัยพิบัตในจินโจว ฉางอู๋เต้าหนีภัยกลับมาบ้าน พบว่าพ่อแม่ตัวเองถูกฆ่า น้องสาวโดนฉุด ชั่วขณะนั้นขาดสติ ด้วยความโมโหจึงบุกเข้าไปที่ว่าการอำเภอสังหารผู้พิพากษา ต่อมาตัวเขากระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายเดิมทีเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ บางทีน่าจะจบลงแล้วแต่ไม่มีใครคาดคิด ตอนฉางอู๋เต้าหนีภัยกลับมาจากจินโจว เขาติดโ
“เหตุใดไม่นอนพักผ่อนดีๆ? ลุกขึ้นมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”เป่ยเฉินหยวนรีบก้าวเข้าไปข้างหน้า เมื่อจะเอื้อมมือไปประคองนาง จึงสังเกตเห็นว่าจู๋เยวี่ยที่อยู่ด้านหลังนางกำลังประคองนางอยู่ เพียงแต่ถูกประตูบังไว้ คนข้างนอกจึงมองไม่เห็นเท่านั้นเวินซื่อปัดมือของเขาออก แล้วยิ้มออกมา “ไม่ต้องหรอก นอนอยู่บนรถม้ามาหลายวันขนาดนั้น ร่างกายแทบจะแข็งทื่อไปหมดแล้ว ตอนนี้ได้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายบ้างก็ดี อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก หลังจากดื่มยาก็ดีขึ้นมากแล้ว”โกหกหากไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ แล้วจะให้จู๋เยวี่ยมาแอบประคองท่านทำไมกันเป่ยเฉินหยวนรู้ว่านางทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้ขุนนางที่อยู่ด้านนอกเห็น มือที่ยื่นออกไปก็กำแน่นกลางอากาศด้วยความเจ็บปวดใจ สุดท้ายก็ต้องชักมือกลับมา“สถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในลู่โจวตอนนี้คือที่อำเภอหนิงอัน แต่ที่นั่นมีหนิงหย่วนโหวประจำการอยู่แล้ว แม้ว่าคนที่ข้าพามาจะมีไม่มาก มีเพียงกองทัพธงดำสามพันนาย แต่ก็เพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์ในที่ต่างๆ ของลู่โจว นอกจากอำเภอหนิงอันได้”จำนวนคนเท่านี้ แท้จริงแล้วเป็นจำนวนที่เป่ยเฉินหยวนจงใจควบคุมไว้ในฐานะผู้กุมอำนาจทางทหารสูงสุดขอ
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ขุนนางทั้งหลายต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง“จริงหรือท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์?!”“ท่านยินดีที่จะไปยังเขตโรคระบาดจริงๆ หรือ?”“นี่จะไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือ?”หน่อยที่ไหนกัน?!เห็นได้ชัดว่าอันตรายมากๆ ๆ ๆ ต่างหาก!สีหน้าของเป่ยเฉินหยวนแทบจะควบคุมไว้ไม่อยู่ โกรธจนหางตาเรียวยาวกระตุกเขาอยากจะถามเวินซื่อเดี๋ยวนี้เลยว่า ขอพรได้ แต่เหตุใดไม่รอให้เขาควบคุมสถานการณ์โรคระบาดทั้งสี่แห่งให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยจัดพิธีขอพรครั้งใหญ่ทีเดียว!เขาสามารถช่วยนางขจัดอันตรายทั้งหมดได้ แต่ทำไมนางต้องไปที่เขตโรคระบาดทุกแห่งด้วย?!นี่มันต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?เป่ยเฉินหยวนข่มความหุนหันพลันแล่นไว้ รอจนขุนนางเหล่านั้นจากไปหมดแล้ว เขาจึงหันกลับมามองเวินซื่อ แล้วเอ่ยอย่างร้อนรน “เขตโรคระบาดอันตรายเกินไป ท่านไปไม่ได้!”“ข้าต้องไป”หลังจากที่เวินซื่อป่วย ลำคอของนางก็ไม่ค่อยสบาย ดังนั้นเมื่อพูดจึงเบาลง ช้าลง และดูอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิมนางมองเป่ยเฉินหยวนแล้วกล่าวว่า “การร้องขอจากลู่โจวในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นคำร้องขอของชาวบ้าน ข้ารู้ว่าพวกเขาคาดหวังอะไรจากข้า แม้ว่าข้าจะไม่มีวิธีการวิเศษ
“ซื่อเอ๋อร์...”เป่ยเฉินหยวนเรียกเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว“อืม?”เวินซื่อที่ยังงัวเงียได้ยินไม่ชัดก็ขานรับเสียงหนึ่ง เมื่อนางรู้สึกตัวก็เอ่ยถามอย่างงุนงง “เมื่อครู่ท่านอ๋องพูดว่าอะไรนะ?”เป่ยเฉินหยวนกำหมัดขึ้นมาแล้วปิดปากไอ แน่นอนว่าไม่กล้ายอมรับ “ไม่มีอะไร เพียงแต่ถามว่าท่านหิวหรือไม่ อยากจะลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยไหม?”“อ้อ เอาสิ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แต่ในหัวยังคงมึนงงเหตุใดนางจำได้ว่าเมื่อครู่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเพียงแค่เรียกชื่อ ไม่ได้พูดอะไรยาวเหยียดขนาดนี้?น่าเสียดายที่ยังไม่ทันที่นางจะคิดออก เป่ยเฉินหยวนก็ยกโจ๊กมาให้นางแล้ว“อืม? หอมจังเลย”กลิ่นหอมโชยมา ทำเอาเวินซื่อท้องร้องจ๊อกๆ ด้วยความหิวเป่ยเฉินหยวนที่ได้ยินเสียงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “หอมก็รีบลุกขึ้นมากิน กินเสร็จแล้วค่อยไปล้างหน้าล้างตา”เป่ยเฉินหยวนควบคุมมือของตนเอง เพียงแค่ยื่นโจ๊กให้เวินซื่อข่มความคิดที่อยากจะป้อนนางด้วยมือของตนเอง“ได้”เวินซื่อนอนหลับมาทั้งคืน ตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้าไปสองชั่วยามแล้ว ใกล้จะเที่ยงแล้วนางหิวมาก ไม่สนใจอะไรมากนักเพียงแต่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าเสื้อผ้าขอ
เมื่อก่อนในสนามรบ เมื่อข้าศึกรุกราน เป่ยเฉินหยวนก็นำกองทัพธงดำหนึ่งพันนายที่เพิ่งฝึกฝนเสร็จ บุกเข้าไปในดินแดนข้าศึก ตัดกำลังสนับสนุนของข้าศึก ทำให้ข้าศึกหวาดกลัวจนต้องถอยทัพไปห้าร้อยลี้ ก่อนที่สงครามใหญ่จะเริ่มขึ้นแน่นอนว่า เนื่องจากในตอนนั้นข้าศึกรู้สึกว่าเสียหน้ามาก จึงไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปและเป่ยเฉินหยวนก็ไม่ชอบทำตัวโดดเด่นเกินไปในสนามรบ ดังนั้นจึงมีคนรู้เรื่องนี้น้อยมากจริงๆ ทว่าหนิงหย่วนโหวกลับรู้เรื่องนี้แต่เขาไม่ได้มองเพียงแค่จำนวนคนง่ายๆ เช่นนั้น แต่มองจากท่าทีของเป่ยเฉินหยวนจำนวนสามพันคนนี้ ก็คือท่าทีของเป่ยเฉินหยวนหนิงหย่วนโหวพอรู้แล้ว จึงมอบค่ายใหญ่ให้เป่ยเฉินหยวนจัดการได้ตามสบายเป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดให้เวินซื่อฟังอีกครั้งเวินซื่อจึงเข้าใจ“ดังนั้น ท่านอยากจะจัดพิธีขอพรอย่างไรก็ได้ ขอเพียงแค่อย่าจงใจไปเสี่ยงอันตรายก็พอ”เวินซื่อก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหตุใดในสายตาของท่าน ข้าถึงกลายเป็นคนที่ชอบเสี่ยงอันตรายไปแล้ว?”“หรือว่าไม่ใช่?”น้ำเสียงของเป่ยเฉินหยวนแฝงไปด้วยการตัดพ้อ มองนางอย่างมีนัยแอบแฝงเวินซื่อลองคิดดูอย่างละเอียด โอ
“ฮือๆๆ ข้าไม่อยากตาย ข้าไม่อยากตายนะ...”“ท่านหมอ ได้โปรด ช่วยพวกเราด้วยเถิด...”“ลูก ลูกของข้า!”“ปล่อยข้าออกไป ขอร้องล่ะ ท่านขุนนาง ปล่อยพวกเราออกไปเถอะ พวกเราไม่ได้ติดโรคจริงๆ !”“อ๊ากกก เขาติดเชื้อแล้ว เขาติดเชื้อแล้ว! รีบหนีเร็ว!”รถม้ายังมาไม่ถึง จากที่ไกลๆ เวินซื่อก็ได้ยินเสียงมากมายนับไม่ถ้วนดังมาจากภายในเขตกักกันที่ล้อมรอบด้วยหินและไม้ความกลัว ความตื่นตระหนก ความเศร้า ความเจ็บปวด...แน่นอนว่ามีบางคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ในมุม พวกเขามีอาการของโรคระบาดแล้วแต่ละคนสีหน้าซีดเผือด ไร้สีเลือด ล้มลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยากบ้าง หรือไม่ก็พิงพื้นบ้าง ราวกับว่ายอมแพ้ต่อการมีชีวิตแล้ว นั่งรอความตายอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ในมุม“เขตโรคระบาดแห่งนี้มีผู้ติดเชื้อสองร้อยกว่าคน ถือว่าน้อยที่สุดในบรรดาอำเภอทั้งหมดของลู่โจว”ม้าของเป่ยเฉินหยวนตามอยู่ข้างๆ รถม้าของเวินซื่อ เขาพูดกับนางถึงสถานการณ์ที่นี่ด้วยเสียงแผ่วเบาเนื่องจากจำนวนคนไม่มาก ดังนั้น จึงมีกองทหารรักษาการณ์ที่สวมหน้ากากเพียงร้อยกว่านายประจำการอยู่ที่นี่ รวมกับขุนนางจากที่ว่าการอำเภอ ก็เพียงพอที่จะควบคุมเขตโรคระบาดแห่งนี้“อ
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม