เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ทหารได้ต้อนให้คนในขบวนเดินทางต่อ ตอนนั้นบิดาของหลินซือเยว่ไปปลดทุกข์อยู่ รถม้าของนางจึงรั้งอยู่เป็นกลุ่มสุดท้าย ผ่านไปราวสองเค่อคนตระกูลหยางก็ร่นมาอยู่ตรงหน้าของพวกนาง เพราะมีพวกเขานั่งขวางหน้า รถม้าของบ้านรองจึงต้องหยุดตามไปด้วย
“พี่ชายฮูหยินของพวกข้าไม่ไหวแล้ว ท่านโปรดหยุดพักก่อนเถอะ” นายทหารผู้หนึ่งเอ่ยขอร้องกับทหารที่คุ้มกันขบวน
“ได้อย่างไร หากหยุดพัก วันนี้พวกเราไปไม่ถึงที่หมายแน่ พวกเจ้าอยากตายอยู่กลางหิมะนี่หรืออย่างไร”
“เช่นนั้นหยุดพักสักครู่ได้หรือไม่” บุรุษผู้นี้คืออดีตแม่ทัพหยางห่าวอู๋ และผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขานั้น คือจูฮุ่ยชิวภรรยาเอกของเขา
“ไม่ได้ ! รีบลุกขึ้นเร็วเข้า”
“เจ้านี่มัน !”
“ห่าวหรานอย่าก่อเรื่อง !”
หยางห่าวหรานชะงักหลังได้ยินเสียงบิดา กำหมัดเข้าหากันแน่นกัดฟันเสียงดังกรอด หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงได้เอ่ยออกไป “พี่ชายท่านนี้มารดาของข้าป่วยหนัก ได้โปรดช่วยเหลือด้วยเถอะ”
ขอร้องอย่างไรถึงเหมือนออกคำสั่งก็ไม่ปาน หลินซือเยว่นับนิ้วดูดินฟ้าอากาศ หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป เกรงว่าจะไปไม่ถึงที่พัก เช่นนั้นคงลำบากยิ่งไปกว่านี้
“ป้าเผิงไปพานางมาขึ้นรถม้าของเรา เอ่ยกับพวกเขาอย่างสุภาพด้วยล่ะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เผิงฉือรีบเดินเข้าหาคนตระกูลหยาง
“นายท่านทั้งหลาย คุณหนูของข้าบอกว่าให้ฮูหยินท่านนี้ ไปขึ้นรถม้าของนางได้เจ้าค่ะ”
คนตระกูลหยางราวยี่สิบกว่าชีวิตหันไปทางรถม้ากันหมด หลินเต๋อกับหลินอ้ายที่ยืนอยู่ข้างรถม้าถึงกับสะดุ้งตกใจ ต่างไปจากหลินซือเยว่ที่น้อมศีรษะลงให้พวกเขาเล็กน้อย
“เช่นนี้ก็ดีเลย ไป ๆ รีบพาไป” ทหารนายนั้นรีบเร่งเร้าให้เผิงฉือพาคนเจ็บไป ปัญหานี้จะได้หมดสิ้นไปเสียที คนพวกนี้ต่างเป็นทหารมาก่อน หากคลุ้มคลั่งขึ้นเกรงว่าเขาจะรับมือไม่ไหว
“ฮูหยินมากับข้านะเจ้าคะ” เผิงฉือเห็นว่าสามีของนางมีโซ่ตรวนอยู่คงอุ้มนางไม่ไหว จึงได้พยุงไปขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง “ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลนางอย่างดี”
“ฝากขอบคุณคุณหนูของเจ้าด้วย” หยางห่าวอู๋กำชับตามหลังไป “ดูแลท่านแม่ของข้าให้ดี ๆ ด้วยล่ะ” คำพูดประโยคถัดมาช่างเบาหวิว ดั่งเอ่ยอยู่ในใจก็ไม่ปาน
หลินซือเยว่เข้ามาช่วยพยุงจูฮูหยิน แล้วบอกให้น้องสาวของนางลงมาอยู่ด้านล่าง “ฮูหยินท่านนี้ป่วยหนัก น้องสามเจ้าเสียสละที่นั่งได้หรือไม่”
“ได้ ๆ” หลินซูฮวารีบกระโดดลงจากรถม้าในทันที
“เด็กดีสอนได้” หลินซือเยว่เอ็นดูนางอยู่ไม่น้อย หลังได้เดินทางร่วมกันมา นางถึงรู้ว่าเด็กคนนี้จิตใจดีงามอยู่ไม่น้อย แม้ยากลำบากเพียงใด นางก็ไม่ปริปากบ่นออกมาสักคำ
“ท่านแม่ท่านลงมาก่อนได้หรือไม่”
“ได้สิ” เถียนฮูหยินรีบลงจากรถม้าตามหลังบุตรสาวคนเล็กไป
หลินซือเยว่ปีนขึ้นไปนั่งแทนที่ สั่งให้หลินอ้ายจูงรถม้าตามขบวนต่อไปได้ สามพ่อแม่ลูกตระกูลหลิน ย่อมไม่เข้าใจในการกระทำของนาง พวกเขาคอยแต่จะมองเข้าไปในรถม้าอยู่บ่อยครั้ง
เผิงฉือเห็นท่าทางสงสัยของพวกเขา จึงรีบเอ่ยให้คลายข้อกังขา “คุณหนูมีความรู้เรื่องการรักษาเล็ก ๆ น้อย ๆ เจ้าค่ะ” แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริง คุณหนูของนางเชี่ยวชาญเลยทีเดียวล่ะ
สามพ่อแม่ลูกหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย พยายามพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ทั้งที่ไม่รู้ว่าหลินซือเยว่ไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน “นางคงเรียนมาจากอารามไท่ผิงกวนนั่นแหละ” เป็นเถียนฮูหยินที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ
หยางห่าวอู๋เห็นสีหน้าของบุตรชายเป็นกังวล จึงเอ่ยปลอบเขา “แม่ของเจ้าไม่เป็นไรหรอก หากข้าเดาไม่ผิดคุณหนูผู้นั้น ให้มารดากับน้องสาวของนางลงมาเดิน แล้วให้แม่ของเจ้าขึ้นไปอยู่บนรถม้า นางย่อมมองออกว่าอาการของแม่เจ้าหนัก”
“แต่ท่านแม่อยู่บนรถม้าข้าไม่อาจวางใจ”
“ไม่มีอันใดหรอก รถม้าคันนั้นมีของเต็มคันรถไม่แน่อาจจะมียารักษาอยู่ด้วย”
“แม้มียารักษาพวกเขาจะยอมมอบให้คนไม่รู้จักกันหรือขอรับ”
“ดูเจ้าสิ หวาดระแวงกระทั่งผู้มีพระคุณ”
ภายในรถม้าหลินซือเยว่ป้อนยาเม็ดลดไข้ พร้อมกับทำแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่จูฮูหยิน จากนั้นก็รื้อหาเสื้อกันหนาวมาสวมให้แก่นาง เสร็จแล้วจึงกระโดดลงจากรถม้า และให้มารดาของตนขึ้นไปนั่งแทน
“ท่านแม่นางกินยาลดไข้แล้ว ท่านแค่คอยดูว่านางตัวร้อนหรือไม่ หากนางหนาวสั่นไข้ไม่ลดรีบบอกข้านะ”
“ได้ ๆ” เถียนฮูหยินไม่ใช่คนใจดำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเจ็บป่วยหนัก นางจึงยอมช่วยเหลืออย่างเต็มใจ
หลินซือเยว่มองเห็นบุรุษผู้หนึ่ง น่าจะเป็นบุตรชายของฮูหยินบนรถม้า หน้าตาของเขาแม้จะผ่านการถูกทำร้ายมา บาดแผลเกรอะกรังด้วยเลือด แต่ก็ยังมองออกว่ามีใบหน้าหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย เขามองมาที่รถม้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงกำชับหลินอ้ายประโยคหนึ่ง จากนั้นหลินอ้ายก็วิ่งเข้าไปหาหยางห่าวอู๋
“คุณหนูให้มาบอกว่า ฮูหยินของท่านได้รับยาลดไข้ ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่บนรถม้า มีท่านแม่ของคุณหนูคอยดูแลอยู่ พวกท่านอย่าได้กังวลไปขอรับ”
“คุณหนูของเจ้าเป็นคนตระกูลใดรึ” หยางห่าวอู๋นึกว่ารู้จักคนบ้านนี้เข้าแล้ว
“คุณหนูรองของนายท่านรองตระกูลหลินขอรับ” หลินอ้ายรู้ว่าไม่ควรเอ่ยนามจริงของหลินซือเยว่ เขาจึงรีบวิ่งกลับไปจูงม้าต่อ
หยางห่าวอู๋ย่อมรู้ว่าตระกูลหลินถูกเนรเทศไปชายแดนในขบวน แต่เขาไม่รู้ว่าคุณหนูหลินผู้นี้เป็นคนบ้านใหญ่หรือบ้านรอง ครั้นได้รู้ก็คลายข้อสงสัยลงไป
“เจ้าเอาแต่มองไปทางรถม้า นางจึงรำคาญ” หยางห่าวหรานพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ
“จดจำบุญคุณนางไว้ บ่าวสองคนนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน คุณหนูไม่ใช่นายท่านรอง”
มุมปากของหยางห่าวหรานยกขึ้นเบา ๆ มีบ้านไหนที่ลูกสาวอยู่เหนือบิดามารดาบ้าง นี่มันช่างน่าแปลกใจจริง ๆ
ขบวนใหญ่มาถึงจุดพักก่อน เป็นวัดร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง มีทหารมาตั้งซุ้มอาหารรออยู่ก่อนหน้าแล้ว คนตระกูลหยางกับรถม้าของบ้านรองมาถึงช้าไปราวหนึ่งเค่อ เพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงไม่มีใครถามไถ่อันใดกัน ต่างคนต่างจับจองที่หลับนอนในคืนนี้ และรอคอยการแจกอาหารให้อุ่นท้อง
พ่อบ้านหม่าได้รับรายงานเรื่องหลินซือเยว่ช่วยเหลือคนตระกูลหยาง เขาจึงรีบนำเรื่องนี้ไปรายงานแก่หลินเฉินและฮูหยินเฒ่า หวางฮูหยินแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาในทันที
“นางเด็กปัญญาอ่อนนั่น รู้จักแต่แบ่งปันคนนอก ไม่เห็นหัวคนตระกูลหลินอยู่ในสายตาเลย หากนางมียารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็ควรเก็บเอาไว้ในพวกเราสิ นำไปให้คนอื่นเปล่า ๆ ได้อย่างไร ช่างไม่รู้ความเสียจริง”
“ฮูหยิน นางแค่ให้คนเจ็บขึ้นพักบนรถม้า เรื่องยารักษาโรคอะไรนั่น ยังไม่รู้แน่ชัด” หลินเฉินรู้ว่าภรรยาของตนคนนี้ เดิมทีไม่ได้มีนิสัยเห็นแก่ตัวมากนัก ครั้นตระกูลหลินล้มลง นิสัยของนางกลับเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก หรือแท้จริงแล้วนี่คือนิสัยที่แท้จริงของนางก็ไม่รู้
“สะใภ้ใหญ่พูดถูกแล้วล่ะ หากนางมียารักษาโรคก็ควรนำมามอบให้แม่เฒ่าอย่างข้าสิ นี่กลับเอาไปให้คนอื่น เฮอะ ช่างไม่รู้ความจริง ๆ” หลังต้องเจอกับความลำบาก ทั้งอากาศหนาวเหน็บ ฮูหยินเฒ่ารู้สึกไม่พอใจหลานสาวคนนี้อยู่เหมือนกัน
“พ่อบ้านหม่าลองไปถามเยว่เอ๋อร์ดูหน่อย นางมียารักษาโรคอยู่หรือไม่ หากมีก็ให้นำมอบให้ท่านย่าของนางด้วย” หลินเฉินไม่มีทางเลือกอื่น เขาจำต้องกตัญญูต่อมารดา
พ่อบ้านหม่ารีบนำคำพูดนี้ไปบอกต่อหลินซือเยว่
“ท่านย่าป่วยรึ”
“ไม่ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้นต้องการยาไปทำไม”
“เอ่อ คือ”
หลินซือเยว่แค่นขำเบา ๆ “เอาไว้มีใครป่วยค่อยมาขอแล้วกัน”
“นี่ท่าน !” พ่อบ้านหม่าเห็นนางไม่ใส่ใจมองตนด้วยซ้ำ จึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินทางไป
หลินเต๋อกับเถียนฮูหยินได้ยินทุกคำพูดที่ทั้งคู่สนทนากัน ต่างรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จักบุตรสาวคนนี้แม้แต่น้อย นางเหมือนน้ำนิ่งหยั่งลึกมองไม่เห็นก้นบ่อ ดวงตาแข็งกร้าวไม่รู้สึกกลัวผู้ใด แม้อยู่ในขบวนเนรเทศการเดินทางยากลำบาก ใบหน้าของนางก็ยังเมินเฉยดังเดิม ดั่งสรรพสิ่งไม่มีคุณค่าในสายตาของนาง
“เยว่เอ๋อร์”
“ยานั่นเป็นของข้า ข้าจะมอบให้ใครมันเป็นเรื่องของข้า”
หลินเต๋อ “?!”
ข้ายังเป็นบิดาเจ้าอยู่หรือไม่
“พี่รองท่านช่างกล้าหาญนัก” หลินซูฮวาไม่คิดว่าพี่สาวของตน จะกล้าต่อกรกับคนบ้านใหญ่ แม้กระทั่งท่านย่าผู้น่ากลัวคนนั้นได้
“ซูฮวาเจ้านี่นะ” เถียนฮูหยินขึงตาปรามบุตรสาวคนเล็ก ก่อนหันไปมองบุตรสาวคนรองพร้อมพรูลมหายใจออกมา “เจ้าก็อย่าแข็งกร้าวนักเลยเยว่เอ๋อร์ ท่านย่าเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนตระกูลหลิน”
“เช่นนั้นของของข้าจึงเป็นของคนตระกูลหลินด้วยหรือ”
“เอ่อ”
“เหตุใดของของคนตระกูลหลินที่อยู่บนรถม้าสองคันนั้น ถึงไม่เป็นของข้าหรือของท่านพ่อกับท่านแม่ และน้องสามบ้างเล่า” เอ่ยจบนางก็เดินไปนั่งลงบนพื้นหนังสัตว์ที่เผิงฉือนำมาปูให้
บนรถม้านางมอบให้บิดามารดาและน้องสาวได้นอน เมื่อนำผ้าห่มออกมาใช้พื้นที่บนรถม้าจึงสามารถนอนเหยียดขาได้สามคนพอดี ส่วนตัวนางมาหลับนอนอยู่ด้านนอกแทน เพราะความอึดอัดใจต่อคนตระกูลหลิน หลินซือเยว่จึงยอมอยู่รั้งท้ายขบวน
ฮูหยินเฒ่าได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านหม่ารายงาน นางถึงกับเข่นเขี้ยวด้วยความโกรธเกลียดขึ้นมา “นังเด็กอกตัญญูช่างกล้ามาแช่งแม่เฒ่าอย่างข้าได้ เจ้าใหญ่เจ้าต้องไปสั่งสอนนางให้รู้สำนึก”
“ท่านแม่เกรงว่าจะไม่เหมาะ พวกเรากำลังอยู่ในช่วงเนรเทศไปชายแดน ระหว่างทางอย่าได้ก่อเรื่องขึ้นเลย เอาไว้ถึงชายแดนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
หลินเฉินมองไปยังครอบครัวของน้องชายที่พักอยู่ไกล ๆ มีบ่าวไพร่กับคนตระกูลหยางกั้นกลาง นึกไม่ถึงว่าหลินซือเยว่จะกล้าเอ่ยคำพูดไร้ศีลธรรมออกมาเช่นนั้น หากอยู่ในจวนตระกูลหลิน เขาคงสั่งคนโบยนางจนลุกไม่ขึ้นแล้ว แต่นี่ยังจะมีอำนาจใดเหลืออยู่ รอบข้างเต็มไปด้วยทหารคอยคุ้มกัน จะมีใครยอมให้เขาสั่งสอนหลานสาวยามนี้ได้ เกรงแต่จะถูกสั่งสอนเสียเองล่ะไม่ว่า
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ