“อี้เหลียน…เจ้าไปสั่งให้คนยกอาหารขึ้นโต๊ะ กับไปตามคุณชายน้อยมาเถิด ประเดี๋ยวท่านเขยอาบน้ำเสร็จ คงจะหิวพอดี” หลี่ชิงเหมียวมองส่งเขาก่อนที่จะหันกลับมาสั่งสาวรับใช้คนสนิท
“เจ้าค่ะ” อี้เหลียนรับคำสั่งแต่ยังคงก้มหน้าอยู่เช่นเดิม แม้กระทั่งยามลุกขึ้น นางก็ยังไม่เงยหน้ามองฮูหยินน้อย จากนั้นรีบเดินออกจากห้อง ไปสั่งสาวรับใช้จัดโต๊ะอาหารทันทีและตนก็ได้มุ่งหน้าไปยังเรือนของคุณชายน้อย เพื่อแจ้งแก่แม่นมซิ่ว ว่าวันนี้ให้พาคุณชายน้อย ไปร่วมโต๊ะกับท่านเขยและฮูหยินน้อยที่เรือนหนิงอัน แม่นมซิ่วดีใจยิ่งนัก เพราะการที่ทั้งสามคน จะได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้ากัน นั้นช่างหาได้ยากยิ่งหลี่ชิงเหมียวที่ได้มองเห็นท่าทีกระดากอายของอี้เหลียนเมื่อสักครู่ ก็พลันหัวเราะคิกคักออกมา ถึงอย่างไรแล้ว สาวรับใช้คนสนิทของนางก็ยังไม่ได้ออกเรือน ครั้นได้มาเห็็นหลัวอี้เฉินแสดงความรักต่อนาง อี้เหลียนก็คงจะรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย เห็นทีว่านางคงต้องมองหา บุรุษที่ดีให้แก่อี้เหลียนสักคนเสียแล้วสิภายในห้องรับรองของเรือนหนิงอัน โต๊ะอาหารวันนี้ จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เพราะนอกจาก“อี้เหลียน…เจ้าไปสั่งให้คนยกอาหารขึ้นโต๊ะ กับไปตามคุณชายน้อยมาเถิด ประเดี๋ยวท่านเขยอาบน้ำเสร็จ คงจะหิวพอดี” หลี่ชิงเหมียวมองส่งเขาก่อนที่จะหันกลับมาสั่งสาวรับใช้คนสนิท“เจ้าค่ะ” อี้เหลียนรับคำสั่งแต่ยังคงก้มหน้าอยู่เช่นเดิม แม้กระทั่งยามลุกขึ้น นางก็ยังไม่เงยหน้ามองฮูหยินน้อย จากนั้นรีบเดินออกจากห้อง ไปสั่งสาวรับใช้จัดโต๊ะอาหารทันทีและตนก็ได้มุ่งหน้าไปยังเรือนของคุณชายน้อย เพื่อแจ้งแก่แม่นมซิ่ว ว่าวันนี้ให้พาคุณชายน้อย ไปร่วมโต๊ะกับท่านเขยและฮูหยินน้อยที่เรือนหนิงอัน แม่นมซิ่วดีใจยิ่งนัก เพราะการที่ทั้งสามคน จะได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้ากัน นั้นช่างหาได้ยากยิ่งหลี่ชิงเหมียวที่ได้มองเห็นท่าทีกระดากอายของอี้เหลียนเมื่อสักครู่ ก็พลันหัวเราะคิกคักออกมา ถึงอย่างไรแล้ว สาวรับใช้คนสนิทของนางก็ยังไม่ได้ออกเรือน ครั้นได้มาเห็็นหลัวอี้เฉินแสดงความรักต่อนาง อี้เหลียนก็คงจะรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย เห็นทีว่านางคงต้องมองหา บุรุษที่ดีให้แก่อี้เหลียนสักคนเสียแล้วสิภายในห้องรับรองของเรือนหนิงอัน โต๊ะอาหารวันนี้ จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เพราะนอกจาก
ภายในเรือนหนิงอันก่อนมื้ออาหารเช้า หลี่ชิงเหมียวก็ได้รับจดหมายจากจ้าวซื่อ มารดาของนาง จ้าวซื่อส่งข่าวมาบอกนางว่า พี่ชายรองของนางอย่างหลี่ต้าหลุน กำลังจะแต่งงานแล้วและสตรีที่จ้าวซื่อไปเจรจาสู่ขอมาให้บุตรชาย ก็คือคุณหนูใหญ่สกุลโหรว โหรวหลิงหลิง ผู้เป็นสหายต่างวัยของหลี่ชิงเหมียวนั่นเองคราแรกโหรวหลิงหลิงนั้น หมั้นหมายอยู่กับคุณชายใหญ่ตระกูลจั่ว ทว่านางกลับไม่ชอบเขา เพราะเขาเจ้าชู้เสเพล และมีบ่าวอุ่นเตียงหลายคน นางจึงก่อปัญหาขึ้น ทำให้ตระกูลจั่วเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นไปเป็นเหนียนซื่อ ที่แนะนำคุณหนูใหญ่โหรวให้กับหลี่ต้าถง คราแรกหลี่ต้าถงเห็นว่านางมีชื่อเสียงที่ไม่ดี ทว่าภรรยาเอกของตน กลับกล่าวว่าเพราะคุณชายใหญ่ตระกูลจั่ว มีอนุภรรยามากมายต่างหากคุณหนูใหญ่โหรวจึงได้ก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนั้น เดิมทีหลี่ต้าถงก็ไม่ได้ใส่ใจหลี่ต้าหลุนมากนัก จึงสุดแล้วแต่ภรรยาเอกจะตัดสินใจ ถึงอย่างไรแล้วตระกูลโหรวก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงที่ดีมาโดยตลอด“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” อี้เหลียนเอ่ยถามฮูหยินน้อยออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก
ภายในเรือนหนิงอันก่อนมื้ออาหารเช้า หลี่ชิงเหมียวก็ได้รับจดหมายจากจ้าวซื่อ มารดาของนาง จ้าวซื่อส่งข่าวมาบอกนางว่า พี่ชายรองของนางอย่างหลี่ต้าหลุน กำลังจะแต่งงานแล้วและสตรีที่จ้าวซื่อไปเจรจาสู่ขอมาให้บุตรชาย ก็คือคุณหนูใหญ่สกุลโหรว โหรวหลิงหลิง ผู้เป็นสหายต่างวัยของหลี่ชิงเหมียวนั่นเองคราแรกโหรวหลิงหลิงนั้น หมั้นหมายอยู่กับคุณชายใหญ่ตระกูลจั่ว ทว่านางกลับไม่ชอบเขา เพราะเขาเจ้าชู้เสเพล และมีบ่าวอุ่นเตียงหลายคน นางจึงก่อปัญหาขึ้น ทำให้ตระกูลจั่วเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นไปเป็นเหนียนซื่อ ที่แนะนำคุณหนูใหญ่โหรวให้กับหลี่ต้าถง คราแรกหลี่ต้าถงเห็นว่านางมีชื่อเสียงที่ไม่ดี ทว่าภรรยาเอกของตน กลับกล่าวว่าเพราะคุณชายใหญ่ตระกูลจั่ว มีอนุภรรยามากมายต่างหากคุณหนูใหญ่โหรวจึงได้ก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนั้น เดิมทีหลี่ต้าถงก็ไม่ได้ใส่ใจหลี่ต้าหลุนมากนัก จึงสุดแล้วแต่ภรรยาเอกจะตัดสินใจ ถึงอย่างไรแล้วตระกูลโหรวก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงที่ดีมาโดยตลอด“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” อี้เหลียนเอ่ยถามฮูหยินน้อยออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก
“ฮูหยินน้อย… คุณชายน้อยก็ตัวโตมากแล้ว ท่านให้เขาเดินไปเองก็ได้เจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วง เพราะฮูหยินน้อยนั้น เป็นสตรีที่มีแขนเรียวเล็กยิ่งนัก“ข้าไม่เป็นไรแม่นม หากเขาโตกว่านี้ ก็คงจะไม่ให้ข้าอุ้มแล้ว” แม่นมซิ่วเข้าใจในคำพูดของฮูหยินน้อยทันที พลันน้ำตานางคลอเบ้าทั้งสองข้าง พยายามข่มกลั้นความรู้สึกสงสารเอาไว้ในส่วนลึกเป็นเพราะฮูหยินน้อย เสียเวลาที่จะได้อยู่กับคุณชายน้อย ไปนานเกือบสามปี ยามนี้ได้หวนกลับคืนมา ย่อมหวงแหนเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกัน แม่นมซิ่วยกมือขึ้นใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาตนเองอี้เหลียนหันไปปลอบใจแม่นมซิ่ว เพราะนางเข้าใจว่า แม่นมซิ่วคงจะคิดถึงฮูหยินน้อยคนก่อน ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็แม่นมซิ่ว คือแม่นมที่ติดตามออกเรือน มากับฮูหยินน้อยคนก่อน ย่อมมีความผูกพันกันเป็นเรื่องธรรมดาหลี่ชิงเหมียวนั่งเล่นอยู่กับหลัวอี้เจ๋อที่ศาลากลางน้ำ ไม่นานนักกู้จง ลูกน้องคนสนิทของหลัวอี้เฉิน ก็หิ้วเสี่ยหนา เดินมาหาพวกนางที่ศาลา“คารวะฮูหยินน้อย… คุณชายน้อย ท่านใต้เท้าสั่งให้ข้าน้อย นำขนมจากหอจิ่วจวีที่มีชื่อเสียง จา
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”ชายหนุ่มที่เห็นว่าหญิงสาวนิ่งไป ก็ถอนริมฝีปากออกมา ทว่าแขนทั้งสองข้างของเขา กลับใช้โอบกอดรอบเอวของนางเอาไว้ ใบหน้าของเขา และนางในยามนี้ จึงอยู่ห่างกันไม่เกินคืบ หลี่ชิงเหมียวใจเต้นแรง การเปลี่ยนแปลงของเขา ทำให้นางหวั่นใจและรับมือไม่ทัน“ทะ…ท่าน กำลังทำสิ่งใด” นางเอ่ยถามเขาออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก หลุบตาลงไม่อยากสบกับสายตาคมที่กำลังจ้องจับผิดนางหรือว่าเขารู้แล้ว ว่านางคือหลูชิงเหลียนกลับชาติมาเกิด แต่เขาเชื่อเรื่องราวลึกลับ น่าอัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ หลี่ชิงเหมียวใจเต้นแรง จนอีกฝ่ายสัมผัสได้ เขาจึงยิ้มออกมา“ข้าไม่แกล้งฮูหยินแล้ว… อืม ในเมื่อเจ้าแต่งให้ข้าแล้ว อีกทั้งข้าก็ไม่คิดจะแต่งงานอีกหน ไม่สู้พวกเรามาเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เถิด” หลัวอี้เฉินหัวเราะออกมา พลางปล่อยนางให้เป็นอิสระทว่าคำพูดต่อมาของเขา กลับทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกตระหนกตกใจ ทันทีที่ได้รับอิสระ หลี่ชิงเหมียวจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง วิ่งไปนั่งอยู่ที่ตั่งตัวยาว ซึ่งอยู่ติดกับริมหน้าต่างทันที เขามองตามนางไปยิ้มๆ&ldquo
หลัวอี้เฉินกลับมาถึงจวน ก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังเรือนหนิงอัน อันเป็นที่พำนักของภรรยาใหม่อย่างหลี่ชิงเหมียว เขาหอบเอาความดีใจทั้งหมดกลับมาหลังจากคิดทบทวนดูจนรู้แจ้งแก่ใจดีแล้วว่า หลี่ชิงเหมียวอาจจะเป็นหลูชิงเหลียนกลับชาติมาเกิดใหม่ แทนที่คุณหนูตระกูลหลี่ ซึ่งเดิมนั้นเคยเป็นเด็กไม่รู้ความมาก่อน“คารวะท่านเขย”อี้เหลียนและสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของหลี่ชิงเหมียว ต่างพากันย่อกายคำนับทักทายหลัวอี้เฉิน เขาเพียงพยักหน้าให้พวกนาง แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่ชิงเหมียว หญิงสาวจึงคำนับทักทายเขาเช่นกัน“คารวะท่านพี่…เหตุใดถึงได้กลับมา…”ทว่าหลี่ชิงเหมียวยังไม่ทันได้ถามเขาจบ หลัวอี้เฉินก็เดินเข้าไปสวมกอดร่างระหงของภรรยา ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนนางเพิ่งจะกลับมาจากเรือนใหญ่ และกำลังจะเดินเข้าประตูเรือนพอดี ครั้นเห็นเขามาจึงต้องหยุดทักทายเขาก่อน ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะมาแปลก ถึงขั้นประชิดกายนางเช่นนี้ร่างระหงแข็งค้าง รู้สึกต่อต้านเขานิดๆ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว นางก็ยอมปล่อยให้เขากอดอย่างประหลาดใจ นางเพียงคิดว่า วันนี้เขา
หลังจากวันที่ได้ประลองฝีมือกับหลี่ชิงเหมียวแล้ว หลัวอี้เฉินก็มักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง พลันเขานึกไปถึงท่านนักพรต ที่เคยมาร่วมพิธีฝังร่าง ของหลูชิงเหลียนเมื่อสามปีก่อนเขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ภายในสำนักมือปราบพิทักษ์เมฆา ควบอาชาประจำตัว มุ่งหน้าไปยังอารามหลัวเซิง พร้อมกับกู้อี้และกู้จง ลูกน้องคนสนิทสองหนุ่มไม่รู้เลย ว่าเพราะเหตุใดท่านหัวหน้าของพวกตน กำลังจะเดินทางไปที่ใด พวกเขาได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ แล้วติดตามท่านหัวหน้าไปอย่างเร่งรีบอารามหลัวเซิงตั้งอยู่บนเขา ทว่าด้านล่างก็ยังอารามย่อยให้ผู้คนได้มากราบไหว้ท่านปรมาจารย์ หลัวอี้เฉินเข้าไปสอบถามนักพรตน้อยที่อยู่อารามด้านล่างนักพรตน้อยส่งยิ้มให้เขา และแนะนำให้เขาขึ้นไปพบท่านเจ้าอาวาสที่อารามหลัก หลัวอี้เฉินคำนับขอบคุณนักพรตน้อย แล้วจึงเดินขึ้นบันไดไปยังอารามหลักอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย กู้อี้กับกู้จงติดตามท่านหัวหน้าไปอย่างเงียบๆจนระหว่างทางกู้อี้ที่สนิทสนมกับหลัวอี้เฉินมากกว่า จึงได้ตัดสินใจเอ่ยปากถามท่านหัวหน้าออกมา “ท่านหัวหน้าขอรับ…เหตุใดท่านถึงได้อยากพบท่านนัก
ภายในเรือนหนิงอันคืนนี้หลัวอี้เฉิน หอบหมอนกับผ้าห่ม เดินกลับเข้ามาภายในห้องนอน หลี่ชิงเหมียวที่เตรียมตัวจะล้มตัวลงนอน หรี่ตามองเขาด้วยความประหลาดใจ เพราะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดจะเข้ามานอนบนเตียงเดียวกันกับนางด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้เขาถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า“ข้างนอกมันหนาว เจ้าจะนอนด้านนอก หรือนอนด้านใน”หลัวอี้เฉินเห็นสายตาหวาดระแวงสงสัย ของสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง เขาจึงเอ่ยเหตุผลที่เขาหอบหมอนกับผ้าห่ม เดินเข้ามาภายในห้องนอน ที่เขาเคยยกให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของนางหลี่ชิงเหมียวที่ยังคงแสดงสีหน้างุนงง ร้องอ้อ เพียงคำเดียว ก่อนที่นางจะขยับกาย เข้าไปนอนด้านใน เพราะนางรู้ดีว่าเขา ต้องตื่นเช้าไปฝึกวรยุทธ์ทุกวัน หากนอนข้างใน คงจะไม่สะดวกเข้าออกเท่าใดนัก“เหตุใดวันนี้ท่านถึงอยากมานอนบนเตียงเล่าเจ้าคะ คงมิใช่เพียงเพราะอากาศหนาวหรอกกระมัง” หลี่ชิงเหมียวตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องที่นางสงสัยออกมา ยามนี้หลัวอี้เฉินยังไม่ได้ดึงม่านมุ้งลง อีกทั้งแสงไฟจากโคม ก็ยังคงส่องสว่างอยู่หลายดวง&ldquo
“ท่านพ่อ….ท่านแม่ ข้าไม่ออกเรือน ไม่ได้หรือเจ้าคะ” หมิงหลันที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น หันไปอ้อนวอนขอความเห็นใจจากบิดามารดาทว่าใต้เท้าหมิงกลับแสดงท่าทีเย็นชาออกมา ส่วนซุนซื่อแม้ภายในใจจะรู้สึกสงสารบุตรี ทว่าครานี้นางทำเรื่องร้ายแรงจริงๆ ดีแค่ไหนแล้ว ที่แม่สามีไม่ตัดสินใจให้นาง ไปออกบวชที่อารามชี มิเช่นนั้นอยากจะออกเรือนก็ยากแล้ว“ทำตามคำสั่งของท่านย่าเถิด หากเจ้ายังอยากเป็นลูกสาวของข้าหมิงอี้ฉงอยู่” ท่านใต้เท้าหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วจึงเดินออกจากเรือนรับรองไปเช่นเดียวกัน“ลูกเอ๋ย…ครานี้ เป็นเจ้าที่เลอะเลือนแล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้หรือว่าใต้เท้าอสุราผู้นั้น มีชื่อเสียงเช่นไร ครานี้เจ้าทำร้ายคนของเขา เขาไม่จับกุมตัวเจ้าไปรับโทษในศาลต้าฟง ก็นับว่าเห็นแก่หน้าพ่อของเจ้าแล้ว” ซุนซื่อย่อกายพยุงบุตรสาวขึ้นมาจากพื้น แล้วพาไปนั่งลงบนเตียงอุ่น พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหมิงหลันแสดงสีหน้าไม่ยินยอมออกมา นางมองหน้ามารดาด้วยสายตาผิดหวัง นางหลั่งน้ำตาแห่งความน้อยอกน้อยใจออกมา นางเกิดมาเป็นบุตรี เดิมก็ต้องออกเรือน บิด