เช้านี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส ชุยซินอี๋ถือตะกร้าผักเดินไปที่ตลาดเหมือนเช่นทุกวัน วันนี้ไม่แน่ใจว่าจะขายหมดไหม แต่อย่างไรก็ต้องเอาออกไปขายก่อน เธออุ้มชุยเป่าด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือตะกร้าผักเดินไปตามทางพลางหยอกล้อลูกชายเป็นระยะ ในขณะนั้นเองก็มีรถคันหนึ่งขับมาจอดตรงหน้าของเธอ หญิงสาวมองดูครู่หนึ่งพบว่าไม่ใช่รถของเฝิงอี้ ชุยซินอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับจ้องชายหนุ่มที่เดินลงมาจากรถด้วยความสงสัย
เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาไม่น้อยเลย ผิวค่อนข้างขาวไม่ดูเหมือนคุณชายเจ้าสำอางเช่นเดียวกับเฝิงอี้ ชุยซินอี๋รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้นหน้าเขาเท่าไรนัก คาดว่าเขาคงจะไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ในกวานซีเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้าชุยซินอี๋ ก่อนจะยิ้มให้เธอเล็กน้อย
"ผักของคุณผมซื้อได้ไหมครับ ซื้อทั้งหมดเลย บังเอิญว่าไปที่ตลาดแต่กลับไม่มีร้านผักเหลือแล้ว ผมคงมาสายไป พอดีขับรถผ่านเห็นว่าคุณมีตะกร้าผักอยู่ในมือเลยอยากซื้อต่อ ไม่ทราบว่าคุณจะขายไหมครับ"
ชุยซินอี๋มองเขาเล็กน้อย แม้จะสงสัยว่าเขาจะมาซื้อผักไปทำอะไร แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ หากขายได้หมดนั่นจึงนับว่าเป็นเรื่องดี เมื่อคิดได้เช่นนั้นซุยซินอี๋จึงยิ้มให้เขาเล็กน้อย
"ได้ค่ะ ฉันกำลังจะเอาไปขายที่ตลาดพอดีเลย แต่ถ้าคุณต้องการ ฉันขายให้คุณก็ได้ค่ะ"
"ครับ ผมซื้อทั้งหมดเลย"
"ค่ะ หมดนี่ก็ยี่สิบหยวนค่ะ"
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะยื่นเงินให้เธอหนึ่งร้อยหยวน
"ไม่ต้องทอนนะครับ"
ชุยซินอี๋ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ย
"ฉันคิดแค่ยี่สิบหยวนค่ะ คุณรอสักครู่ ฉันมีเงินทอนค่ะ"
“ไม่ต้องครับ แล้วผมจะมาใหม่"
“คุณคะ คุณคะ!!!”
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินไปขึ้นรถและขับจากไปทันที ชุยซินอี๋มองตามเขาไปด้วยความสงสัย ก่อนจะก้มมองดูเงินหนึ่งร้อยหยวนในมือของตนเอง เธอไม่ชอบคดโกงเงินใคร จึงคิดว่าคราวหน้าหากมีโอกาสได้เจอเขาอีกครั้ง เธอจะคืนเงินให้เขา
ด้านชายหนุ่มคนนั้น เมื่อขับรถออกมาไกลและไม่มีผู้คนพบเห็นได้แล้ว เขาจึงจอดรถที่ข้างทาง พลางปรายตามองตะกร้าผักนั้นด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะโยนมันออกนอกรถไปอย่างไม่ไยดี
"เฝิงอี้ อะไรที่แกได้ อะไรที่แกมี ฉันจะแย่งมันมาจากนายให้หมดเลยคอยดู"
เวลาผ่านไปจนถึงสิ้นเดือน ชุยซินอี๋ก็ได้มาทำงานที่ร้านบะหมี่ของเฝิงอี้ ที่ร้านบะหมี่มีเธอเป็นแม่ครัว และมีคนงานช่วยดูแลลูกค้าอีกสองคน แม้ว่าร้านจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ตกแต่งได้สวยงามไม่น้อยเลย
ชุยซินอี๋แม้จะมีฝีมือในการทำอาหาร แต่เธอก็ยังประหม่าไม่น้อย แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็จะตั้งใจทำอย่างเต็มที่
วัตถุดิบที่เฝิงอี้ให้คนนำมาส่งค่อนข้างดีทุกอย่าง บะหมี่ที่ร้านมีทั้ง บะหมี่หมู บะหมี่เนื้อ บะหมี่ผัก ชุยซินอี๋ตั้งใจปรุงมันออกมาอย่างตั้งใจทุกชาม เธอยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง ก่อนจะได้ยินเสียงหวานใสของเซี่ยเหมย พนักงานที่มาช่วยเธอรับลูกค้าเอ่ยขึ้นมา
"ซินซิน เธอรู้ไหม ลูกค้าชมว่าบะหมี่ของเรารสชาติดีมาก ร้านของเราจะต้องขายดีแน่ เธอเก่งมากเลยแหละ"
ชุยซินอี๋ยิ้มให้เซี่ยเหมยอย่างสนิทสนม เธอกับเซี่ยเหมยนั้นรู้จักกันตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเซี่ยเหมยมาสมัครเป็นพนักงานล้างจานที่ภัตตาคาร เพราะว่าบ้านยากจนจึงไม่ได้เรียนต่อเหมือนกับเธอ คนทั้งสองสนิทสนมกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จนเธอตั้งท้องก็ไม่ได้พบเซี่ยเหมยอีก ได้ยินว่าเซี่ยเหมยย้ายไปอยู่กับแม่ที่ต่างเมือง แต่ก็กลับมาเมื่อไม่นานมานี้เพราะทนแรงกดดันจากครอบครัวของสามีใหม่แม่ตนเองไม่ได้ หล่อนเป็นลูกติด พ่อใหม่ย่อมไม่ชอบเป็นเรื่องธรรมดา เซี่ยเหมยจึงกลับมาที่กวานซีด้วยเงินก้อนหนึ่งที่หล่อนหาเก็บไว้ได้และมาสมัครงานที่ภัตตาคารอีกครั้ง โชคดีที่เฝิงอี้รับเซี่ยเหมยไว้และส่งมาทำงานกับชุยซินอี๋ที่ีร้านบะหมี่
เซี่ยเหมยดีใจมากที่ได้พบกับชุยซินอี๋อีกครั้ง คนทั้งสองจึงกลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม เซี่ยเหมยเองก็รับรู้เรื่องราวของเธอมาไม่น้อย แต่กลับไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดที่ทำให้เธอลำบากใจ เพียงปลอบใจเธออยู่หลายคำเพียงเท่านั้น
"ฉันดีใจนะที่ลูกค้าชอบ ตอนแรกฉันไม่มั่นใจเลย"
"เธอเป็นคนมีฝีมือ เชื่อฉันเถอะ มั่นใจเข้าไว้ รับรองว่าจะต้องขายดีอีกแน่นอน"
"อืม"
ชุยซินอี๋ยิ้มตาหยี ก่อนจะไปล้างไม้ล้างมือ ตอนนี้ขายของหมดแล้ว เหลือเพียงช่วยกันเก็บกวาดร้านให้สะอาด ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย เธอเองก็รู้สึกหิวขึ้นมา จึงคิดว่าจะพักหาอะไรกินรองท้องเสียหน่อยแล้วค่อยไปทำงานต่อ
ระหว่างที่นั่งกินอาหารอยู่นั้น เซี่ยเหมยก็พูดขึ้นมา
"นี่ซินซิน คุณชายเฝิงเจ้านายของพวกเราน่ะ เขาหล่อเหลามากเลยเธอว่าไหม ฉันไม่คิดเลยว่าคุณนายเฝิงจะมีลูกชายหล่อมากขนาดนี้ ใครกันนะจะได้มาเป็นภรรยาของเข้า ฉันล่ะอิจฉาจริงๆ"
ชุยซินอี๋รู้สึกเหมือนลำคอตีบตันจนต้องไอออกมาไม่หยุด และรีบควานหาน้ำมาดื่ม เซี่ยเหมยที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"อะไรของเธอกันเนี่ย สำลักความหล่อคุณชายเฝิงหรือไง"
"เหมยเหมย เธออย่าพูดไร้สาระสิ เกิดคนมาได้ยินเข้าจะหาว่าพวกเรานินทาเจ้านาย"
เซี่ยเหมยไม่พูดต่ออีกทั้งยังหัวเราะออกมาอย่างขบขัน คนทั้งสองช่วยกันเก็บกวาดร้าน ก่อนที่เซี่ยเหมยจะหันมาเอ่ยกับชุยซินอี๋
"อีกเดี๋ยวเลิกงานแล้วฉันคงต้องรีบกลับไปซักผ้าที่ห้องต่อ ไว้มีเวลาจะไปเล่นกับชุยเป่าของเธอ"
"ได้สิ"
หญิงสาวทั้งสองสนทนากันเรื่อยเปื่อย พร้อมทั้งช่วยกันทำความสะอาดเก็บกวาดร้านไปด้วย กว่าจะเสร็จก็เริ่มค่ำแล้ว ร้านละแวกใกล้เคียงเริ่มปิดลงทีละร้าน ชุยซินอี๋รีบปิดล็อกกุญแจร้านให้เรียบร้อย ก่อนวันเริ่มงานเฝิงอี้ได้มาหาเธอที่บ้านและนำกุญแจร้านมามอบให้เธอ บอกว่าให้เธอเก็บเอาไว้ ไม่ต้องเอามาคืนให้เขา เพียงรักษากุญแจดอกนี้เอาไว้ให้ดีก็พอ
หลังจากที่ปิดร้านเรียบร้อยแล้ว เธอก็กำลังจะกลับ แต่ทว่ากลับเห็นเฝิงอี้ที่กำลังเดินลงมาจากรถและก้าวเดินเข้ามาหาเธอ
"ขายดีไหม"
ชุยซินอี๋ยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"ก็ดีค่ะ ฉันกำลังจะไปที่ภัตตาคาร นำเงินที่ขายได้วันนี้ไปมอบให้พี่พอดี"
เฝิงอี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย
"เธอเก็บไว้เถอะ ถือว่าเป็นเงินเดือนล่วงหน้าก็แล้วกัน"
ชุยซินอี๋ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม
"ได้ยังไงกันคะ นี่มันเงินขายของนะคะ"
"ก็บอกว่าเป็นเงินเดือนล่วงหน้ายังไงล่ะ"
ชุยซินอี๋มองเฝิงอี้อย่างไม่เข้าใจ เขาบ้าไปแล้วหรือไงกัน มันมีที่ไหนจ่ายเงินเดือนล่วงหน้ามากขนาดนี้ เธอเพิ่งมาทำงานวันแรกแท้ๆ
เมื่อเห็นว่าชุยซินอี๋มีสีหน้าไม่สบายใจเขาก็ยิ้มและมองเธออย่างอ่อนโยน
"เธอรู้ตัวไหม เวลาเธอทำหน้าแบบนี้แล้วมันน่าจูบมากเลย"
ชุยซินอี๋สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติในทันที
"ฉันจะกลับบ้านแล้วค่ะ ชุยเป่าคงรอแย่แล้ว"
"พี่ไปส่งไหม"
"ไม่ต้องดีกว่าค่ะ ฉันปั่นจักรยานมา"
"อาอี้ นายมาทำอะไรตรงนี้กัน!!!"
อยู่ๆ สวีเพ่ยก็โผล่มาจากไหนก็ไม่อาจทราบได้ หล่อนก้าวเดินเข้ามาหาเขาและยื่นมือมากอดรัดแขนของเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัย เฝิงอี้ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย อีกทั้งยังรู้สึกโมโหไม่น้อย ด้านชุยซินอี๋นั้นก็จ้องมองท่าทีของคนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ก่อนจะเอ่ย
"ฉันกลับก่อนนะคะ ไว้พรุ่งนี้จะมาเปิดร้านแต่เช้า"
เธอเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินไปที่จักรยานของตนเองที่จอดเอาไว้ สวีเพ่ยปรายตามองชุนซินอี๋ก่อนจะเอ่ย
"หน้าตาสวยใช้ได้เลยนี่ อาอี้!! หรือว่านายมาติดพันเธอ ถึงขั้นซื้อบ้านให้ นี่คิดจะเลี้ยงเมียน้อยไว้นอกบ้านตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานกับฉันเลยเหรอ!!!"
เฝิงอี้สลัดแขนตนออกจากการเกาะกุมของสวีเพ่ย ก่อนจะเอ่ย
"เธอมาทำไม"
สวีเพ่ยขบริมฝีปากตนเองเล็กน้อย ยิ่งได้เห็นท่าทีไม่ปฏิเสธของเฝิงอี้แล้ว ใจของเธอก็ยิ่งร้อนรนและโมโหมากขึ้นกว่าเดิม
"ทำไม ฉันมาไม่ได้เหรอ ฉันเบื่อเลยออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะเจอนายที่กำลังพูดคุยกับผู้หญิงคนอื่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชอบใจแบบนี้ เหอะ สภาพแบบนั้นนายก็ยังชอบลงไปได้ หล่อนสู้ฉันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คอยดูเถอะ ฉันจะตามไปสั่งสอนมัน!!!"
เฝิงอี้ที่ได้ยินจึงหันมาเอ่ยกับสวีเพ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจทันที
"หากเธอกล้าแตะต้องคนของฉัน อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ"
"อาอี้ เรากำลังจะหมั้นหมายกันแล้วนะ สองตระกูลกำลังจะลงทุนร่วมกันอีกด้วย นายทำแบบนี้เท่ากับไม่ไว้หน้าพ่อฉันเลยนะ"
เฝิงอี้ที่กำลังจะก้าวเดินจากไปพลันหันกลับมามองสวีเพ่ย ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมาอย่างดูแคลน
"เรื่องนั้นฉันมีวิธีจัดการ เธอเพียงแค่หาเจ้าบ่าวใหม่ให้ได้เร็วๆ ก็พอ"
"อาอี้!! เฝิงอี้ นายกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!!!"
เมื่อผ่านช่วงไว้ทุกข์มาแล้ว เฝิงอี้และชุยซินอี๋ก็แต่งงานกัน งานแต่งนี้ไม่ได้จัดใหญ่โตมากนัก เน้นเพียงความสะดวกและเรียบง่าย เติ้งเทียนอวี้และกวงจือหลินเพราะติดงานที่ต้องสะสางจึงไม่ได้มาร่วมงาน เพียงโทรมาแสดงความยินดีและส่งของขวัญแต่งงานมาให้เท่านั้น เฝิงอี้เองก็เข้าใจและเอ่ยขอบคุณเพื่อนรักทั้งสองอย่างเต็มใจหยางตงและสวีเพ่ยนั้นก็มาร่วมงานด้วย คนทั้งสองนำของขวัญมามอบให้ และอยู่ร่วมงานจนถึงเย็น ก่อนจะกลับไป เพราะสวีเพ่ยยืนนานไม่ค่อยไหว เนื่องจากเธอกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เฝิงอี้และชุยซินอี๋มองดูหยางตงที่แบกสวีเพ่ยขึ้นหลังและเดินจากไปด้วยแววตาที่มีความสุขนับว่าพวกเขาทั้งสองเป็นคู่ที่สวรรค์บันดาลจริงๆ"พ่อครับ แม่ครับ ผมหิวอีกแล้ว"เฝิงอี้และชุยซินอี๋ที่ได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมอง ก่อนจะพบกับเฝิงเป่าที่วิ่งเข้ามาหาเขาทั้งสอง เจ้าเด็กอ้วนตัวสูงขึ้นอีกแล้ว อีกทั้งยังชอบกิน วันๆ ถามหาแต่ของกิน แล้วยังบ่นว่าเหงามากอีกต่างหาก ชุยซินอี๋ย่อตัวลงไป ก่อนจะยื่นมือไปบีบแก้มของเฝิงเป่าอย่างมันเขี้ยว"แม่จะอุ้มลูกไม่ไหวแล้วนะรู้ไหม"เฝิงเป่าเบ้ปาก ก่อนจะเงยหน้าไปมองเฝิงอี้"พ่อครับ ผมอยากได้น้องสาวตัวอ้วนๆ
เฝิงอี้หลับตาลงรอรับลูกปืนจากเซวียนซาน แต่ทว่าเขากลับไม่พบกับความเจ็บปวดใดๆ เลยแม้แต่น้อย เมื่อลืมตามองดูก็พบว่าตอนนี้ที่หน้าท้องของเซวียนซานมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เขาถูกยิง!!!เฝิงหลงหันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่นเอง อีกทั้งยังมีภรรยาของเขา แม่ของชุยซินอี๋ และหยางตงกับสวีเพ่ยก็มาด้วย ตำรวจเล็งปลายกระบอกปืนเข้าหาเซวียนซานอีกครั้ง เฝิงหลงที่เห็นอย่างนั้นก็ตกใจก่อนจะเอ่ย"อย่ายิง!!! นี่ลูกชายของผมเอง"ปัง ปัง ปัง"พ่อ!!!"เฝิงอี้ตะโกนเรียกพ่อของตนเองสุดเสียง คุณนายเฝิงเองก็แทบจะล้มทั้งยืนเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าเฝิงหลงใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระเสือกกระสนไปบังลูกกระสุนแทนเซวียนซาน ร่างของคนทั้งสองล้มลงไปบนพื้นพร้อมกัน เฝิงหลงจับมือของเซวียนซานเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ย "พ่อขอโทษ พ่อผิดไปแล้ว พ่อที่เห็นแก่ตัวคนนี้สำนึกเสียใจแล้ว หวังว่าชีวิตนี้ของพ่อจะชดใช้ความแค้นทั้งหมดในใจของแกได้ อย่าทำร้ายใครอีกเลยนะ อาซาน"เซวียนซานหลับตาลงช้าๆ เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันมืดมนไปหมด เขาส่งเสียงเหอะในลำคอก่่อนจะร้องไห้ออกมาแผนการสำเร็จแล้ว แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกดีใจเลยล่ะ!!!คนชั่วคนนี้กำลังจะตาย แต่
เซวียนซานตอนนี้เหมือนกับคนเสียสติไปแล้ว ก่อนหน้านี้เซวียนชวนเตือนเท่าไรเขาก็ไม่ฟัง ในใจของเขามีแต่ความแค้นที่ฝังลึก เขาถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจนมันบิดเบี้ยวเกินจะเยียวยาแล้วชุยซินอี๋จ้องมองเฝิงอี้และเฝิงเป่าด้วยแววตาที่แดงก่ำ หากวันนี้เธอเป็นอะไรไป เธอเชื่อว่าเฝิงอี้จะสามารถดูแลเฝิงเป่าได้เป็นอย่างดีแต่สำหรับเฝิงอี้แล้วเขาไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดเพียงว่าจะต้องช่วยชุยซินอี๋ออกมาให้ได้ หากช่วยไม่ได้เขาก็ไม่ไปไหนทั้งนั้นเซวียนซานลั่นไกปืนเตรียมจะยิงทุกคนที่ขวางหน้า เขาหัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยกับชุยซินอี๋"เป็นยังไงล่ะซินซิน ไอ้คนที่เธอรักนักรักหนามันช่วยอะไรเธอได้ จะตายกันหมดอยู่แล้ว!!! เลือกฉันสิ แล้วเราจะมีความสุขไปด้วยกัน"ชุยซินอี๋ปรายตามองเซวียนซานด้วยความเย็นชา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลน"คนที่ไม่เห็นใครเป็นคนในสายตา ไม่คู่ควรที่จะได้ความรักจากใครหรอก ปล่อยให้ความแค้นบังตาจนมืดบอด ไม่ละอายแก่ใจตัวเอง""ซินซิน!!! โอ๊ย!!!"ชุยซินอี๋อาศัยจังหวะที่เซวียนซานเผลอใช้เศษกระเบื้องที่เธอถือเอาไว้ในมือแทงเข้าไปที่หน้าท้องของเขาอย่างแรง เซวียนซานร้องไม่เป็นภาษา ใบหน้าหล
ก่อนหน้านี้ชุยซินอี๋ได้สติตื่นขึ้นมา เมื่อตั้งสติได้และคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเธอก็ถึงกับลนลานรีบมองหาเฝิงเป่าทันที ก่อนจะพบว่าเฝิงเป่ากำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ เธอ ชุยซินอี๋หันมองซ้ายขวาพบว่ามือของตนเองถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือก "ไม่ต้องดิ้นไปหรอก ถึงเวลาผมจะปล่อยคุณเอง"เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ชุยซินอี๋จึงเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะพบว่าเป็นเซวียนซานนั่นเองภาพก่อนหน้านี้คือเขายื่นขวดน้ำให้เธอ จากนั้นเธอรู้สึกเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างฟาดเข้ามาที่ต้นคอและสลบไปไม่ได้สติ จนเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในที่เก่าๆ เหมือนกับโรงงานร้างอย่างไรอย่างนั้น ชุยซินอี๋ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม“คุณจับฉันมาเหรอ"เซวียนซานยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ทว่ารอยยิ้มของเขามันดูเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัว ชุยซินอี๋ขยับตัวเข้าไปใกล้เฝิงเป่า พร้อมกับระแวดระวังเซวียนซานเอาไว้ด้วยเขาจะจับตัวเธอและลูกมาทำไมกัน ทั้งที่พวกเราไม่เคยมีเรื่องผิดใจอะไรต่อกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำเซวียนซานมองดูท่าทีของชุยซินอี๋ ก่อนจะถอนหายใจออกมา ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาชอบเธอเข้าเสียแล้ว เขาคิดทบทวนมาหลายคืนแล้วก็ได้คำตอบที่แน่ชัด เขาชอบชุย
หลังจากที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ก็ถึงเวลาที่เฝิงอี้และชุยซินอี๋จะจัดงานแต่งงานกันอย่างมีความสุขเสียทีเช้านี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส เฝิงอี้พาชุยซินอี๋มาตัดชุดแต่งงาน เดิมทีคนทั้งสองคิดจะประวิงเวลาออกไปก่อน เพราะตอนนี้สถานการณ์ในบ้านตระกูลเฝิงก็ยังไม่ดีเท่าใดนัก แม่ของเฝิงอี้ยังคงเย็นชากับพ่อของเขาอยู่ แต่ทว่าคุณนายเฝิงกลับบอกว่า จะให้ความทุกข์ที่พ่อแม่เป็นคนก่อ มาทำให้ลูกไม่มีความสุขได้ยังไงกัน จึงไม่ให้คนทั้งสองประวิงเวลาออกไปอีก บอกเพียงว่าจะต้องรีบจัดงานให้เร็วที่สุดชุยซินอี๋มองดูเฝิงเป่าที่กำลังนั่งกินขนมอยู่กับพี่เลี้ยง ไม่นานมานี้เฝิงอี้จ้างพี่เลี้ยงเด็กคนหนึ่งมาดูแลเฝิงเป่า เฝิงเป่าเองก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับพี่เลี้ยงคนใหม่ อีกทั้งยังช่างพูดช่างเจรจา ยิ่งพูดได้ก็พูดไม่หยุด จนบางครั้งเธอเองยังตอบคำถามของเฝิงเป่าไม่ทันกิจการร้านบะหมี่ยังคงไปได้ดี เฝิงอี้ได้แม่ครัวคนใหม่มา แรกเริ่มชุยซินอี๋ยังคงไปสอนและแนะนำสูตรบะหมี่เดิมที่เธอทำเอาไว้ให้แม่ครัวคนใหม่ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว จึงได้ปล่อยให้คนงานทำงานกันเองต่อไปด้านภัตตาคารก็สร้างเสร็จแล้ว และเปิดทำการขายได้เหมือนเดิมแล้ว โดย
หยางตงที่ได้ยินอย่างนั้นก็จ้องมองซ่งชางอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปดึงตัวของสวีเพ่ยกลับมาหาตนเอง แต่คนของซ่งชางก็ยกเท้าถีบเขาจนกระเด็นลงไปกองกับพื้น หยางตงไอออกมาอย่างรุนแรง รู้สึกจุกแน่นที่หน้าท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน"อาตง!!!"สวีเพ่ยเอ่ยขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอถูกจับตัวเอาไว้จนไม่อาจเข้าไปหาเขาได้ สวีเพ่ยหันไปมองซ่งชางด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย"อย่าแตะต้องเขา เขาเป็นคนรักของฉัน!!!"ซ่งชางที่ได้ยินอย่างนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาหาสวีเพ่ย และยื่นมือขึ้นมาเชยปลายคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาชัดๆ"คนรักอย่างนั้นเหรอ เธอไม่มีสิทธิ์ไปรักกับใครได้หรอก เธอจะต้องไปที่ตระกูลซ่ง ไปเป็นเมียขัดดอกให้ฉัน คอยรับใช้คนตระกูลซ่งเพื่อชดใช้หนี้ บ้านของเธอและกิจการของพ่อเธอ ฉันจะยึดมาเป็นของฉันให้หมด เธอรู้ไหมว่าบ้านและกิจการของพ่อเธอมันยังไม่พอใช้หนี้ให้บ้านฉันเลยด้วยซ้ำ"สวีเพ่ยที่ได้ยินอย่างนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ย"นายอยากได้อะไรก็เอาไปให้หมดเลย ฉันไม่ยึดติดกับของพวกนี้แล้ว ส่วนเงินที่เหลือฉันจะหางานทำมาผ่อนจ่ายให้นายเอง""ผ่อนจ่ายเหรอ น้ำหน้าอย่างเธอเนี่ยนะจะทำงา
เมื่อเฝิงอี้จากไปแล้ว สวีเพ่ยจึงรีบเดินกลับเข้ามาในบ้านทันที หญิงสาวทำตัวปกติเหมือนทุกครั้งเพื่อไม่ให้มีพิรุธ ก่อนจะกลับเข้าห้องและล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา แล้วจึงรีบลนลานเปิดอ่านจดหมายที่หยางตงส่งมาในทันทีเพ่ยเพ่ย ฉันอาตงนะ เธอสบายดีไหม ฉันคิดถึงเธอมากเหลือเกิน ฉันมีหลายเรื่องที่อยากจะเล่าให้เธอฟัง มีหลายที่ที่อยากจะชวนเธอไปดูด้วยกัน ฉันตกปลามาได้หลายตัวเลย อยากให้เธอได้มากินปลาเผาฝีมือฉัน ร้านเหล้าตอนนี้ไม่มีคนมากนัก เหมาะที่จะชวนเธอไปนั่งดื่มด้วยกันเหมือนทุกครั้ง เพ่ยเพ่ย ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากบอกเธอ ฉันชอบเธอเข้าแล้ว มันคงดูตลกมากเลยใช่ไหม เธอเองคงไม่ได้คิดแบบเดียวกับฉันสินะ แต่ไม่่เป็นไรหรอก ฉันรู้เรื่องที่เธอต้องแต่งงานแล้วนะ เฝิงอี้พอจะคาดเดาเรื่องนี้ออก เขาบอกว่าคนโรคจิตอย่างเธอคงไม่ยอมถูกจับแต่งงานกับคนที่ไม่ชอบง่ายๆ หรอก แล้วที่เธอยอมแต่งก็เพราะถูกพ่อบังคับ ฉันจะหาทางช่วยเธอเองนะสวีเพ่ย เราจะหนีไปด้วยกัน ฉันจะพาเธอหนี หลังจากนั้นเธออยากจะใช้ชีวิตยังไงฉันจะสนับสนุนเธอเอง เธอไม่ต้องชอบฉันก็ได้ ฉันจะคิดเพียงว่าฉันได้ช่วยเพื่อนรักอย่างเธอก็แล้วกัน เธอจะไปกับฉันไหม อีกสามวันฉั
ด้านสวีเยี่ยนนั้นตอนนี้เขากำลังมีความสุขกับเงินมากมายตรงหน้าที่ได้มาจากสินสอดของสวีเพ่ย ซึ่งทางตระกูลซ่งเป็นคนส่งมอบให้ เงินก้อนนี้นับว่าได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ไม่น้อย นอกจากคนตระกูลซ่งจะยกหนี้ก่อนหน้านี้ให้เขาเป็นโมฆะเพราะเกี่ยวดองกันแล้วแล้ว ยังมอบเงินอีกก้อนเพื่อเป็นสินสอดให้เขาอีกด้วย เมื่อสวีเยี่ยนนำเงินส่วนหนึ่งไปจ่ายหนี้พนันจนหมดแล้ว ส่วนที่เหลือเขาก็นำมันไปต่อยอดเล่นการพนันเพิ่มอีกเล็กน้อยสวีเยี่ยนยิ้มกริ่ม ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวในคืนนั้นคืนที่ภัตตาคารตระกูลเฝิงเกิดไฟไหม้เดิมทีเขาเป็นคนส่งคนเข้าไปวางเพลิงที่นั่นเอง เป้าหมายก็คือต้องการเผาทำลายภัตตาคารตระกูลเฝิง แหล่งทำเงินมากที่สุดของตระกูลเฝิงให้มันพังพินาศไปเสีย ที่ผ่านมาเขาพยายามคิดมาตลอดว่า เฝิงหลงเป็นเพื่อนรักที่ดีที่สุดของเขามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้คนทั้งสองเป็นเพียงคนงานที่ทำงานในบาร์เหล้าทั่วไปเท่านั้น แต่เฝิงหลงกลับโชคดีมากกว่า ได้พบรักกับเสิ่นเยี่ย หญิงสาวที่เดินทางมาจากปักกิ่ง หล่อนมีเงินไม่น้อยเลย อีกทั้งตอนนั้นที่กวานซีกิจการของเสิ่นเยี่ยก็ทำเงินได้มากกว่าใคร เขาจึงหาทางทำให้เฝิงหลงได้เข้าไปใกล้ชิดกับเสิ่นเยี่ย
เมื่อหยางตงกลับไปแล้ว ชุยซินอี๋ก็กลับบ้านพร้อมกับเฝิงอี้ ระหว่างทางคนทั้งสองพูดคุยสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย พูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว อีกไม่นานก็คงจะถึงงานแต่งงานของพวกเขาทั้งสอง เฝิงอี้คิดว่าหลังจากที่ภัตตาคารเฝิงกลับมาเปิดใหม่และเรื่องราวคลี่คลายแล้ว เขาจะแต่งงานกับชุยซินอี๋ทันทีเช้าวันต่อมาเป็นวันที่เฝิงหลงจะต้องไปพบหมอตามนัด เฝิงอี้เป็นคนขับรถพาพ่อและแม่ไปที่โรงพยาบาลด้วยตนเอง ด้านเฝิงเป่านั้นก็มีสือชิงดูแลอยู่ ชุยซินอี๋เองก็วุ่นวายอยู่กับการดูแลร้านบะหมี่ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำไม่ต่างกัน หลังจากตรวจงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณนายเฝิงก็บอกให้สามีนั่งรออยู่ที่หน้าห้องตรวจ ก่อนที่เธอเองจะไปจัดการเรื่องเอกสาร อีกไม่นานเฝิงอี้คงจะมารับเธอและสามีตามที่นัดหมายกันเอาไว้แล้วเฝิงหลงไม่ได้ให้คนติดตามมาด้วย เขาไม่ชอบความวุ่นวายมากนัก ระหว่างที่รอภรรยาก็นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผู้คนที่มาตรวจเริ่มจะบางตาลงไปมากแล้ว เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย รู้สึกสมเพชตัวเองที่กลายมาเป็นเช่นนี้ เพราะหลายปีก่อนเขาเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ เขาจำได้ว่าตอนนั้นร่างกายขยับไม่ได้ โชคดีที่ได้พ่อของชุยซินอี๋มาช่วยพยุงเขาออกมา