"แล้วใครจะเป็นคนป่วยล่ะ?" เจียงไห่ถังถามอย่างกังวล
หวังจูหรันยิ้มกว้าง "ก็ท่านไงล่ะ คุณชายเจียง!"
"ข้าหรือ!?" เจียงไห่ถังอุทานเสียงหลง "แต่... แต่ข้าไม่เคยแสดงละครมาก่อนนะ"
"ไม่ต้องกังวลไปหรอก" หวังจูหรันยิ้มปลอบใจ นางชอบเขาก็เพราะไม่ว่านางจะทำอะไรหรือพูดสิ่งใด เขาล้วนเชื่อฟังนางเป็นที่สุด
"ข้าจะสอนท่านเอง แค่นอนหลับตา แล้วทำเสียงครางๆ ก็พอแล้ว"
เจียงไห่ถังถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ถ้าท่านว่าอย่างนั้น... ข้าก็จะพยายามเต็มที่"
"ดีมาก!" หวังจูหรันยิ้มอย่างพอใจ "เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เราจะเริ่มแผนการของเรา!"
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ไม่มีใครสังเกตเห็นเงาดำที่แอบฟังอยู่หลังพุ่มไม้ เงานั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ
"แผนการที่น่าสนใจเสียจริง" เสียงกระซิบของชายหนุ่มดังขึ้นเบาๆ "ข้าอยากรู้จังว่าคุณหนูกุยหลันจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร"
รุ่งเช้าวันใหม่ เสียงโวยวายดังลั่นจากห้องรับแขกของตระกูลหวัง
"พี่สาว แย่แล้ว!! คุณชายเจียงป่วยหนักมาก!" หวังจูหรันร้องเสียงหลง วิ่งเข้ามาในห้องตรวจของหวังกุยหลัน
หวังกุยหลันที่กำลังดื่มชาอย่างสงบ สำลักจนชาพุ่งออกจากจมูก "อะไรนะ? คุณชายเจียงเป็นอะไร?"
"ข้าไม่รู้!" หวังจูหรันทำท่าตื่นตระหนก "เขานอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ในห้องรับแขก ท่านต้องมาช่วยเขาเดี๋ยวนี้!"
หวังกุยหลันรีบลุกขึ้น วิ่งตามน้องสาวไปที่เรือนพักแขก เมื่อถึงที่หมาย นางก็เห็นเจียงไห่ถังนอนอยู่บนตั่งและตัวบิดไปมา สีหน้าเจ็บปวด
"โอ๊ย! ปวดท้อง... ปวดหัว... ปวดไปหมด!" เจียงไห่ถังครางเสียงดัง แต่เสียงฟังดูเหมือนกำลังอ่านบทละครมากกว่าคนป่วยจริง
หวังกุยหลันขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้ "คุณชายเจียง ท่านเป็นอะไรไป?"
เจียงไห่ถังลืมตาขึ้นมอง แล้วรีบหลับตาลงอีกครั้ง "ข้า... ข้าไม่รู้! รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้าสิงร่างข้า!"
หวังกุยหลันเริ่มสงสัย ทำไมเขาไม่กล้าสบตานาง หรือว่า... 'นี่มันเรื่องอะไรกัน?’
"เอาล่ะ ข้าจะตรวจอาการท่าน" หวังกุยหลันพูด พลางจับชีพจรที่ข้อมือของเจียงไห่ถัง
ทันใดนั้น เจียงไห่ถังก็ผุดลุกขึ้นนั่ง ทำเสียงแปลกประหลาด "โอ๊ะ โอ๊ย! ข้าเป็นวิญญาณร้าย! ข้าจะครอบครองร่างนี้!"
หวังกุยหลันอ้าปากค้าง มองเจียงไห่ถังที่กำลังทำท่าทางประหลาด นางหันไปมองหวังจูหรันที่ยืนอยู่ข้างๆ
‘ผีเข้าที่ไหนจะมาบอกคนอื่นว่าผีเข้า!’
"น้องสาว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?"
หวังจูหรันทำท่าตกใจ "โอ้! พี่สาว ดูเหมือนคุณชายเจียงจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงจริงเสียด้วย! เราต้องช่วยเขา!"
เจียงไห่ถังยังคงแสดงต่อไป เขาลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ ทำท่าเหมือนนกบิน "ข้าเป็นวิญญาณนกกระยาง! กาบ กาบ!"
หวังกุยหลันกลั้นขำสุดกำลัง นี่มันตลกสิ้นดี! หากจะเล่นละครทั้งทีก็เขียนบทให้สมเหตุสมผลหน่อยมิได้หรือไร
"น้องสาว" หวังกุยหลันหันไปพูดกับหวังจูหรัน "เจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี?"
หวังจูหรันรีบตอบ "เราต้องทำพิธีขับไล่วิญญาณ พี่สาว! ข้าเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมแล้ว!"
นางรีบหยิบถังน้ำเปล่าและกิ่งไม้ออกมา "นี่คือน้ำมนต์และคทาวิเศษ! พี่สาวช่วยทำพิธีขับไล่วิญญาณเถอะ!"
หวังกุยหลันมองอุปกรณ์ในมือน้องสาว แล้วเหลือบไปมองเจียงไห่ถังที่ยังคง "บิน" ไปมาบนเก้าอี้ นางตัดสินใจเล่นตามน้ำพวกเขา ไหนๆ ก็อุตส่าห์เตรียมของมาเสียขนาดนี้แล้ว
"ได้!" หวังกุยหลันตอบอย่างจริงจัง "ข้าจะทำพิธีขับไล่วิญญาณเดี๋ยวนี้!"
นางคว้าถังน้ำและกิ่งไม้ แล้วเดินเข้าไปหาเจียงไห่ถัง "วิญญาณร้าย! เจ้าจงออกไปจากร่างของคุณชายเจียงเดี๋ยวนี้!"
หวังกุยหลันแกว่งกิ่งไม้ไปมาเลียนแบบการไล่ผีที่เคยดูในซีรีย์แล้วตามด้วยสาดน้ำใส่เจียงไห่ถังเต็มแรง
"โอ้ย!" เจียงไห่ถังร้องลั่น เซล้มลงจากเก้าอี้เนื้อตัวเปียกปอนดูน่าเวทนาไร้ราศีบัณฑิตหนุ่มของเมืองไปในทันที
หวังจูหรันรีบเข้าไปช่วยพยุงคู่หมั้น "คุณชายเจียง! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? วิญญาณร้ายออกไปแล้วหรือ?"
เจียงไห่ถังไอโขลกๆ "ใช่... ข้า... ข้ากลับมาแล้ว... แต่เหตุใดถึงเปียกไปทั้งตัวเช่นนี้?"
หวังกุยหลันยืนกอดอก มองทั้งสองคนด้วยสายตาขบขัน "เอาล่ะ พอได้แล้ว ทั้งสองคน เลิกแสดงละครได้แล้ว"
หวังจูหรันและเจียงไห่ถังหันมามองกัน สีหน้าเจื่อนลง
"พี่สาวรู้ได้อย่างไรกัน?" หวังจูหรันถามเสียงอ่อย
หวังกุยหลันหัวเราะ "ก็การแสดงของพวกเจ้ามันย่ำแย่เกินไปน่ะสิ โดยเฉพาะคุณชายเจียง ท่านควรไปเรียนการแสดงเพิ่มเติมนะ หรือท่านชอบด้านนี้จริงจังไปเรียนกับคณะงิ้วก็ได้"
“ข้าไม่ได้...” คุณชายเจียงเสียหน้ายิ่ง ไม่น่าทำตามที่คู่หมั้นวางแผนเลย แต่เขาก็ได้แต่ความรู้สึกอดสูไว้ในอก
"แต่พี่สาว" หวังจูหรันพูดขึ้นอย่างสิ้นความอดทน "เหตุใดพี่ถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ล่ะ? ถ้าไม่ใช่วิญญาณเข้าสิง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
“ผมไม่รู้” เขาส่ายหน้าไปมา “ผมเปิดหนังสือเล่มนี้ไม่รู้กี่ร้อยครั้งก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บางทีอาจเป็นคุณที่ต้องเปิดมัน”“ฉัน...”“ถ้าคุณอยากกลับนะ” เขาถอนหายใจเบาๆ “ได้ยินว่าคุณกับคู่หมั้นของน้องสาว...”“ไม่ใช่เสียหน่อย” หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่ “นั้นมันเรื่องของเจ้าของร่างนี้ต่างหาก”“ผมไม่รู้ว่าเราจะกลับไปได้ไหม แต่ก็อยากลองดู” โอวหยางฮุ่ยค่อยยิ้มออกมาได้ “แต่เราต้องทิ้งทุกอย่างที่นี่กลับไปในปี2025”หญิงสาวกวาดตามองโดยรอบแล้วคลี่ยิ้มออกมา “ฉันคิดว่า...ฉันเข้าใจที่คุณปู่อยากให้ฉันสานต่อแพทย์แผนจีนแล้ว ท่านอยากให้ฉันเป็นหมอที่ดี บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ฉันมาที่นี่”“ถ้าคุณไม่มีอะไรติดค้างที่นี่...เราลองเปิดตำราเล่มนั้นดูไหม ถ้าได้กลับก็ดี ไม่ได้กลับก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงอยู่ในร่างโอวหยางฮุ่ยก็ไม่ได้แย่”หวังกุยหลันหัวเราะออกมา เธอผ่อนคลายลงมากแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าจับมือเขาอยู่จึงดึงมือตัวเองออกมา“ร่างนี้ก็ไม่ได้แย่ แต่อยากกลับบ้านมากกว่า”“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้า...ถ้ากลับไม่ได้ ผมก็อยู่เป็นเพื่อนคุณ”“คุณไม่โกรธฉันเหรอที่ต้องมาติดแหงกในโลกนี้เพราะฉัน”เขายักไหล่แล้วส่งยิ้มทะเล้น “ก็มาแล้วจะให้
“คุณชาย....ท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดข้าพบท่านบ่อยเหลือเกิน ท่านคงว่างงานมากสินะ”ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอารมณ์ดี สตรีนางนี้ไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ สมแล้วที่...เป็นที่หมายตาและ... "หากข้าบอกว่า...ข้าไม่ใช่คนธรรมดาล่ะ?"นางจ้องหน้าเขาแล้วฉีกยิ้มยียวน “แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ใช่คนธรรมดาล่ะ”‘เพราะข้าเองก็ทะลุมิติมาจากปีค.ศ.2025’“หรือท่านเจ็บป่วยเป็นโรคประหลาดหรือโรคที่พูดกับผู้อื่นไม่ได้” นางกวาดตามองชายตรงหน้า เขารูปร่างสูงใหญ่สวมชุดเรียบๆ แต่ตัดเย็บประณีตสีเข้ม นางเพิ่งสังเกตว่าชายผู้นี้ก็มีใบหน้าหล่อเหลาไม่น้อย ถ้าเป็นยุคปัจจุบันคนผู้นี้ก็เป็นดารานักแสดงได้สบายๆเลยทีเดียว“เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น”“ท่านมาทดสอบข้าหลายครั้งแล้วมิใช่รึ” นางเบ้ปากใส่ “คนป่วยที่รักษายากที่สุดก็คือคนป่วยที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย”โอวหยางฮุ่ยกระแอมไอ “หากเจ้ารู้แล้ว เจ้าจะลองรักษาข้าดูหรือไม่”“ข้าไม่ได้ตรวจร่างกายท่าน ไม่ทราบอาการ จะรู้ได้อย่างไรว่ารักษาได้หรือไม่” คราวนี้นางตอบจริงจัง“เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะให้รถม้าไปรับคุณหนูมาที่จวนของข้า”“ได้ ข้าจะรอ”รถม้าเรียบหรูประเมินด้วยสายตาก็รู้ว่าเป็นรถม้าชั้นดี หวังกุ
หลิวเสี่ยวเฟยเชิดหน้า "แน่นอน ข้าเป็นถึงบุตรสาวของอดีตหมอหลวง ไม่เหมือนใครบางคนที่โชคดีได้ตำแหน่งมาแบบไม่น่าเชื่อ"บรรยากาศรอบข้างเริ่มตึงเครียด ทุกคนต่างหันมามองการเผชิญหน้าของสองสาวโอวหยางฮุ่ยยิ้มมุมปาก "คุณหนูหลิว ข้าว่าท่านอิจฉาความสามารถของคุณหนูกุยหลันหรือไม่?"หลิวเสี่ยวเฟยหน้าแดงก่ำ "อิจฉา? ฮึ! ข้าแค่สงสัยว่านางใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรถึงได้ชนะการแข่งขัน"หวังกุยหลันกำลังจะตอบโต้ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น"กรี๊ด! งูงู!"เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังลั่นทุกคนหันไปมอง เห็นงูเขียวตัวใหญ่เลื้อยอยู่บนพื้น มุ่งหน้ามาทางกลุ่มของหวังกุยหลัน"ช่วยด้วย!" หลิวเสี่ยวเฟยร้องเสียงหลง พยายามปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะใกล้ๆ แต่โต๊ะนั้นเป็นโต๊ะวางขนม พอหลิวเสี่ยวเฟยกระโดดขึ้นไป มันก็พังครืนลงมา ทำให้ขนมและน้ำชากระเด็นเปรอะเปื้อนไปทั่ว โดยเฉพาะบนร่างของหญิงผู้ก่อเหตุอย่างคุณหนูหลิว หวังกุยหลันมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ แต่แล้วนางก็สังเกตเห็นบางอย่าง"เดี๋ยวก่อน..." นางพูดเสียงดัง "นั่นไม่ใช่งูจริงนี่!"นางก้มลงหยิบ "งู" ตัวนั้นขึ้นมา มันเป็นแค่เชือกผ้าไหมสีเขียวที่หลุดมาจากชุดของใครบางคน ทุกคนอ้าปากค้
"ท่านรู้ได้อย่างไร?" หวังกุยหลันทวนคำ “หรือท่านเป็นคนทำ!”"หึ" โอวหยางฮุ่ยเบ้ปากแล้วยกมือขึ้นกอดอก "เรื่องแค่นี้ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก"หวังกุยหลันขมวดคิ้ว "อุบัติเหตุ?"โอวหยางฮุ่ยยิ้มกริ่ม "ย่อมเป็นเช่นนั้น "หวังกุยหลันคร้านจะพูดจากับเขาอีก นางหันไปสนใจคนเจ็บอ้าตรวจจนมั่นใจว่าไม่มีส่วนใดแตกหักหรือบอบช้ำภายใน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัว” โอวหยางฮุ่ยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม“ข้าเป็นหมอ จะไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวได้อย่างไร” นางเลิกคิ้วเป็นท้าทายแล้วหันไปเขียนเทียบยาให้คนเจ็บที่ได้สติแล้ว“น่าสนใจ” ชายหนุ่มพูดแล้วเดินเข้าไปใกล้ หวังกุยหลันขยับตัวถอยห่างทำให้บุรุษหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นางกลับเชิดใบหน้าขึ้นแล้วเอ่ย“ท่านไม่รู้รึว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัว”โอวหยางฮุ่ยหัวเราะลั่นไม่เคยมีสตรีใดกล้าต่อปากต่อคำเขาเช่นนี้มาก่อน "โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาด คุณหนูกุยหลัน ข้าชอบท่านมากจริงๆ"หญิงสาวได้อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน เขาพูดทิ้งไว้ไร้คำอธิบายแล้วก็หมุนตัวเดินปะปนกับชาวบ้านหายไปจากสายตานาง‘ประหลาด! เจ้านั้นแหละคนประหลาด!’แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห
"หา!?" ลุงหลี่อุทาน "แต่ถ้าข้าไม่ดื่มเหล้า แล้วใครจะร้องเพลงให้ข้าฟังล่ะ?"หวังกุยหลันได้แต่ส่ายหน้า "ลุงหลี่..."บ่ายวันนั้น ขณะที่หวังกุยหลันกำลังจัดยาให้คนไข้คนสุดท้าย จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก"หลีกทาง! หลีกทางด้วย!" เสียงตะโกนดังขึ้นประตู โรงหมอเปิดผางออก เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มรูปงามในชุดขุนนาง"คุณชายเจียงไห่ถัง!" หวังกุยหลันอุทานด้วยความประหลาดใจเจียงไห่ถังเดินเข้ามาในโรงหมอสีหน้าดูกระวนกระวายใจ "คุณหนูกุยหลัน ข้ามีเรื่องด่วนต้องปรึกษาท่าน!"หวังกุยหลันรีบลุกขึ้น "มีอะไรหรือเจ้าคะ? ท่านดูไม่ค่อยสบายเลย"เจียงไห่ถังมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระซิบ "ข้า... ข้ามีปัญหาเรื่องการนอน"หวังกุยหลันเลิกคิ้ว "อาการนอนกรนของท่านกลับมาอีกหรือ?""ไม่ใช่!" เจียงไห่ถังส่ายหน้า "คราวนี้ข้า... ข้าฝันประหลาด""ฝันประหลาด?" หวังกุยหลันทวนคำ "ประหลาดอย่างไรหรือเจ้าคะ?"เจียงไห่ถังกลืนน้ำลายเอื๊อก "ข้าฝันว่าตัวเองกลายเป็นเป็ด แล้วว่ายน้ำอยู่ในทะเลเต้าหู้"หวังกุยหลันพยายามกลั้นขำ "แล้ว... แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหนหรือเจ้าคะ?""ปัญหาคือ..." เจียงไห่ถังทำหน้าเครียด "พอข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็อยากกินแต
หวังกุยหลันมองโอวหยางฮุ่ยด้วยความประหลาดใจ 'เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน?'"เอาล่ะ" ท่านเจ้าเมืองพูดขึ้น "มาจบพิธีมอบรางวัลกันเถอะ"แต่เมื่อเขาสวมหมวกกลับไป จู่ๆ ก็เกิดอาการคันศีรษะอย่างรุนแรง"โอ๊ย! มันคัน!" ท่านเจ้าเมืองร้องลั่น เกาศีรษะไปมาหวังกุยหลันรีบเข้าไปช่วย "ท่านเจ้าเมือง! ท่านต้องถอดหมวกออกก่อน!"ในที่สุด พิธีมอบรางวัลก็จบลงด้วยภาพของท่านเจ้าเมืองนั่งเกาหัวแปรงๆ หวังกุยหลันกำลังทายาให้ และโอวหยางฮุ่ยยืนอุ้มกบอยู่ข้างๆ ชาวบ้านได้แต่หัวเราะและปรบมือด้วยความขบขันหวังกุยหลันถอนหายใจ คิดในใจ ' นี่มันงานมอบรางวัลหรืองานละครตลกกันแน่?'หลังจากพิธีมอบรางวัลอันวุ่นวาย ท่านเจ้าเมืองได้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยให้หวังกุยหลันที่จวนของท่าน บรรดาขุนนางและชาวบ้านชั้นสูงต่างมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง หวังกุยหลันยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ สวมชุดผ้าไหมเนื้อดีสีแดงแสด แต่ใบหน้ายังคงมีรอยสีเขียวจางๆ"ขอแสดงความยินดีด้วย คุณหนูกุยหลัน!" แขกผู้หนึ่งเอ่ยทัก "ท่านสมควรได้รับตำแหน่งหมอหลวงเมืองจริง"หวังกุยหลันยิ้มเขินๆ "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"ทันใดนั้น เสียงโวยวายก็ดังขึ้นจากโต๊