Home / รักโบราณ / ห้วงฝันใต้แสงจันทรา / บทที่ 1.1 พบกันครั้งแรกในวัยเยาว์

Share

บทที่ 1.1 พบกันครั้งแรกในวัยเยาว์

last update Last Updated: 2024-11-21 10:00:23

“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ นายท่านบอกว่าวันนี้จะพาคุณหนูไปเดินเล่นในเมืองเจ้าค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์กำลังปลุกคุณหนูของนาง

“เสียงใครน่ะ ซินซินกำลังปลุกเราเหรอ” หลิวลี่เซียงพึมพา

“คุณหนู สายแล้วเจ้าค่ะ ปกติคุณหนูตื่นเช้าตลอด คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ว้าวุ่นใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย

“ตื่นแล้ว” เสียงหลิวลี่เซียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกำลังงัวเงีย

“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”

คุณหนู เตรียมน้ำอาบ เสื้อผ้า โตขนาดนี้แล้วทำเองได้หมดน่า เธอคิดในใจ ถ้าไม่ฝันอยู่ก็โดนซินซินแกล้งแล้วล่ะ แต่เมื่อลืมตาดูดี ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแบบโบราณ กำลังนอนบนฟูกหนา ผมยาวสลวยดำขลับแถมชุดนอนดูแปลกไป เธอคิดว่าคงกำลังฝันอยู่

“คุณหนู ทุกอย่างพร้อมแล้ว อาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ”

หลิวลี่เซียงนึกฉงนในใจ ลุกขึ้นเดินออกมาตามเสียง เธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ดวงตากลมโต ใส่ชุดโบราณ กำลังหอบผ้าผืนใหญ่อยู่ ใบหน้านั้นจ้องมองมาหาเธอด้วยความสดใส เมื่อมองภาพเบื้องหน้าให้กว้างขึ้น เธอจึงสังเกตเห็นผู้คนมากมาย บ้างกวาดพื้นอยู่ บ้างตัดต้นไม้อยู่ ผู้หญิงหลายคนเดินถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักและผลไม้ ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่เปิดออก

“คุณหนู สายแล้ว ต้องรีบอาบน้ำให้เสร็จเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ นายท่านกำลังรอคุณหนูอยู่ที่ศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินกุลีกุจอเข้ามาหาเธอ

“ใครนะ เดี๋ยวก่อน ๆ” หลิวลี่เซียงคิดว่าถึงจะเป็นความฝัน แต่เรื่องราวที่จับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอรีบยื่นมือออกไปห้ามทุกคน

“เอ๊ะ! มือใคร ทำไมเล็กจัง แล้วทำไมเสียงเราเป็นแบบนี้” เธอตกใจที่มองเห็นมือเล็ก ๆ จึงลองกำ ๆ แบ ๆ มือทั้งสองข้างหลายรอบทดสอบดูว่าใช่มือตัวเองหรือเปล่า แล้วรีบวิ่งเข้าห้อง

เธอเหลือบเห็นกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ภาพที่สะท้อนจากกระจกคือเด็กหญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบ เธอจึงเดินถอยหน้าถอยหลังอีกรอบ ลองจับหน้าตัวเองแล้วลองหยิกแขนดู

“โอ๊ย!” ดูเหมือนความฝันแต่ทำไมเจ็บจริงแบบนี้ ตื่นสิ หลิวลี่เซียง ตื่นได้แล้ว แต่ไม่ทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงของหญิงวัยกลางคนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณหนู ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”

“อื้อ เหมือนจะไม่สบาย วันนี้ขอนอนพักสักวันนะ”

“เสี่ยวจิ่ว แม่จะไปหานายท่าน เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูนะ”

หลิวลี่เซียงคิดหนักว่าสถานการณ์ตรงหน้าคืออะไร เพราะเมื่อวานเธอยังนั่งดูพระจันทร์ริมหน้าต่างห้องอยู่เลย

แต่ว่าทำไมเด็กคนนี้หน้าคุ้น ๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ป้าคนนั้น แล้วก็คนในกระจกนี่ หลิวลี่เซียงจ้องมองไปที่บานกระจกอีกครั้งเพื่อพยายามนึกว่าเคยเห็นทุกคนจากที่ไหน พลันความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว

“จิ่วเอ๋อร์” เธอส่งเสียงเรียกเบา ๆ

“เจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

นั่นไง ใช่จริง ๆ ด้วย ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ เสียงทุ้มของชายผู้หนึ่งดังมาจากทางประตู

“เหลียนฮวา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายหรือ” เขาถามพลางเดินมาใกล้ ๆ ด้วยความเป็นห่วง

ชัดเลยทีนี้ นี่ฉันเข้ามาอยู่ในความฝันตัวเองเหรอนี่ เหลียนฮวา หรือ หลี่เหลียนฮวา ลูกสาวคนเดียวของเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลี่ไท่ เมื่อพอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้ว เธอก็สวมบทเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบตามน้ำไป

“ข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” เธอตอบกลับ

“อากาศวันนี้หนาวเย็นยิ่งนัก เช่นนั้น เจ้าพักอยู่ที่เรือนเถิด อาการดีขึ้นแล้ว วันหลังพ่อจะพาเจ้าเที่ยวเล่นในเมือง” เขาบอกนางก่อนเดินไปพร้อมกำชับทุกคนให้คอยอยู่ดูแลนาง

เยี่ยมเลย ค่อยยังชั่ว ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย พอให้มีเวลาปะติดปะต่อเรื่อง

“จิ่วเอ๋อร์ ขอกระดาษกับพู่กันที” หลิวลี่เซียงเขียนชื่อคนที่จำได้คร่าว ๆ ลงไปในกระดาษ เราคือหลี่เหลียนฮวา เด็กคนนั้นคือจิ่วเอ๋อร์ อายุน้อยกว่าหนึ่งปี ป้าคนนั้นคือแม่บ้านจาง ที่นี่จวนสกุลหลี่ ท่านพ่อหลี่ไท่

“คุณหนูเขียนอันใดหรือเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์มองกระดาษด้วยความสงสัย

ตายละ ลืมไปว่าอายุเท่านี้เพิ่งจะหัดเขียนตัวอักษร

“ข้าแค่นึกอยากขีด ๆ เล่น จิ่วเอ๋อร์ เจ้ามีอันใดก็ไปทำเถอะ ข้าจะนอนพักแล้ว”

“เจ้าค่ะ คุณหนู” จิ่วเอ๋อร์รับคำแล้วค่อย ๆ เดินออกไป

เมื่ออยู่คนเดียวหลิวลี่เซียงก็เริ่มเขียนเรื่องราวความฝันที่พอจะนึกออกก่อนเก็บไว้ในลิ้นชักพลางคิดในใจว่านอนหลับไปแล้วพรุ่งนี้คงได้ตื่นจากฝัน

สองวันต่อมา

“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์ถามไถ่ พลันทำให้คนที่อยู่ด้านในลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย

ตื่นมาก็ยังคงอยู่ในฝันสินะ เฮ้อ

หลังจากเปลี่ยนชุด ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลี่ไท่จึงพาหลี่เหลียนฮวาไปเดินเล่นในเมือง พร้อมกับจิ่วเอ๋อร์ อาเฉินและแม่บ้านจาง

เมื่อก้าวพ้นประตูไม้บานใหญ่ ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยลานหิมะขาวโพลนปกคลุมถนนหนทาง แสงแดดอุ่น ๆ สะท้อนระยิบระยับ เกล็ดหิมะโปรยปรายเป็นละอองเล็ก ๆ ท้องฟ้าสีครามประดับลายด้วยเมฆสีขาวที่ล่องลอยไปตามสายลม

สวยงามมม สุดยอดดด หลี่เหลียนฮวาคิดในใจเมื่อได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากเดินมาเรื่อย ๆ ก็พบร้านค้าต่าง ๆ มากมายราวกับอยู่ในฉากหนังยุคโบราณ นางเดินไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความตื่นเต้น

“นายท่าน วันนี้ร้านเสื้อผ้านัดไปรับของแล้ว ข้าขอตัวสักครู่นะเจ้าคะ” แม่บ้านจางเอ่ยขึ้นก่อนรีบเดินไปอีกทางพร้อมอาเฉิน ลูกชายของนาง

“เหลียนฮวา ที่ติดผมลายดอกบัวช่างเหมาะกับเจ้า ชอบหรือไม่” หลี่ไท่ถามนาง

“เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางตอบกลับพลางยิ้มด้วยความสดใส หลังจากซื้อที่ติดผมเรียบร้อยแล้ว นางชวนเขาเดินมาที่ร้านขายถังหูลู่

“ท่านพ่อ ขอสี่ไม้ได้ไหมเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาอ้อนเขาเพราะกำลังหิวหลังจากเดินเล่นมาเกือบชั่วยาม ซึ่งท่านพ่อของนางก็มักจะตามใจบุตรสาวผู้นี้อยู่เป็นนิจ

“จิ่วเอ๋อร์ ข้าให้เจ้า” นางยื่นถังหูลู่ไม้หนึ่งให้จิ่วเอ๋อร์

เมื่อได้ของกินอร่อย เขาก็พานางเดินมาทางสวนดอกไม้เพื่อนั่งเล่นต่ออีกสักพักก่อนกลับบ้าน

ด้านหน้าสวนดอกไม้มีทะเลสาบที่เวลานี้กลายเป็นน้ำแข็ง ศาลาริมน้ำทางด้านซ้ายมีเด็กชายผู้หนึ่งนั่งตัวสั่นเทา เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

หลี่เหลียนฮวาจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ พินิจมองเขาอย่างถ้วนถี่ เด็กผู้นี้เหมือนหลุดจากภวังค์ หันมามองนางกับถังหูลู่ในมือ แววตาใสซื่อและหน้าตามอมแมมทำให้นางรู้สึกสงสารจึงยื่นถังหูลู่ให้เขาหนึ่งไม้ ก่อนขอผ้าคลุมกันหนาวหนึ่งตัวมาห่มให้เขา

“ใส่ไว้นะจะได้ไม่หนาว แล้วก็กินให้อร่อย ถ้าเจ้าหิวก็มาที่จวนสกุลหลี่” หลี่เหลียนฮวากล่าวกับเขาอย่างอ่อนโยน ทำให้คนเป็นพ่ออย่าง หลี่ไท่มองบุตรสาวด้วยความเอ็นดูและแปลกใจกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของนาง

แม้นางจะเป็นเด็ก แต่บัดนี้นางมักจะทำอะไรเหมือนผู้ใหญ่เกินวัย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี เขาให้เงินเด็กชายผู้นี้หนึ่งถุงไว้ใช้จ่าย

หลังจากนั้นทุกคนเดินกลับบ้าน โดยมีสายตาของเด็กผู้นั้นมองตามอย่างไม่วางตา

เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลี่เหลียนฮวา แต่ฐานะความเป็นอยู่ของเขากับนางช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ความยากจน อดอยากหิวโหย สลัดตัวหนีอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ทั้งยังเป็นเด็กกำพร้าบิดามารดาต้องอยู่ตัวคนเดียวช่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้กินข้าวสักชาม ทั้งอากาศในวันนี้หนาวเหน็บจนเนื้อตัวแทบด้านชาไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อได้พบนางก็ราวกับเหมือนแสงหนึ่งส่องสว่างมาที่ใจของเขา ผ้าคลุมกันหนาวตัวนี้อบอุ่นยิ่งนัก

เมื่อหลี่เหลียนฮวากลับมาถึงบ้านแล้ว อดนึกถึงเด็กคนนั้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่เงินถุงนั้นน่าจะพออยู่ไปได้สักเดือน ไม่น่ามีปัญหาอะไร

หลังจากใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาได้สองอาทิตย์ นางก็เริ่มปรับตัวเข้ากับคนที่นี่ได้ ไม่มีทางรู้เลยว่าความฝันนี้จะจบลงเมื่อไร

วันเวลาผ่านพ้นไปแต่ละวัน ทำให้นางแทบจะลืมว่ากำลังหลงใหลอยู่ในความฝัน ชีวิตวัยเด็กของหลี่เหลียนฮวาทำให้นางดูสนุกไม่น้อย เพราะโลกความจริงตอนนี้นางต้องรีบปั่นการบ้านหลายวิชา

เรื่องของหลี่เหลียนฮวา ที่ฝันตอนนั้นมีอะไรอีกนะ นอกจากเกิดมาเป็นลูกขุนนางชั้นสูงแล้ว ชีวิตก็เรียบง่าย สุขสบายดี แต่ทำไมรู้สึกว่าเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง นางคิดในใจพลางนึกเรื่องราวทั้งหมดแต่ก็นึกไม่ออก

“จิ่วเอ๋อร์ ไปเที่ยวในเมืองกันเถอะ ข้าอยากกินซาลาเปา” นางหันไปชวนจิ่วเอ๋อร์ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ

“คุณหนู แต่วันนี้นายท่านเข้าวัง”

“แม่บ้านจางล่ะ ไปกับนางก็ได้ อาเฉินก็ด้วย”

“เจ้าค่ะ คุณหนูรอตรงนี้ก่อน”

บรรยากาศร้านค้าในเมืองเต็มไปด้วยความครึกครื้น ชาวบ้านเดินกันขวักไขว่อย่างเช่นเคย หลี่เหลียนฮวาเดินตรงดิ่งไปที่ร้านซาลาเปาตรงหัวมุมถนน กลิ่นหอมของซาลาเปาลอยไปทั่วทั้งซอย

“ซาลาเปาสิบลูก หมั่นโถวอีกสิบ” หลี่เหลียนฮวาพูดด้วยความมุ่งมั่น แล้วยื่นเงินจ่ายพ่อค้า จากนั้นแจกให้กับจิ่วเอ๋อร์ และอาเฉินคนละสองลูก

“คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์ร้องบอกหลี่เหลียนฮวาเมื่อเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล ด้านหลังมีกลุ่มเด็กผู้ชายตัวใหญ่กว่าเขาไล่ตามมาติด ๆ แม้ทั้งสองมือของหลี่เหลียนฮวาจะถือซาลาเปาไว้นางก็สามารถเอี้ยวตัวหลบเด็กชายคนแรกไปได้ แต่ทว่าขาทั้งสองข้างเหมือนทรงตัวไม่อยู่ เมื่อแรงของกลุ่มเด็กที่วิ่งตามหลังมาเฉี่ยวมือข้างหนึ่ง ก็เพียงพอที่ร่างกายของนางจะโอนเอนแล้วล้มลง ซาลาเปาสองลูกที่อยู่ในมือตกพื้นกลิ้งหลุน ๆ ทำให้แม่บ้านจางและทุกคนร้องเสียงหลง

ไม่นะ ซาลาเปาของข้า เจ้าเด็กพวกนี้ หลี่เหลียนฮวารู้สึกเสียดายที่ทำซาลาเปาหลุดมือทั้ง ๆ ที่นางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย

“คุณหนู เป็นอันใดไหมเจ้าคะ” แม่บ้านจางรีบเข้ามาพยุง ปัดฝุ่นตามเนื้อตามตัวและตรวจดูร่างกายของนาง

“ซาลาเปาของข้า” หลี่เหลียนฮวายกมือบอกไม่เป็นอะไร แล้วชี้นิ้วไปที่ซาลาเปาบนพื้น

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนู ในตะกร้ายังมีอีกเยอะเจ้าค่ะ”

“แต่ว่าเด็กคนแรกนั้นหน้าคุ้น ๆ รีบตามไปดูหน่อยอาเฉิน” หลี่เหลียนฮวาสั่งเขาแล้วรีบวิ่งตามไปพร้อมจิ่วเอ๋อร์ ทิ้งให้แม่บ้านจางยืนมึนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตามมา

เมื่อไล่ตามมาสักพักก็เห็นเด็กตัวใหญ่กลุ่มนี้กำลังยื้อแย่งของจากเด็กตัวเล็ก คนหนึ่งคว้าแขนข้างซ้าย คนหนึ่งเกาะขาขวาไว้ ส่วนอีกคนพยายามแกะมือของเขาออก

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเด็กยักษ์ หยุด!” หลี่เหลียนฮวาตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า นางรีบวิ่งไปดึงแขนคนที่ตัวโตสุดออกมา

ฮึบ! ทำไมดึงไม่ออก ฮึบ! ทำไมไม่มีแรงขนาดนี้ นางคิดในใจลืมไปว่าตัวนางเองก็เป็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงเจ็ดขวบ ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

“คุณหนู ๆ ” อาเฉินและจิ่วเอ๋อร์ที่วิ่งตามมาได้แต่ร้องเรียกทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นคุณหนูของพวกเขารีบวิ่งเข้าไป

“อาเฉิน ช่วยเด็กคนนี้ที จิ่วเอ๋อร์ รออยู่ตรงนั้น” นางบอกจิ่วเอ๋อร์เช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เข้ามา นางยังเด็กเกินไป แต่จิ่วเอ๋อร์ไม่ฟังคำ วิ่งเข้ามาเกาะแขนเจ้าเด็กยักษ์อีกข้าง

อาเฉินจับเจ้าเด็กยักษ์คนหนึ่งเหวี่ยงไปข้าง ๆ แล้วจับอีกคนที่กำลังดึงผมหลี่เหลียนฮวาอยู่แล้วทุ่มไปข้างหน้า

ต่างฝ่ายต่างชุลมุนตะลุมบอนกันได้สักพัก เมื่อกลุ่มเด็กยักษ์เห็นว่าจวนเจียนจะแพ้สู้ไม่ได้ก็ต่างพากันหนีไป

สภาพของทั้งเด็กชายผู้นี้ แม้จะดูมอมแมมซอมซ่อ แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ แล้ว เขาคือเด็กที่หลี่เหลียนฮวาเจอเมื่อครั้งก่อน นางพยุงตัวเขามานั่งอยู่ข้าง ๆ ต้นไม้ใหญ่ ถามว่าเขาเจ็บปวดตรงไหน มีบาดแผลอะไรหรือไม่ตามความเคยชิน

“ข้าเจ็บเล็กน้อย ทนได้” เขาตอบกลับมา

“เกิดเรื่องอันใด ทำไมคนพวกนั้นทำเจ้าเช่นนี้” นางถามด้วยความเป็นห่วง

“ข้าไม่รู้ พวกนั้นทำแบบนี้ตลอด” เขาตอบกลับอย่างใส่ซื่อ

“เฮ้อ เจ้าต้องรู้จักปกป้องตัวเองบ้างนะ มิเช่นนั้น เจ้าพวกนั้นจะมารังแกเจ้าอยู่เรื่อยไป” หลี่เหลียนฮวารู้สึกสงสารเขาจับใจ

“ตายแล้วคุณหนู” เสียงแม่บ้านจางอุทานด้วยความตกใจเมื่อวิ่งตามคุณหนูทัน

เอ่อ สภาพตอนนี้ จากคุณหนูกลายเป็นอะไรไปแล้วนี่ ทั้งหน้าตามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน แม่บ้านจางต้องตกใจมากแน่ หลี่เหลียนฮวาคิดในใจก่อนรีบบอกให้นางหายกังวลใจ

“แม่บ้านจาง เจ้าช่วยพาเด็กคนนี้ไปทำแผลที่บ้านได้หรือไม่”

“แต่คุณหนู...”

“เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง กลับจวนกันก่อนเถอะ” นางทำเสียงอ้อนก่อนหันไปบอกเด็กผู้นั้น

“กลับจวนกับข้า ไปทายา จะได้หายเจ็บ”

เขาพยักหน้าตอบกลับแทนคำพูด แล้วเดินตามนางกลับจวน

“แม่บ้านจาง เรื่องนี้ห้ามให้ท่านพ่อรู้นะ เห็นไหม ข้าไม่เป็นอะไรเลย”

“แต่คุณหนู อย่างไรก็ต้องแจ้งนายท่านนะเจ้าคะ”

“ไม่ได้ ท่านพ่อจะต้องดุพวกเขาแล้วก็เป็นห่วงข้ามากแน่ ๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” หลี่เหลียนฮวาพยายามหว่านล้อมแม่บ้านสุดกำลังเพื่อไม่ให้เรื่องถึงหูใต้เท้าหลี่

“เจ้าค่ะ คุณหนู” นางตอบรับแล้วหันไปหาอาเฉินกับเสี่ยวจิ่ว สองพี่น้องผู้เป็นลูกของนางและเด็กผู้นั้นที่มีสภาพไม่ต่างกัน ก่อนจะทายาให้ทั้งสามพลางดุไปด้วย

หลี่เหลียนฮวามองดูเขา จู่ ๆ นึกได้ว่าเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน หน้าตาท่าทางคลับคล้ายคลับคลา นางจึงเอ่ยปากถามชื่อแซ่เขา

“เจ้าชื่ออะไร บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด”

“ท่านยายเรียกข้าว่าเสี่ยวหาน ท่านยายไม่อยู่แล้ว ข้าอยู่บ้านคนเดียว หลังหมู่บ้านทางโน้น”

“ทำแผลเสร็จแล้ว เจ้ากลับบ้านดี ๆ ถ้าเจอเจ้าพวกนั้นกลับมาที่นี่นะ นี่ขนม ข้าว พอให้เจ้าอิ่มไปหลายมื้อ หากเจ้าหิวมาที่นี่นะ” นางพูดพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ให้คนไปส่งเขาได้หรือไม่ แม่บ้านจาง”

“เจ้าค่ะ คุณหนู”

หลังจากเสี่ยวหานกลับไปหลี่เหลียนฮวาหันมาพูดกับคนนั่งข้าง ๆ

“อาเฉินวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก ส่วนจิ่วเอ๋อร์ ห้ามทำแบบนี้อีกนะ ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บตัว” หลี่เหลียนฮวาพูดกับทั้งสองเหมือนเป็นผู้ใหญ่ สร้างความฉงนใจให้กับแม่บ้านจางอีกครา

“ทานข้าวเย็นกันเถอะ ข้าหิวแล้ว” นางรีบพูด

หลังจากทานข้าวเรียบร้อยแล้ว นางก็ตรงดิ่งเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำ เพราะรู้สึกเมื่อยเนื้อตัวจากเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อกลางวัน

หลี่เหลียนฮวาเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาราระยิบระยับประดับฟ้า ไม่มีแสงไฟจากที่ใดรบกวน

นางนึกถึงเสี่ยวหานและเรื่องราวที่ได้เจอในวันนี้

เสี่ยวหาน เสี่ยวหานเหรอ หน้าตาแบบนี้ เหตุการณ์แบบนี้ เสี่ยวหาน เจ้าใช่คนเดียวกับเด็กคนนั้นหรือไม่นะ ใช่หรือไม่แล้วอย่างไร ครั้งนี้ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ หลี่เหลียนฮวาเอ๋ย หลี่เหลียนฮวา เห็นทีการได้ฝันเรื่องนี้อีกครั้งจะสามารถช่วยเสี่ยวหานได้ เรื่องราวครานี้จะต้องเปลี่ยนไป ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ เสี่ยวหาน

หลังจากคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมุ่งมั่น หลี่เหลียนฮวาก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.5 นิจนิรันดร์(ตอนจบ)

    หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมาครบหนึ่งร้อยวัน เทพพิทักษ์กฎสั่งให้นำตัวเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงเข้ามาที่ท้องพระโรงเพื่อไต่สวนครั้งสุดท้าย หากดูจากภายนอกแล้ว หลิวลี่เซียงเหมือนกลับมาเป็นปกติ แต่เหล่าเทพเซียนทั้งหลายยังคงกังขาว่านางหายจากมนตร์ปีศาจแล้วหรือไม่ ส่วนเหรินฮ่าวหรานนั้น ร่างกายภายนอกดูไม่เป็นอันใดเพราะยาจากชิวฉือ แต่ภายในนั้นบอบช้ำเกินพรรณนา“เทพบุปผา ท่านยืนยันได้หรือไม่ว่าสติของท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว” เทพพิทักษ์กฎถามนางขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าเทพเซียน“อื้ม” นางพยักหน้า สายตายังคงมองไปที่เหรินฮ่าวหรานด้วยความเป็นห่วง เวลานี้ไม่คิดสนใจผู้ใดนอกจากเขา“เรื่องของท่านกับเขา เหรินฮ่าวหรานเคยกล่าวว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น ท่านยืนยันได้หรือไม่”“ข้ายืนยันได้ เขาไม่มีวันทำร้ายข้า ทั้งไม่จำเป็นต้องใช้มนตร์ปีศาจเพื่อให้ข้าหลงรักเขา ไม่ว่าจะอยู่ในชาติภพใด เขาจะคอยปกป้องข้า ไม่มีวันทอดทิ้ง” หลิวลี่เซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านเพิ่งได้พบเจอเขา เหตุใดถึงเชื่อใจเขา” เทพวารีก

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.4 ผีเสื้อสีขาว

    “เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.3 มิตรภาพผองเพื่อน

    เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.2 มนตร์ปีศาจจิ้งจอก

    เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.1 การรอคอยที่เนิ่นนาน

    ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.4 ห่วงหาอาวรณ์

    “เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status