เฉียวซุนวิ่งกลับไปที่ห้องเช่าจากที่ห่างไกลออกไป เสิ่นชิงที่กำลังกางร่มรออยู่ใต้ตึกอย่างกระวนกระวายใจเฉียวซุนเดินช้าลง “คุณป้าเสิ่น คุณป้ากลับมาได้อย่างไรคะ”เมื่อถึงบ้านแล้ว เสิ่นชิงหยิบผ้าขนหนูให้เธอเช็ดผม พลางพูดไปด้วยว่า “ป้าไม่ค่อยสบายใจเลยกลับมาดูสักหน่อย ฝนตกหนักขนาดนี้ ทำไมไม่นั่งแท็กซี่ล่ะ”เสิ่นชิงไล่เธอไปอาบน้ำ เมื่อเธอออกมาก็เตรียมซุปร้อนไว้ให้เธอเพื่อที่ร่างกายจะได้อบอุ่นครั้นเมื่อเฉียวซุนกำลังดื่มซุป เสิ่นชิงก็ถามด้วยความลังเล “เรื่องระหว่างเธอกับลู่เจ๋อเป็นยังไงบ้าง”เฉียวซุนหยุดชะงักนิดหน่อยครั้นแล้วเธอก็ดื่มซุปต่อ พูดด้วยเสียงค่อยๆ ว่า “เขาไม่ยอมหย่าค่ะ! และหนูก็ยังหาคนที่รับทำคดีหย่าร้างชั่วคราวไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามหนูได้ยื่นขอแยกทางแล้ว อาจใช้เวลาถึงสองปี ในตอนนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมแต่ก็ต้องหย่าอยู่ดีค่ะ”ป้าเสิ่นให้เฉียวซุนกินยาโดยไม่พูดอะไร เมื่อดูแผลที่ปลายนิ้วนั่น เสิ่นชิงก็รู้สึกเศร้าใจในตอนนั้น เฉียวซุนเป็นนักเรียนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งของโรงเรียนดนตรี ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงล้วนอยากจะรับเธอ อย่างอัจฉริยะทางดนตรีแซ่เว่ยคนนั้น ในช่วงแรกก็มาทาบทามตั้งหลาย
เฉียวซุนรู้สึกว่าสนิทสนมมากเกินไปขณะที่กำลังจะปฏิเสธ เฮ่อจี้ถังก็หยิบกล่องถนอมอาหารตรงที่นั่งผู้โดยสารออกมา “แม่ผมทำเกี๊ยวเองเลยนะ ไส้ขึ้นฉ่ายที่คุณชอบทาน ท่านจึงให้ผมเอามาให้คุณ”เฉียวซุนรู้สึกเกรงใจนิดหน่อย “คุณป้ายังจำได้!”เฮ่อจี้ถังยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาเอียงตัวเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร “ขึ้นรถสิ ผมผ่านทางนั้นพอดี”เฉียวซุนคิดว่าคงไม่ดีแน่หากจะปฏิเสธอีกครั้งเธอขึ้นรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย “รบกวนคุณแล้วค่ะ”มือทั้งสองข้างของเฮ่อจี้ถังจับพวงมาลัย เอียงตัวหันไปมองเธอที่กำลังกอดกล่องถนอมอาหารด้วยสายตาที่อบอุ่น “ถ้าหิวแล้วก็เปิดทานเถอะ มันกำลังร้อน ๆ อยู่”เฉียวซุนไม่คิดที่จะสนิทสนมมากเกินไป นอกจากนี้แล้วเธอกลัวว่าจะทำรถเขาสกปรก เธอส่ายหน้า “ฉันอยากกลับไปทานที่บ้านค่ะ”เฮ่อจี้ถังไม่บังคับเธอ เขาค่อย ๆ เหยียบคันเร่ง หลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยท่าทีสบาย ๆ “กลับบ้านแล้วค่อย ๆ ทานก็ดีเหมือนกัน!”รถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวขับออกไปอย่างช้า ๆห่างออกไปประมาณสิบเมตร ลู่เจ๋อมองไปยังรถที่เคลื่อนออกไป ด้วยสีหน้าอึมครึมราวกับจะมีน้ำสามารถหยดได้เขาหยิบโทรศัพท์มาจากในรถ ต่อสายโทรศัพท์หาใครบางคน ไม่นานเขาก็ได้คำ
ลู่เจ๋อและเธอเคยใช้ชีวิตสามีภรรยาร่วมกันมานานกว่าสามปีเขารู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้เธอมีอารมณ์ร่วมได้อย่างเร็ว ทำอย่างไรให้เธอสบาย และทําอย่างไรให้เธออ่อนปวกเปียกจนทนไม่ไหวในทางเดินที่มืดและทรุดโทรม ชายหญิงนัวเนียกันอยู่อย่างนั้นพวกเขาได้รับการศึกษาระดับสูงมาตั้งแต่เด็ก โดยที่เฉียวซุนเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดีโดยแท้ ส่วนลู่เจ๋อก็ยิ่งดูพิถีพิถันกับสถานที่และรักความสะอาดเป็นอย่างมากแต่ในเวลานี้ เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วเขาต้องการเห็นเธอในสภาพที่พังทลาย อยากเห็นเธอร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและไร้เรี่ยวแรง แล้วก็เรียกชื่อของเขาอย่างไม่รู้ตัวออกมา...เฉียวซุนแทบจะเสียสติ“ไม่นะ!ไม่ใช่สักหน่อย!”เสียงของเธอแหบแห้งและสั่นเครือ แต่กลับสามารถทำให้แรงปรารถนาของผู้ชายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกทุกครั้งที่เธอพยายามดิ้นรนออกมาเพียงเล็กน้อย เธอก็กลับถูกลู่เจ๋อกดเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็จะปฏิบัติต่อเธออย่างรุนแรงและหยาบคาย แม้กระทั่งกระซิบไปที่ใบหูของเธอด้วยเสียงพึมพำที่ชั่วร้าย...“รู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร?”“ไม่เห็นว่าเขาจะคล้ายกับผมสักเท่าไหร
ในตอนที่เฉียวซุนจากไป ขาของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงไปอย่างสิ้นเชิงแต่เธอยังคงพยายามอดกลั้นเอาไว้ ไม่อยากให้ลู่เจ๋อมองออก เพราะเกรงจะแย่ไปกว่านี้และในความจริง มันจะมีอะไรอีกล่ะ?มันก็แค่ฉากรักระหว่างชายหญิงเท่านั้น ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ท่าทางที่แย่ๆลู่เจ๋อก็เคยใช้กับเธอมาก่อนแล้วทั้งนั้น และในตอนนี้มันก็แค่เพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างก็เท่านั้นเองยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ทำจริงๆสักหน่อยทางเดินยังคงมืดครึ้ม กลิ่นอายการพัวพันระหว่างชายหญิงก็ยังคลุมเครืออยู่แบบนั้น เฉียวซุนกลั้นหายใจแล้วก้มลงไปหยิบเกี๊ยวทำมือที่ตกอยู่กล่องนั้นและไวโอลินที่ถูกละเลยขึ้นมาเธอลากร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับมาบ้าน ขณะที่กำลังจะเปิดประตู ก็มีเสียงเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมา“เฉียวซุน!”จู่ๆไฟทางเดินก็สว่างขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคย เฉียวซุนก็ได้พึมพำอย่างไม่รู้ตัวออกมาว่า“หลินเซียว”ผ่านไปสักพัก เธอก็ดึงสติกลับมาได้“เธอรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”“ฉันไปโรงพยาบาลมาน่ะ ป้าเสิ่นให้ที่อยู่ฉันมา”หลินเซียวพูดพลางยกคางขึ้น“เพิ่งลงเครื่องก็มาเลย ทำอะไรให้ฉันกินหน่อยสิ ฉันหิวมาเกือบ12ชั่วโมงแล้วนะ อาหารบนเครื่องไม่อร่อยเ
เฉียวซุนพึมพำออกมา“ฉันรู้!ลู่เจ๋อเป็นคนเชิญมาน่ะ”หลินเซียวตกตะลึง“งั้นชู้รักนั่นก็คือไป๋เซียวเซียวยังงั้นเหรอ?...เฉียวซุนเธอว่าสองคนนั้นทำไมไม่ไปผุดไปเกินสักทีนะ!หากตอนนั้นไม่ใช่เกิดผิดพลาดขึ้นมา เธอก็คงจะไปเรียนต่อกับอาจารย์เว่ยที่ต่างประเทศตั้งนานแล้วนะ แล้วก็คงไม่ต้องมาปรนนิบัติพัดวีลู่เจ๋ออยู่แบบนี้หรอก!”หลินเซียวสูบบุหรี่เพื่อระงับอาการตื่นตระหนกแต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยังอดก่นด่าออกมาไม่ได้ว่า“ลู่เจ๋อนี่แผนสูงจริงๆเลยนะ แค่นอนด้วยก็คุ้มขนาดนี้แล้ว!”เธอคิดว่าเฉียวซุนคงจะถอยอย่างแน่นอนแต่เฉียวซุนกลับพูดอย่างเรียบๆออกมาว่า“อาจารย์เว่ยโทรหาฉันแล้ว เขาบอกว่าหวังว่าภายในสี่ปีที่เขากลับประเทศ ฉันจะไปเรียนกับเขาได้”หลินเซียวรู้สึกตื่นเต้นแบบสุดๆ จนต้องดับบุหรี่เลยทีเดียว“หากเธอพลาดโอกาสแบบนี้ไปอีก เฉียวซุน ฉันจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเธอไปแน่ๆ”เฉียวซุนยิ้มเจื่อนๆ“ฉันรู้”ในที่สุดอารมณ์ก็ผ่อนคลายลง หลังจากที่เฉียวซุนเก็บจานชามเรียบร้อยแล้ว เธอก็อาบน้ำและกลับไปที่บนเตียงอีกครั้งโดยที่หลินเซียวได้ผล็อยหลับไปแล้วเฉียวซุนนอนอยู่ข้างๆหลินเซียว และอดไม่ได้ที่จะพิงไหล่ของเธอเอาไว
ลู่ซื่อกรุ๊ปเลขาฉินเคาะประตู หลังจากได้รับการอนุญาตแล้ว เธอก็ผลักประตูเข้าไปลู่เจ๋อกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ โดยที่ปลายสายเป็นคุณนายลู่ และเนื้อหาการสนทนานั้นก็เป็นเรื่องที่เลขาฉินกำลังจะรายงานกับลู่เจ๋ออยู่พอดี[ลู่เจ๋อ ลูกปล่อยให้เฉียวซุนออกหน้าออกตาแบบนี้ได้ยังไง?][ลู่จิ้นเซิงเป็นใครกัน?][แล้วยังจะคนที่ชื่อหลินเซียวนั่นอีก ชื่อเสียงแย่ขนาดนั้น เฉียวซุนจะไปมาหาสู่กับเธอไม่ได้อย่างเด็ดขาด!ลู่เจ๋อ ลูกต้องคอยดูภรรยาของตัวเองหน่อยนะ]......และน้ำเสียงของลู่เจ๋อก็แฝงความเฉยเมยอยู่เล็กน้อย“แม่ครับ เฉียวซุนกำลังอาละวาดอยากจะหย่ากับผมอยู่นะครับ!แล้วจะคอยดูได้ยังไง?”คุณนายลู่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตระกูลลู่เป็นอย่างมากเธอพูดพร่ำอยู่นานโดยลูกชายไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย และเธอก็วางสายไปอย่างโกรธลู่เจ๋อวางโทรศัพท์ลง มองไปทางเลขาฉินแล้วพูดว่า“เฉียวซุนไปทำงานที่ลู่จิ้นเซิงงั้นเหรอ?”และเลขาฉินต่างหากล่ะที่อยากจะพูดจู่ๆเธอก็เห็นกล่องกำมะหยี่วางอยู่ข้างมือของลู่เจ๋อ เธอจำกล่องนั้นได้ และภายในเป็นแหวนแต่งงานของเฉียวซุนนั่นเอง ซึ่งหากเมื่อวางอยู่ข้างๆมือแบบนี้ คาดว่าเขาจะต้องเปิดออกมา
เขาตั้งใจที่จะทำให้เฉียวซุนลำบากใจ จึงหันข้างมายิ้มๆ แล้วพูดด้วยความหมายหยั่งเชิงเล็กน้อยขึ้นมาว่า“ลู่เจ๋อ เฉียวซุนก็อยู่ด้วยหรือเนี่ย!”ลู่เจ๋อเล่นไฟแช็กโดยไม่พูดอะไรสักคําและหลีรุ่ยก็แน่ใจแล้วว่า ลู่เจ๋อไม่ได้สนใจเฉียวซุนแต่อย่างใด เขาจึงหันไปทักทายเฉียวซุนที่อยู่บนเวที“เฉียวซุน!”เฉียวซุนหันมามองเธอรู้ว่าหลีรุ่ยไม่มีเจตนาดี แต่ลู่จิ้นเซิงก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอจำเป็นต้องไว้หน้าลู่จิ้นเซิงอย่างไม่มีทางเลือกเมื่อเฉียวซุนเดินเข้ามา หลีรุ่ยก็รินไวน์แดงสามแก้วให้กับเธอและหลีรุ่ยก็พูดอย่างสุภาพขึ้นมาว่า“เฉียวซุน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอคุณที่นี่ได้?ตอนนั้นที่คุณกับลู่เจ๋อแต่งงานกัน ชิงเฉิงไม่รู้ประสา เลยนิสัยเสียอาละวาดออกไปแบบนั้น วันนี้ผมจะขอชดเชยแทนเธอก็แล้วกันนะ!”หลีรุ่ยมีงานสังสรรค์ในบ่อยครั้ง และคงไม่ต้องพูดถึงว่าเขาดื่มเก่งแค่ไหน?และเขาก็กระดกไวน์แดงทั้งสามแก้วราวกับน้ำเปล่าหลังจากดื่มเสร็จ เขาก็จ้องมาที่เฉียวซุนตรงๆ“เฉียวซุน คุณนายลู่อย่างคุณคงไม่ดูถูกผมและไม่ไว้หน้าผมหรอกใช่มั้ย?”ขณะที่ลู่จิ้นเซิงนั่งอยู่ เขาก็ใช้นิ้วเรียวยาวหนึ่งนิ้วดันคางเอาไว้ด้วยเดิมที เฉียวซ
หลังจากที่เฉียวซุนดื่มไวน์ เธอก็สะลึมสะลือขึ้นมาแล้วลู่เจ๋อพาเธอไปที่ลานจอดรถ และเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับและขอให้เธอขึ้นรถเฉียวซุนไม่ยอม...เธอมึนแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับเมาเธอเอามือค้ำประตูรถเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมา และริมฝีปากแดงก็พูดด้วยเสียงที่สุดจะเซ็กซี่ออกมาว่า“ลู่เจ๋อ ฉันไม่ต้องการกลับบ้านไปพร้อมกับคุณ!เรากำลังจะหย่ากันแล้ว!”ลู่เจ๋อมองลงมา ดวงตาสีดำขลับจ้องมาเธออย่างไม่ละสายตา และจับจ้องลีลาท่าทางหลังจากเมามายของเธอด้วยเขาไม่เคยเห็นเฉียวซุนเป็นแบบนี้มาก่อนเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีแชมเปญและกระโปรงหางปลา ทั้งๆที่มันดูเรียบร้อยเอาเสียมากๆ แต่ในเวลานี้กลับสะท้อนความเป็นผู้หญิงออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยมทุกตารางนิ้วของเส้นโค้งเว้นบนร่างกายของเธอ ล้วนล่อลวงผู้ชายให้ลูบคลําและครอบครองลู่เจ๋อโน้มตัวเข้ามาใกล้ใบหูของเธอ แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดออกมาว่า“ดูสภาพคุณในตอนนี้สิ มันยังมีความเป็นกุลสตรีอยู่หรือเปล่า?”เฉียวซุนเงยหน้าขึ้นมามองเขาแววตาของเธอดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นเล็กน้อย และมันก็พร่ามัวขึ้นมาอีกครั้งลู่เจ๋อเลิกที่จะพูดเหตุผลกับเธอ จากนั้นเขาก็ผลักเธอเข้าไปในรถด้วยแรงที่ค่อน