นอกคุกหลวง ซูเฟิ่งหลิงร้อนใจดุจมดบนกระทะร้อน เดินไปเดินมา พลางพึมพำ “นานถึงเพียงนี้แล้ว ไอ้หลี่หลงหลินเวรตะไลนั่นทำไมยังไม่ออกมาอีก? หรือว่าจางไป่เจิงมีความผิดจริงๆ?” นางอดไม่ได้ที่จะกำทวนเงินในมือแน่น สับสนในใจอย่างยิ่ง จางไป่เจิง อย่างไรเสียก็เป็นคนสนิทที่ท่านปู่รักใคร่ ตั้งแต่เล็กนางก็ติดตามอยู่ข้างหลังจางไป่เจิง เรียกเขาว่าพี่ชายอยู่คำแล้วคำเล่า แม้แต่วิชาทวนของซูเฟิ่งหลิง ก็ยังได้รับการชี้แนะจากจางไป่เจิง จะบอกว่าไม่ใส่ใจก็เป็นเรื่องโกหก ส่วนที่นางพูดว่าจางไป่เจิงสมควรได้รับโทษ เป็นนผู้ชายเจ้าชู้หลายใจ ล้วนเป็นเพราะความห่วงใยจนทำให้สับสนวุ่นวาย! ในราชสำนักต้าเซี่ย การต่อสู้ระหว่างฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊มีมาเนิ่นนาน ฝ่ายบุ๋นแข็งแกร่งฝ่ายบู๊อ่อนแอมาโดยตลอด จนกระทั่งหลี่หลงหลินปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน กดดันขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มขุนนางฝ่ายบู๊จึงค่อยๆ มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก สถานะก็ค่อยๆ สูงส่งขึ้นทุกวัน ผู้ที่โดดเด่นในหมู่พวกเขาย่อมเป็นจางไป่เจิง หากจางไป่เจิงต้องโทษ มีอันเป็นไป วันเวลาดีๆ ของเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ก็คงจะสิ้นสุดลง! ซูเฟิ่งหลิงอาจจะไม่ใส่ใจตัว
หลี่หลงหลินและซูเฟิ่งหลิงเดินตามผู้คุมเข้าไปในคุกหลวง ภายในคุกหลวงน้ำสกปรกไหลนอง ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว ทันใดนั้น ผู้คุมหยุดฝีเท้า ชี้ไปยังห้องขังห้องหนึ่งแล้วกล่าวว่า “องค์รัชทายาท นี่คือห้องขังที่ใช้คุมขังแม่ทัพจางพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หลงหลินอาศัยแสงไฟริบหรี่ในคุกหลวง จึงมองเห็นสภาพอันน่าสังเวชของจางไป่เจิงได้ชัดเจน จางไป่เจิงผมเผ้ายุ่งเหยิงสกปรก สวมชุดนักโทษ ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน ขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย ผู้คุมเปิดประตูห้องขัง กล่าวว่า “แม่ทัพจาง องค์รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมท่าน!” จางไป่เจิงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหลี่หลงหลินจริงๆ ก็ตกใจจนลนลาน “องค์รัชทายาท ท่านกลับมาได้อย่างไร?” หลี่หลงหลินกล่าวเสียงหนักแน่น “เมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ข้าและเสด็จพ่อจึงรีบเดินทางจากตงไห่กลับมาทันที” ตุ้บ! จางไป่เจิงคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวเสียงสั่น “องค์รัชทายาท ท่านโปรดเมตตาข้าสักครั้งเถิด สังหารข้าเสีย ให้ข้าได้หลุดพ้น” “ข้าขอโทษท่าน... ข้าสมควรตายแล้ว!” “ทุกวันนี้ข้ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น!” “ท่านรีบสังหารข้าเถิด ให้ข้าได้ตายอย่างสบายใจ!” “ถือซะว่า
คณะของหลี่หลงหลินเดินทางทั้งวันทั้งคืน ตากน้ำค้างอาบแสงดาว ฝ่าลมฝุ่นกลับถึงเมืองหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อฮ่องเต้หวู่เสด็จถึงพระราชวังก็รีบไปยังห้องทรงอักษรทันที เพื่อพบปะขุนนาง จัดการเรื่องสำคัญในราชสำนัก หลี่หลงหลินไม่รอช้า ตรงไปยังตำหนักฉางเล่อทันที ฮองเฮาหลินกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย มองดวงจันทร์กลมโตที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้ายามค่ำคืน แววตาซับซ้อน “ลูกถวายบังคมเสด็จแม่!” หลี่หลงหลินคุกเข่าคำนับ ฮองเฮาหลินทรงชะงัก ใบหน้าปรากฏรอยแย้มยิ้ม “ลูกรัก เจ้ากลับมาได้อย่างไร? นี่แม่ไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?” หลี่หลงหลินยิ้ม “เสด็จแม่ นี่ไม่ใช่ความฝันพ่ะย่ะค่ะ ลูกกับเสด็จพ่ออยู่ที่ตงไห่ ทราบข่าวความเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง จึงเดินทางทั้งวันทั้งคืน ตากน้ำค้างอาบแสงดาว รีบกลับมายังเมืองหลวงทันที” ฮองเฮาหลินมองใบหน้าของหลี่หลงหลิน ในตามีน้ำตาคลอ “ลูกรัก เจ้าคล้ำขึ้น ทั้งยังผอมลง...” หลี่หลงหลินกล่าว “เสด็จแม่มิต้องทรงเป็นห่วงลูก แต่ตอนนี้อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้ทรงบาดเจ็บใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮองเฮาหลินถอนหายใจ “โชคดีมาก ไม่ได้บาดเจ็บที่ร่างกาย เพียงแต่ตกใจอยู่บ้าง ห
ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าการวิเคราะห์ของหลี่หลงหลินมีเหตุผล ต่อให้จางไป่เจิงมีความกล้านับร้อยพัน เขาก็ไม่กล้าลงมือกับสตรีของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในวังหลังมีสนมมากมาย เหตุใดจึงล่วงเกินแต่ฮองเฮา? เบื้องหลังเรื่องนี้ย่อมต้องมีเงื่อนงำซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่ หากตอนนี้ตนเองลงโทษจางไป่เจิง ตัดศีรษะของเขาเสีย ย่อมเป็นการทำลายสถานการณ์สงครามของต้าเซี่ยอย่างร้ายแรง หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว ฮ่องเต้หวู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าเก้า ข้ายอมตกลงกับเจ้าเพียงเรื่องนี้ นี่เป็นการประนีประนอมครั้งใหญ่ที่สุดของข้าแล้ว นอกจากนี้ข้าจะไม่ยอมตกลงเรื่องใดๆ กับเจ้าอีก!” หลี่หลงหลินประสานมือ “เสด็จพ่อ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะกลับเมืองหลวงพร้อมพระองค์ ถึงเวลานั้นย่อมต้องหาวิธีการทุกอย่างเพื่อสืบหาความจริงให้ได้” “ลูกจะไม่ปล่อยคนชั่วแม้แต่คนเดียว และจะไม่ปรักปรำคนดีแม้แต่คนเดียวอย่างเด็ดขาด!” ฮ่องเต้หวู่สูดหายใจเข้าลึกๆ เพลิงโทสะในใจมอดลงไปมาก “หากเป็นฝีมือของจางไป่เจิงจริงๆ ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่! จะต้องให้เขาชดใช้อย่างสาสม!” “หากเป็น
ฮ่องเต้หวู่ทรงกริ้วอย่างยิ่ง “เว่ยซวิน! รีบเก็บข้าวของเดี๋ยวนี้ ข้าจะกลับเมืองหลวงไปไต่สวนความผิด! ถามจางไป่เจิงว่ามันคิดอะไรกันแน่!” “หลายปีมานี้ข้าตาบอดจริงๆ! รู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นเขาเป็นคนสนิท มอบหมายงานสำคัญ! เขากลับตอบแทนบุญคุณเช่นนี้!” ใบหน้าของฮ่องเต้หวู่แดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เว่ยซวินพยักหน้าหงึกๆ “ฝ่าบาท บ่าวจะสั่งคนเตรียมรถม้าทันที เสวยอาหารกลางวันแล้วก็เดินทางกลับเมืองหลวงได้พ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หวู่ตวาด “ยังจะเสวยอาหารกลางวันอะไรอีก! ข้าจะกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้! ความโกรธเต็มท้องนี้ยังไม่พอให้ข้ากินอีกหรือ?” เว่ยซวินไม่เคยเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงกริ้วถึงเพียงนี้ ถูกด่าจนหัวหด ไม่กล้าหายใจแรง เว่ยซวินกล่าวเสียงสั่น “ฝ่าบาท บ่าวจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่หลงหลินกล่าวเสียงหนักแน่น “เสด็จพ่อ ท่านใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนเด็ดขาด” ฮ่องเต้หวู่กล่าวเสียงเย็นชา “หากข้าไม่รีบกลับเมืองหลวง เกรงว่าบัลลังก์นี้จะมีคนกล้าหมายปอง!” หลี่หลงหลินส่ายหน้า “เสด็จพ่อ ลูกมิได้หมายความเช่นนั้น” “ลูกรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” ฮ่องเต้หวู่กล่าวว่า “ตอนนี
ฮ่องเต้หวู่พยักหน้าเล็กน้อย จมอยู่ในภวังค์ความคิด “ไม่ได้ ข้าจะอยู่ที่ตงไห่ต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงแม้ว่าชีวิตของข้าที่ตงไห่จะมีความสุขอย่างแท้จริง แต่เรื่องสำคัญในราชสำนักก็ยังต้องการให้ข้าเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง” “การโยนภาระนี้ไว้บนบ่าของฮองเฮา ในใจของข้าย่อมรู้สึกกังวลอยู่บ้าง” หลี่หลงหลินพยักหน้า “เสด็จพ่อ ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์จากเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว เสด็จแม่ย่อมต้องคิดถึงพระองค์มาก ถึงเวลากลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หวู่กล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าไม่อยู่ที่เมืองหลวงหลายวันนี้ ฮองเฮาคงจะเหนื่อยมาก ข้ากลับไปจะต้องปลอบใจนางให้ดี” ฮ่องเต้หวู่มองไปยังหลี่หลงหลิน “เจ้าเก้า เจ้าจะกลับเมืองหลวงพร้อมข้าหรือไม่? กลับไปเยี่ยมเสด็จแม่ของเจ้า ดูแลสุขภาพของนาง และยังทำให้นางได้รู้ว่าช่วงนี้เจ้าทำเรื่องสำคัญอะไรบ้างที่ตงไห่” หลี่หลงหลินรีบเอ่ย “เสด็จพ่อ เรื่องที่ลูกทำนั้นเล็กน้อยเกินกว่าจะกล่าวถึง ส่วนใหญ่เป็นเพราะเสด็จพ่อทรงพระปรีชาสามารถ ลูกจึงสามารถทำได้สำเร็จ” “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ลูกมีเรื่องสำคัญติดพัน ต้องอยู่ที่ตงไห่เพื่อสร้างกองเรือไร้พ่าย จึงไม่สามารถปลีกตัวไปได้จริงๆ” “เพราะเรื่