ณ ห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้หวู่เผชิญหน้ากับฎีกาที่กองสูงราวกับภูเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลต้าเซี่ยในตอนนี้ เปรียบเสมือนถุงผุๆ ที่มีรูรั่วรอบด้านเพิ่งอุดรูรั่วทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกก็รั่วอีกตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงท้องถิ่น ทุกหนทุกแห่งล้วนมีปัญหา ต้องการเงินมากมายเพิ่งจะสงบสุขได้ไม่กี่วัน ก็มีข่าวภัยพิบัติหิมะมาจากดินแดนทางเหนือฮ่องเต้หวู่ถอนหายใจ แม้ในใจจะรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างโชคดีที่ข้าเชื่อคำของเจ้าเก้า ให้ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนอยู่ในเมืองหลวง รอจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิจึงค่อยกลับดินแดนทางเหนือดังนั้น จำนวนผู้ประสบภัยจึงไม่มากนักไม่เช่นนั้น หากหลังคาบ้านรั่วในคืนฝนตกหนัก ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนต้องเผชิญภัยพิบัติ ผลที่ตามมาคงเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด!“เจ้าเก้า ช่างเป็นผู้มีบุญของข้ายิ่งนัก!”ในใจของฮ่องเต้หวู่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายหากไม่ใช่เพราะเจ้าเก้า เกรงว่าข้าคงตายไปหลายครั้งแล้วชาวบ้านยิ่งต้องเดือดร้อน!น่าเสียดาย แม้เจ้าเก้าจะมีโชค แต่ก็ไม่สามารถเสกหินให้กลายเป็นทอง หรือเปลี่ยนเงินออกมาได้สุดท้ายแล้ว แม่ครัวเก่งแค่ไหน ก็ทำอาหารไม่ได้ หากไม่มีข้าวสาร!ฮ
ฮ่องเต้หวู่นับแล้วนับอีก ได้หนึ่งแสนตำลึงพอดี “นี่คือ......” ฮ่องเต้หวู่เอ่ยพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่เจ้าเก้าจะทำอะไร” เว่ยซวินรีบเอ่ย “ฝ่าบาท นี่ดูเหมือนจะเป็น ส่วนแบ่งกำไรที่แบ่งให้พระองค์ เป็นการแสดงความกตัญญูขององค์รัชทายาท” ใบหน้าของฮ่องเต้หวู่เผยให้เห็นรอยยิ้ม “แม้จะบอกว่าหนึ่งแสนตำลึงเงินไม่มากมายอะไร แต่ในใจของเจ้าเก้ามีข้า ความกตัญญูเป็นสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญ เงินพวกนี้ก็เก็บเข้าไปไว้ในคลังหลวงส่วนตัวของข้าเถอะ” พูดตามความจริงแล้ว ฮ่องเต้หวู่ในฐานะโอรสสวรรค์แห่งต้าเซี่ย มั่งคั่งที่สุดในแผ่นดิน เคยเห็นเงินทองมามากจนนับไม่ถ้วน ในช่วงที่ต้าเซี่ยมั่งคั่งที่สุด ในคลังหลวงส่วนพระองค์มีเงินทองกองโตเป็นภูเขา ฮ่องเต้หวู่ไม่ได้สนใจเลย เงินเล็กน้อยเพียงหนึ่งแสนตำลึง ฮ่องเต้หวู่ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เพียงแต่ ของขวัญอาจเล็กน้อย แต่น้ำใจนั้นยิ่งใหญ่ ความกตัญญูของเจ้าเก้า กลับทำให้ฮ่องเต้หวู่ซาบซึ้งใจ “ฝ่าบาท” สีหน้าเว่ยซวินเผยความประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกต้อง” ฮ่องเต้หวู่ชะงัก “ไม่ถูกต้อง? ลูกส่งเงินให้พ่อ ก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ มีอะไร
ณ เมืองหลวง ท้องฟ้ามืดสนิท เสียงกีบม้าดังกึกก้องราวเสียงฟ้าร้อง ไฟคบเพลิงเรียงรายเป็นสาย ทั้งชุดมัจฉาบิน และดาบปักลาย ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ท่าทีทั้งองอาจและหยิ่งผยอง! หน่วยองครักษ์เสื้อแพรระดมกำลังออกมา ล้อมรอบจวนตระกูลโจวไว้แน่นหนาราวกับถังเหล็ก “หน่วยองครักษ์เสื้อแพรทำงาน!” “คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป!” ตามมาด้วยเสียงตะโกนออกคำสั่ง ร้านรวงทั้งสองข้างทางรีบปิดประตูอย่างแน่นหนาราวกับกลัวโรคระบาด ผู้คนบนท้องถนน เดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าวิตกกังวล แล้วค่อยๆ เปิดช่องหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก สายลมเย็นยะเยือกพัดโชยเข้ามา ทำให้ขนลุกซู่! หน่วยองครักษ์เสื้อแพรมากมายขนาดนี้! เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! ชื่อเสียงที่น่ากลัวของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรแพร่สะพัดไปทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือขุนนางชนชั้นสูง ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน เด็กเล็กๆพากันร้องไห้กระจองอแง ที่น่าประหลาดใจมากก็คือ. จวนที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพรเข้าปิดล้อมก็คือจวนของโจวซิงผู้ตรวจการราชสำนัก! เขาคือหัวหน้าของสามศาล มีอำนาจล้นฟ้า! หน่วยองครักษ์เสื้อแพรยอมฟังเพียงคำสั่งฝ่าบาท หร
ขันทีใหญ่เว่ยซวิน! เขามาที่นี่ด้วยตัวเอง! คนในจวนตระกูลโจวอาจไม่สนใจหน่วยองครักษ์เสื้อแพรได้ แต่สำหรับพระเก้าพันปีผู้นี้ กลับเป็นที่รู้จักกันดีว่าโหดร้ายและใจดำ เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท อำนาจในมือของเขาสูงกว่าผู้ตรวจการราชสำนักอย่างโจวซิงมาก ตอนนี้ตระกูลโจวจบสิ้นแล้ว! เมื่อเห็นเว่ยซวินเดินเข้ามา เหล่าสมาชิกของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรก็จับด้ามดาบไว้แน่น ตัวตั้งตรงเป็นระเบียบ จางอี้รีบเดินไปข้างหน้า ประสานมือคำนับ: “พระเก้าพันปี! ยังไม่พบตัว....คนขอรับ! น่าจะหนีไปแล้ว!” “หนีไปแล้ว?” เว่ยซวินตกใจ ขมวดคิ้วแน่น “จะหนีไปได้ยังไง? หรือว่ามีคนแจ้งข่าว? หากฝ่าบาทสั่งลงโทษ เราจะแบกรับไม่ไหว! ไปค้นหา! ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน แม้จะต้องพลิกแผ่นดินหา ก็ต้องหาโจวซิงมาให้ได้!” หน่วยองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดประสานมือคำนับ และเอ่ยเสียงดังกึกก้อง: “รับคำสั่ง!” คงจะหาคนไม่เจอแน่! อย่างน้อยต้องสอบถามที่อยู่ของโจวซิงให้ได้ เพื่อจะได้ชี้แจงต่อฝ่าบาท! ดังนั้น คนของตระกูลโจวจึงถูกหน่วยองครักษ์เสื้อแพรจับเส้นผมลากเข้าไปในห้องทีละคน เสียงร้องครวญครางที่น่าสลดใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน
“จับได้แล้วหรือ?” ซูเฟิ่งหลิงสีหน้าดูจริงจังขึ้นมาทันที นางรีบขึ้นม้าแล้วขี่ไปยังทิศทางที่มีเสียงเรียก หลี่หลงหลินและหลิ่วหรูเยียนมองหน้ากัน ก่อนจะตามไปทันที คบเพลิงสว่างไสว! ทหารจากภูเขาทิศประจิมหลายสิบคนล้อมรถม้าคันหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา ชายสองคนในเสื้อคลุมไหมปักถูกลงลงจากรถ หนึ่งหนุ่มหนึ่งเฒ่า ชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้ ใบหน้าซีดเซียว คุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นเทาเหมือนใบไม้ต้องลม ผู้สูงวัยกว่าดูเหมือนจะผ่านโลกมามาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าเป็นทหารจากหน่วยใด กล้ามาขัดขวางรถของข้า! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือโจวซิงผู้ตรวจการราชสำนัก รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้ไปยังชายแดนเหนืออย่างลับๆ!” “ถ้าเข้าใจสถานการณ์แล้วก็รีบไสหัวไปซะ!” เหล่าทหารเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย พวกเขาทำตามคำสั่งของหลี่หลงหลินให้ซุ่มรออยู่ที่นี่ และตรวจสอบรถม้าที่ผ่านมา ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่พวกเขาต้องขัดขวางคือใคร ไม่คิดเลยว่าจะมาขวางผู้ตรวจการราชสำนักโจวซิงได้ และเขายังอ้างอีกว่าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท นั่นก็เหมือนเป็นขุนนางตรว
โจวซิงรู้สึกราวกับหัวใจตายด้าน ชัดเจนแล้ว! หลี่หลงหลินมาที่นี่เพื่อเขาโดยเฉพาะ “องค์รัชทายาท …” โจวซิงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ "แต่ข้ากับพระองค์ ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันในอดีต และก็ไม่มีความแค้นเคืองกันในปัจจุบัน! ทำไมท่านถึงต้องมาคอยสร้างปัญหาให้ข้าเช่นนี้? จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าข้าไปทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ" หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าโกรธ แต่เจ้าไปทำให้พี่สะใภ้สี่ของข้าโกรธต่างหาก…” พี่สะใภ้สี่? โจวซิงตกตะลึง สีหน้าสับสน พี่สะใภ้สี่ของหลี่หลงหลิน คือหลิ่วหรูเยียนนางคณิกาในสำนักการสังคีตไม่ใช่หรือ? แต่คณิกาคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตน? โจวซิงคิดไม่ออกจริงๆ หญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อขนสัตว์สีขาวบริสุทธิ์ เดินเหยียบย่ำบนหิมะทีละก้าว มาหยุดอยู่ตรงหน้าโจวซิง เปิดหมวกผ้าคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามไร้ที่ติ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความเย็นชา กัดฟันแน่นและเอ่ยว่า:“โจวซิง เจ้าโจรชั่ว ยังจำข้าได้หรือไม่?” “เจ้าคือ…” “หลิ่วหรูเยียน พี่สะใภ้สี่ขององค์รัชทายาท!” “แต่ข้าไม่เคยเจอเจ้ามาก่อนเลย” โจวซิงจ้องไปที่ใบหน้าที่งดงามของหลิ่วหรูเยียนอย่างละ
“หลังห้องส้วมหรือ?” หลี่หลงหลินเลิกคิ้วเล็กน้อย และพูดอย่างมีนัยว่า “ใต้เท้าโจว ท่านนี่สกปรกจริงๆ!” โจวซิงหัวเราะแห้งๆ ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะกลัวว่าจะทำให้หลี่หลงหลินโกรธจนรักษาชีวิตน้อยๆของเขาไว้ไม่ได้ ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้วมุ่น “ตรอกหนานผี? ไม่ใช่เรื่องโกหกใช่หรือไม่?” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาไม่กล้าหรอก! อีกทั้ง…” ถ้าหากโจวซิงโกหกจริงๆ ก็ยังเค้นถามโจวกว่างลูกชายของเขาได้ ต้องถามออกมาได้แน่ “พี่สะใภ้สี่” “ถึงตาของท่านแล้ว!” หลี่หลงหลินลุกขึ้นยืนข้างๆ หลิ่วหรูเยียนพยักหน้า พลางเดินเข้ามาหาโจวซิง จากนั้นดึงมีดสั้นออกมาจากเอว ดวงตาเย็นชา เปล่งประกายแสงอันน่าสะพรึงกลัว โจวซิงรู้สึกขนลุกซุ่ “องค์รัชทายาทนี่พระองค์หมายความว่าอย่างไร?” หลี่หลงหลินพูดด้วยน้ำเสียงเย็น “คนทำผิดย่อมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองทำ เจ้าทำให้ครอบครัวของนางพังพินาศ “ถูกทอดทิ้งให้ต้องเผชิญกับความยากลำบากของโลกภายนอก! ถึงเวลาที่ต้องชำระแค้นนี้แล้ว!” หลิ่วหรูเยียนกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าโจรใจทราม! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องใช้ชีวิตเช่นไรตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้? แม้แต่ในค
หลี่หลงหลินไม่ชอบการเข่นฆ่า ในฐานะที่เป็นองค์รัชทายาท จะมาทำให้มือแปดเปื้อนได้อย่างไร? แต่เพื่อหลิ่วหรูเยียน แม้จะแปดเปื้อนก็ช่าง เพราะว่า ขุนนางฉ้อฉลอย่างโจวซิง สมควรแก่การถูกฆ่า หลี่หลงหลินไม่ได้เสียใจเลยสักนิด หลิ่วหรูเยียนลืมตาขึ้น พบว่าโจวซิงตายแล้ว น้ำตาไหลพราก ร้องไห้หนักอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเช็ดน้ำตาและเอ่ยขอบคุณหลี่หลงหลิน “องค์รัชทายาท ข้าน้อยขอบคุณท่านมาก” “ถ้าไม่มีท่าน ข้าน้อยคงทำไม่ได้แน่!” “ถ้าปล่อยให้เจ้าคนเลวทรามนี้มีชีวิตอยู่ ข้าน้อยคงไม่มีวันหายโกรธ!” หลี่หลงหลินพยักหน้า และเอ่ยว่า “เรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว! ความแค้นในใจของเจ้า ควรจะปล่อยวางได้แล้ว! คนเราจะจมอยู่ในความเกลียดชังไม่ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขในชีวิต!” หลิ่วหรูเยียนรู้สึกขอบคุณมาก ใบหน้าแดงระเรื่อ “องค์รัชทายาท ท่านพูดถูก! ข้าควรจะปล่อยวางอดีต และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ร่วมกันสร้างครอบครัว...” การฆ่าโจวซิงทำให้หลิ่วหรูเยียนสามารถปล่อยวางความแค้นและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เสียที ในใจของนางมั่นใจว่าจะต้องมีลูกน้อยที่น่ารักให้กับหลี่หลงหลินหลายๆคน หลี่หลงหลินปรับเสื้อคลุมให้กระชับขึ้
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่งโจรสลัดแคว้นโวกั๋วและชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาแถบชายแดนต้าเซี่ยมานานนับร้อยปี ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายมองออกว่าครั้งนี้เจตจำนงของหลี่หลงหลินยิ่งใหญ่อย่างมาก!หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “หากต้องการกำจัดปัญหาภายนอกจะต้องกำจัดปัญหาภายในก่อน หากต้องการเดินทางบนมหาสมุทร จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เรียบร้อย หาไม่แล้วแผนการเดินเรือจะต้องได้รับผลกระทบแน่”“เป้าหมายสำคัญในการมาตงไห่ครั้งนี้คือพัฒนาศาสตร์ต่อเรือของต้าเซี่ย บัดนี้เรือเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการเดินทางไกลได้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเรือต้าเซี่ยก็เป็นเหตุผลที่โจรสลัดแคว้นโวกั๋วตงไห่สร้างความวุ่นวาย ได้รับผลประโยชน์มากมายในสงครามทางทะเล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถกวาดล้างโจรสลัดแคว้นโวกั๋วที่บุกมาในคราวเดียวได้”“หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โจรสลัดแคว้นโวกั๋วก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน อาละวาดอย่างไร้ขอบเขตในทะเลตงไห่ ราษฎร์ตงไห่ก็จะได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก!”“ดังนั้นตราบใดที่สามารถเพิ่มระดับการต่อเรือของต้าเซี่ยได้ โจรสลัดแคว้นโวกั๋วย่อมหายไป ชนิดที่ว่าปราบตงอิ๋
ปากแดงของเหล่าสะใภ้ขยับเบาๆ ดวงตาสะท้อนความแปลกใจ “เป้าหมายคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่?”แม้เหล่าสะใภ้ไม่รู้ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่คือที่ใด แต่ได้ยินหลี่หลงหลินอธิบาย จะต้องเป็นสถานที่อันงดงามแน่!ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยถาม “องค์ชาย มหาสมุทรกว้างใหญ่มากถึงเพียงนี้ เป้าหมายของพวกเราคือที่ใด?”กงซูหว่านพยักหน้า “ใช่แล้วองค์ชาย ยิ่งไปกว่านั้นระดับการเดินเรือในตอนนี้มากที่สุดก็ไปได้ถึงตงอิ๋ง หากยังไปทางทิศตะวันออก กลับยังไม่มีตัวอย่างมาก่อน”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราก็คือทวีปใหม่! ต้าเซี่ยและทวีปใหม่ห่างกันเพียงมหาสมุทรกั้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือคิดหาทางพัฒนาเรือของต้าเซี่ย ขนวัวม้าสัตว์ใช้แรงงานจำนวนมากเพียงพอไปยังทวีปใหม่”“ขอเพียงมีวัวม้าสัตว์ใช้แรงงาน ต้องการผืนดินมากน้อยเพียงใดก็ย่อมได้ มีผืนดินนับพันลี้ให้ราษฎร์ได้ใช้!”เหล่าสะใภ้ได้ยินภาพที่หลี่หลงหลินอธิบาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเปี่ยมความหวังออกมาสถานที่ที่ไม่มีสงครามและไม่มีความหิวโหยอยู่ห่างเพียงมหาสมุทรกั้น กำลังโบกมือต้อนรับตนเองหลี่หลงหลินเปล่งเสียงเคร่งขรึม “ขอเพียง
“เป็นไปไม่ได้! ดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ ไฉนเลยจะไม่มีคน?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เหตุที่มีคนน้อยมีเพียงข้อเดียว ตอนนี้พวกเขายังกินไม่อิ่ม”ถ้อยคำนี้ของหลี่หลงหลินดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆเหล่าพี่สะใภ้ได้ฟังแล้ว คิดว่านี่คล้ายเรื่องเพ้อฝันยามราตรี ดินแดนอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยังมีคนกินข้าวไม่อิ่มท้องอีกหรือ?กงซูหว่านมองหลี่หลงหลินด้วยความตกตะลึง เอ่ยถามว่า “องค์ชาย ท่านไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นหรอกกระมัง? อิงตามคำพูดของท่าน ทวีปใหม่จะต้องอุดมสมบูรณ์อย่างมากแน่ เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์คนกินข้าวไม่อิ่มท้องได้เล่า?”“ใช่แล้วองค์ชาย หม่อมฉันไม่เชื่อ”“หรือว่าดินแดนที่ดีถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่สามารถเพาะปลูกได้กันเล่า?”เหล่าพี่สะใภ้ฟังจนอารมณ์ดำดิ่งลงไป ต่างขอให้หลี่หลงหลินพูดออกมาให้ชัดเจน หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “ไม่ใช่พวกเขาไม่เพาะปลูก ทวีปใหม่ดีมากเยี่ยงไร มีเพียงข้อเดียวที่ไม่ดี ก็คือไม่มีวัวไม่มีม้า ไม่มีสัตว์ใช้แรงงาน”ดวงตาของเหล่าสะใภ้ทอประกายระยับ ประคองใบหน้างดงามรับฟังเงียบๆ“ดังนั้นตอนนี้พวกเขายังหยุดอยู่ที่ใช้มีดถางป่าเผาไร่เพาะปลูก ใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดในการ
“ตงอิ๋ง? ก็แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง!”สายตาหลี่หลงหลินเผยแววหมิ่นแคลน“ตงอิ๋งเล็กๆ เป็นเพียงเกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น เดิมทีก็ไม่คู่ควรต่อคำว่าทวีปใหม่สองคำนี้”ทุกคนตกตะลึงภายในความรู้ของเหล่าสะใภ้ ตงอิ๋งก็คือจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหนือตงอิ๋งก็ไม่มีอันใดอีกคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ความรู้ที่พวกนางมีอยู่เปลี่ยนไปทั้งหมด!กงซูหว่านพูดเสียงสั่นๆ “องค์ชาย ความนัยของท่านคือนอกจากตงอิ๋งแล้วยังมีทวีปใหญ่อีกหรือ?”หลี่หลงหลินพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เพียงมีทวีปใหญ่ แต่ยังเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์อย่างมากอีกด้วย!”พูดไป สายตาหลี่หลงหลินก็ทอดมองไปยังทิศทางหนึ่งกงซูหว่านพูดด้วยความแปลกใจ “อุดมสมบูรณ์อย่างมาก? อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด เทียบกับต้าเซี่ยแล้วเป็นเช่นไร?”สายตาทุกคนล้วนเปี่ยมความแปลกใจ วางตะเกียบและชามข้าวในมือลงรับฟังหลี่หลงหลินเล่าเรื่องทวีปใหม่เงียบๆหลี่หลงหลินส่ายหน้าและพูดว่า “แผ่นดินต้าเซี่ยกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตและทรัพยากรมากมาย เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่ทวีปใหม่มีที่ราบมาก แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ทอดยาวนับพันลี้ ทุกหนแห่งล้วนค