ฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังพลางยิ้มเยาะ “อะไรกัน ข้าต่อโคลงคู่ที่สองได้แต่เจ้ากลับบอกว่าข้าได้รับการชี้แนะจากผู้อื่น เจ้าคิดจะโกงกันหรือไร?”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเบา “ท่านต่างหากที่โกง ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกคนในราชวงศ์ของท่านมีใครที่มิรู้บ้าง ต้องให้ข้าพูดมากกว่านี้หรือไม่? พวกเขาต่อโคลงมิได้ แต่ท่านกลับทำได้ แสดงว่าท่านมีความสามารถมากกว่าขุนนางเหล่านั้นรึ? หึ ๆ พูดมาได้ว่าท่านคิดเอง คงจะมีคนเชื่อกระมัง?”ฉินหยางยิ้มเย้ยพลางพูดอย่างปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “องค์รัชทายาท แม้ท่านจะต่อโคลงคู่ที่สองได้ แต่ท่านก็ต้องอธิบายให้ดี องค์รัชทายาท มิเช่นนั้นราชวงศ์ต้าเหยียนของเราจะต้องขายหน้าเพราะท่านนะพ่ะย่ะค่ะ”เขาใช้คำพูดเมื่อครู่ของฉินซูตอกกลับไปอย่างมิไว้หน้าแต่ทันทีที่พูดจบ เขาก็ถูกฉินอู๋ต้าวถลึงตาใส่เขากลัวมากจนใจสั่น และรีบหุบรอยยิ้มปรีดาพลางก้มหน้าลงฉินซูพูดโดยมิเปลี่ยนสีหน้า “ข้าจะมีความรู้ความสามารถจริง ๆ หรือไม่ ข้อเท็จจริงย่อมเป็นตัวพิสูจน์ หยุดพูดไร้สาระให้เสียเวลา ข้าต่อโคลงคู่แรกของทเจ้าไปแล้ว คราวนี้ถึงตาที่ข้าเป็นฝ่ายเริ่มใช่หรือไม่?”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเย็นอย่างมิยอมอ่อนข้อ “มาสิ
หวังฉือตุลาการศาลต้าหลี่มิค่อยอยากเชื่อสักเท่าไรเขาพึมพำ “มิจริงน่า เฉิงจืออี้เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหอสมุดหลวงเป่ยเยี่ยน ทั้งยังเป็นผู้นำในวงการวรรณกรรมเป่ยเยี่ยน แต่กลับต่อโคลงคู่แรกขององค์รัชทายาทมิได้น่ะหรือ?”“คาดมิถึงเลยว่าท่านผู้อาวุโสเฉิงจะยอมแพ้ มิพูดมิได้ว่าองค์รัชทายาททรงยอดเยี่ยมจริง ๆ!”“นั่นสิ เมื่อก่อนข้าก็คิดว่าองค์รัชทายาททรงใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน แต่คาดมิถึงว่าพระองค์เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง แต่เพียงมิไแสดงออก ทว่าเมื่อคนได้เห็นได้รู้กลับเป็นต้องตะลึงงัน!”“การที่บุคคลสำคัญแห่งวงการวรรณกรรมของเป่ยเยี่ยนยอมแพ้ให้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ความรู้ความสามารถขององค์รัชทายาทมิได้ด้อยไปกว่าท่านผู้อาวุโสเฉิงเลย!”“องค์รัชทายาทผู้เกรียงไกร ทรงทำให้แคว้นของเราเรืองรองด้วยบารมีอำนาจ!”เสียงสรรเสริญดังก้องไปทั่วทั้งสถานที่แห่งนั้นอีกครั้งสีหน้าของมู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ มิสู้ดีราวกับกินแมลงวันเข้าไปก็มิปานขณะนั้นเฉิงจืออี้ก็พูดขึ้นอีกครั้งเขายกมือคำนับฉินซูและพูดด้วยท่าทีที่มิถ่อมตัวและมิอวดดี “องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน แม้โคลงคู่แรกเมื่อครู่ของท่านจะวิจิต
“ด่านซานไห่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีศักราชหงอู่ที่สิบสี่ในช่วงราชวงศ์หมิง และตั้งอยู่ตรงใจกลางของกำแพงเมืองจีนที่ด่านซานไห่…”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าทางของฉินซูก็เปลี่ยนไปทันที และมีสีหน้าประหลาดใจ!ปีศักราชหงอู่ที่สิบสี่ในช่วงราชวงศ์หมิงคือรัชสมัยของจักรพรรดิจูหยวนจางผู้สถาปนาราชวงศ์หมิงมิใช่หรือ?อีกทั้งข้อมูลของด่านซานไห่ที่ถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณนั้นเหมือนกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เขารู้ทุกประการ!แต่เหตุใดหัวหน้าโหรหลวงถึงบอกว่านั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราวหมื่นปีก่อน?หรือว่านับตั้งแต่ราชวงศ์หมิงมาจนถึงบัดนี้ เวลาได้ล่วงเลยมาเป็นหมื่นปีแล้ว?จะเป็นไปได้อย่างไร?!แต่นอกเหนือจากนี้แล้วจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจได้?มันคงเป็นไปมิได้หรอกกระมังที่ประวัติศาสตร์ของทั้งสองโลกจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน?ยิ่งฉินซูคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร ความคิดของเขาก็ยิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้นขณะนั้นเองเฉิงจืออี้ก็ถอนหายใจยาวและพูดว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวง ข้ารู้ตัวอักษรโบราณมิมากนัก แต่เห็นได้ชัดว่าตำราเล่มนี้บันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมตั้งแต่สมัยโบราณเอาไว้มากมาย มิทราบว่าท่าน
ก่อนที่จะทะลุมิติมาข้าก็ใช้อักษรจีนตัวย่อมาตลอด ตอนนี้เจ้าคิดจะใช้สิ่งนี้มาทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากอย่างนั้นรึ?นี่มิใช่ว่าอยากจะทรมานข้าหรือไร!มู่หรงฟู่ที่มิรู้ว่าฉินซูกำลังคิดอะไรอยู่ก็ถามด้วยความสงสัย “ฉินซู ท่านยิ้มอะไร?”ฉินซูยิ้มเยาะและพูดว่า “ข้ายิ้มให้กับความมิรู้ของเจ้าอย่างไรเล่า! ในเมื่อข้ารู้ว่าด่านซานไห่อยู่ที่ใด แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ตัวอักษรโบราณเหล่านั้น”พูดจบ เขาก็เปิดตำราไปที่หน้าสามและชี้ไปยังอักษรตัวใหญ่สามคำที่อยู่ด้านบนสุดของหน้ากระดาษทั้งสามคำนี้เป็นอักษรจีนตัวย่ออย่างมิผิดเพี้ยน หากเขามิรู้ก็แปลกแล้วเพียงแต่เขายังข้องใจที่โลกเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่นั้น นับตั้งแต่ราชวงศ์หมิงได้ผ่านไปมิกี่ร้อยปีเท่านั้นเหตุใดในโลกนี้ที่มีราชวงศ์ต้าเหยียน ต้าหมิงถึงได้กลายเป็นแคว้นโบราณที่มีอายุผ่านมาเป็นหมื่นปี?ขณะนั้นเองก็มีความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หรือว่า… เขาเดินทางมายังอนาคตหมื่นปีข้างหน้า?มิฉะนั้น ตำราโบราณนั่นจะใช้อักษรจีนตัวย่อในการจดบันทึกได้อย่างไร?ยิ่งฉินซูคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้แต่ในมิช้าเขาก็ตระหนักได้
ก่อนที่ฉินซูจะได้ตอบอะไร ฉินหงก็ชิงพูดก่อนว่า “แน่นอนว่ามิใช่ ผู้ชนะจะเป็นผู้คิดโจทย์ นี่เป็นกฎแบบดั้งเดิม”“ถูกต้อง มีอย่างที่ไหนให้ผู้แพ้เป็นคนคิดโจทย์ มิเคยพบมิเคยเห็น”“พ่ายแพ้ราบคาบเช่นนั้นยังจะกล้ามาขอคิดโจทย์อีก หน้ามิอายเสียจริง”ขุนนางคนอื่น ๆ ต่างพากันพูดสนับสนุนมิแปลกใจที่พวกเขาแย่งสิทธิ์ในการคิดโจทย์ เพราะขอเพียงแค่พวกเขาได้เป็นฝ่ายคิดโจทย์ยาก ๆ ไปตลอด ก็รับประกันได้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะเมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงโต้เถียงกัน ฉินซูก็โบกมือแล้วพูดว่า “ทุกท่าน คณะทูตเป่ยเยี่ยนเป็นแขกจากแดนไกล เราต้องปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความสุภาพ มิเช่นนั้นพวกเราจะมิดูใจแคบเอาหรือ?”หวังฉือพูดด้วยท่าทีจริงจัง “องค์รัชทายาท แม้จะตรัสเช่นนั้น ทว่ายามนี้พวกเรามิได้เล่นการละเล่นดังเช่นเด็กน้อย หากพ่ายแพ้ วงการวรรณกรรมต้าเหยียนของพวกเราจะต้องอับอายขายหน้านะพ่ะย่ะค่ะ”เนี่ยหงยังกล่าวอีกว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ในเมื่อเป่ยเยี่ยนมาเยือนเขตแดนต้าเหยียนของพวกเราแล้วก็ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเย็น “เมื่อครู่องค์รัชทายาทของพวกเจ้าก็บอกเป็นนัย ๆ แล้วมิใช่หรือ
หลังจากนั้นมินาน เหล่าขุนนางต้าเหยียนต่างก็ส่ายหัวและถอนหายใจ“หากฟ้าสร้างกระดาน หมากคือเหล่าดวงดารา ผู้ใดหนาจะกล้าลงเล่น? โคลงคู่นี้น่าทึ่งจริง ๆ!”“โคลงคู่แรกนี้ยิ่งใหญ่และทรงพลังยิ่งนัก!”“นั่นสิ เปิดมาได้อย่างเฉียบขาดเช่นนี้ มิแปลกใจเลยที่หนานกงจื่อชินจะเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์ สมคำร่ำลือจริง ๆ!”“เฮ้อ องค์รัชทายาทมิควรให้เป่ยเยี่ยนเป็นฝ่ายคิดโจทย์เลย รอบนี้พวกเราพ่ายแพ้แล้ว”“นั่นสิ กว่าจะชนะได้สักรอบนั้นมิง่ายเลย สุดท้ายพวกเราก็แพ้อีกแล้ว”“...”ในตอนนี้แม้แต่เว่ยเจิงและเหลยเจิ้นที่มีความรู้ความสามารถก็ยังมิพูดอะไร พลางขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆฉินหยางกล่าวโทษด้วยความมิพอใจ “องค์รัชทายาท ดูเถิดว่าท่านทำเรื่องงามหน้าอะไรลงไป กว่าจะชนะได้สักรอบนั้นมิง่ายเลย แต่ตอนนี้กลับคืนให้อีกฝ่ายไปหมดแล้ว ท่านจะอธิบายกับเสด็จพ่ออย่างไร?”ฉินซูยิ้มเยาะ “ข้ายังมิได้สู้กลับเลย เจ้าพูดมาได้อย่างไรว่ารอบนี้พ่ายแพ้แล้ว?”“หึ ๆ เช่นนั้นต่อโคลงคู่ที่สองได้หรือไม่เล่าพ่ะย่ะค่ะ?”“แน่นอน!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็มองไปที่ฉินซูด้วยความมิอยากเชื่อแม้แต่ฉินอู๋ต้าว เว่ยเจิงแ
มู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ จากเป่ยเยี่ยนก็ตกตะลึงเช่นกันหนานกงจื่อชินส่ายหัวโดยมิรู้ตัวและพึมพำด้วยความมิอยากเชื่อ “เป็น… เป็นไปได้อย่างไรกัน องค์รัชทายาททรงต่อโคลงบทแรกอย่างทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร?”โคลงคู่ที่ในอดีตเขามิสามารถต่อได้ แต่ฉินซูกลับทำได้ มันยากมากที่เขาจะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้เฉิงจืออี้มองฉินซูด้วยความประหลาดใจ และอดมิได้ที่จะอุทานอย่างชื่นชม “คาดมิถึงว่าองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนจะทรงต่อโคลงคู่ที่สองได้อย่างงดงามประณีตถึงเพียงนี้ กระหม่อมขอชื่นชมจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะ!”พูดจบ เขาก็ประสานมือคารวะฉินซูอย่างจริงใจด้วยความประทับใจในความรู้ความสามารถของฉินซูอย่างแท้จริงหลังจากที่ได้มาสมทบกับหนานกงจื่อชินและคนอื่น ๆ เขาก็ได้รู้โคลงคู่แรกจากปากของอีกฝ่ายซึ่งก็คือ ‘หากฟ้าสร้างกระดาน หมากคือเหล่าดวงดารา ผู้ใดหนาจะกล้าลงเล่น’เขากับหนานกงจื่อชินและคนอื่น ๆ ต่างใช้ความคิดกันอย่างหนักมาหลายวัน แต่ก็มิสามารถคิดโคลงคู่สองที่เหมาะสมได้เมื่อครู่ที่หนานกงจื่อชินเอ่ยโคลงคู่แรกออกมา เขาก็เชื่อว่าเป่ยเยี่ยนจะต้องชนะการแข่งในรอบนี้แต่มิว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็มิเคยคาดคิดว่า ฉินซูจะต่อโคลงค
ทันทีที่ฉินซูพูดจบ ทุกคนก็อุทานออกมา“มิจริงน่า? องค์รัชทายาททรงจะท้าทายวงการวรรณกรรมเป่ยเยี่ยนด้วยตัวคนเดียวหรือ?”“เมื่อครู่มู่หรงฟู่พูดไว้มิใช่หรือว่า คนเหล่านั้นที่มาในครั้งนี้ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความรู้ความสามารถ และแน่นอนว่าต้องโดดเด่นในเป่ยเยี่ยนมากพอที่จะเป็นตัวแทนวงการวรรณกรรมแห่งเป่ยเยี่ยนได้”“แต่องค์รัชทายาททรงแข็งแกร่งและมุ่งมั่นมาก หากทรงสามารถเอาชนะการประลองรอบนี้ได้ ชื่อเสียงของพระองค์ต้องโด่งดังไปทั่วแว่นแคว้นเป็นแน่!!”“คิดไกลไปกระมัง? เฉิงจืออี้เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหอสมุดหลวงของเป่ยเยี่ยนเชียวนะ จนถึงตอนนี้เขายังมิได้ออกโรงเลย หากเขาเป็นผู้คิดโจทย์ องค์รัชทายาทจะทรงมั่นใจหรือว่าพระองค์สามารถตอบโต้ได้?”“ที่พูดมาก็ถูก คนรุ่นหลังที่ยังเยาว์เช่นหนานกงจื่อชินย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ท่านผู้อาวุโสเฉิงรับผิดชอบดูแลสำนักหอสมุดหลวงของเป่ยเยี่ยนมานับทศวรรษ พูดได้ว่าเขาคลุกคลีอยู่กับบทกวีและเพลงกลอนทุกวัน โจทย์ที่เขาคิดนั้นต้องพิเศษอย่างแน่นอน แม้องค์รัชทายาทจะทรงมีความสามารถที่โดดเด่น แต่ก็อาจมิสามารถรับมือได้”ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เริ่มทำสีหน้ากังวลอ
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ