ทันทีที่ฉินซูพูดจบ ทุกคนก็อุทานออกมา“มิจริงน่า? องค์รัชทายาททรงจะท้าทายวงการวรรณกรรมเป่ยเยี่ยนด้วยตัวคนเดียวหรือ?”“เมื่อครู่มู่หรงฟู่พูดไว้มิใช่หรือว่า คนเหล่านั้นที่มาในครั้งนี้ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความรู้ความสามารถ และแน่นอนว่าต้องโดดเด่นในเป่ยเยี่ยนมากพอที่จะเป็นตัวแทนวงการวรรณกรรมแห่งเป่ยเยี่ยนได้”“แต่องค์รัชทายาททรงแข็งแกร่งและมุ่งมั่นมาก หากทรงสามารถเอาชนะการประลองรอบนี้ได้ ชื่อเสียงของพระองค์ต้องโด่งดังไปทั่วแว่นแคว้นเป็นแน่!!”“คิดไกลไปกระมัง? เฉิงจืออี้เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหอสมุดหลวงของเป่ยเยี่ยนเชียวนะ จนถึงตอนนี้เขายังมิได้ออกโรงเลย หากเขาเป็นผู้คิดโจทย์ องค์รัชทายาทจะทรงมั่นใจหรือว่าพระองค์สามารถตอบโต้ได้?”“ที่พูดมาก็ถูก คนรุ่นหลังที่ยังเยาว์เช่นหนานกงจื่อชินย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ท่านผู้อาวุโสเฉิงรับผิดชอบดูแลสำนักหอสมุดหลวงของเป่ยเยี่ยนมานับทศวรรษ พูดได้ว่าเขาคลุกคลีอยู่กับบทกวีและเพลงกลอนทุกวัน โจทย์ที่เขาคิดนั้นต้องพิเศษอย่างแน่นอน แม้องค์รัชทายาทจะทรงมีความสามารถที่โดดเด่น แต่ก็อาจมิสามารถรับมือได้”ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เริ่มทำสีหน้ากังวลอ
ฉินซูเพียงแค่ยิ้มเบา ๆ ให้พวกนางทั้งสองและมองไปที่ฉินอู๋ต้าว“เสด็จพ่อ อ๋องหนิงเป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา หากลูกมิตอบตกลง เกรงว่าจะทำให้ตำหนักบูรพาและเสด็จพ่อทรงต้องขายพระพักตร์ ดังนั้น ขอเพียงเสด็จพ่อทรงเห็นด้วย อ๋องหนิงก็ยินดีที่จะให้เป็นไปตามนี้เช่นกัน เท่านี้ ก็จะเป็นไปตามที่เขาต้องการพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ ฉินหยาง ฉินหงและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกเบิกบาน!เจ้าฉินซู กล้าเอาตำแหน่งในตำหนักบูรพามาใช้เป็นเดิมพัน อวดดีถึงขั้นนี้เชียวรึ?ก็ดี กำลังกังวลที่หาวิธีโค่นเจ้ามิได้อยู่พอดี ในเมื่อเจ้าหาวิธีมาให้ขข้าถึงที่เช่นนี้ ก็อย่าโทษที่พวกข้ามิไว้หน้าก็แล้วกันเมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินหยางที่กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายมิพอก็เอ่ยขึ้น “เสด็จพี่รอง ในเมื่อองค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้แล้ว ดังนั้นท่านจะทำตัวขี้ขลาดมิได้ มิว่าอย่างไรท่านก็ต้องเดิมพันกับองค์รัชทายาทสิ!”ฉินหงก็กล่าวด้วยว่า “ถูกต้อง มิเช่นนั้นมันจะเป็นการมิไว้หน้าองค์รัชทายาท นอกจากนี้ทางเป่ยเยี่ยนก็มีท่านผู้อาวุโสเฉิงคอยรับผิดชอบอยู่ ท่านมิต้องกังวลเลย!”ฉินเซียวส่งสายตาเป็นประกายวาว ในใจก็นึกลังเลขึ้นมาตอนนี้ฉินซูตกลงที่จะเดิม
มู่หรงฟู่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “ฉินซู ถึงตาท่านแล้ว นี่คือโคลงเล่นคำสำนวน หากต่อโคลงมิได้ ท่านก็จะมิได้เป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนอีกต่อไป จากนี้ก็ระวังด้วย ฮ่า ๆ ๆ !”ฉินซูยิ้มเบา ๆ พลางส่ายหัว!เมื่อเห็นเช่นนั้น หนานกงจื่อชินก็แทบรอมิไหวที่จะถาม “ฉินซู ท่านส่ายหน้าเช่นนี้หมายความว่าต่อโคลงมิได้ใช่หรือไม่?”ทุกคนจ้องมองไปที่ฉินซู รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน!แต่ฉินซูกลับยิ้มเยาะและพูดว่า “โคลงคู่แรกง่ายถึงเพียงนี้จะไปยากอะไรกัน ข้ามิคิดจะสนใจมันด้วยซ้ำ!”ขุนนางผู้คิดโคลงคู่แรกเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ๆ ท่านช่างคุยโวได้อย่างมิละอายใจเสียจริง เช่นนั้น ท่านก็ต่อโคลงคู่ที่สองมาเถิด!”ฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วพูดอย่างมิเร็วหรือช้าจนเกินไป “ภูตผีวิญญาณแห่งธารน้ำและขุนเขา ปีศาจทั้งสี่เหล่า เผยเงาอยู่เบื้องหน้า!”ทันใดนั้น ด้านหน้าพระที่นั่งขนาดใหญ่ก็เงียบเป็นเป่าสาก!มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรเสียงพัดในมือของหนานกงจื่อชินที่หล่นลงพื้นดัง ‘พรึ่บ’ ได้ทำลายความเงียบของสถานที่แห่งนั้นภายในชั่วพริบตานั้น…“โอ้! องค์ชายรัชทายาทผู้เกรียงไกร!” หวังฉือชูมือกู่ร้องเสียงดัง!ขุนนางห
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู ใบหน้าของมู่หรงจื่อเยียนก็ซีดเผือดด้วยความตกใจ!เดิมทีนางคิดว่าโคลงคู่แรกของนางสามารถหยุดยั้งฉินซูได้แล้ว แต่นางคาดมิถึงว่า อีกฝ่ายมิเพียงต่อโคลงได้เท่านั้น ทว่ายังคิดโคลงคู่สองบทออกมาในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย!มาถึงตอนนี้นางมิกล้าดูถูกฉินซูอีกแล้วหากเพียงครั้งสองครั้งก็อาจกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายโชคดี แต่เป็นหลายครั้งหลายคราที่ฉินซูสามารถจัดการได้โดยมิต้องใช้ความพยายามใด ๆ
มู่หรงฟู่ยิ้มเยาะและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็แต่งบทกวีสิ กระหม่อมมิเชื่อหรอกว่าท่านจะทำได้จริง ๆ!”ฉินซูกลอกตาไปมา จากนั้นก็ขยิบตาแล้วถามว่า “มู่หรงฟู่ ในเมื่อพูดเช่นนี้ เจ้าอยากเดิมพันกับข้าด้วยหรือไม่?”มู่หรงฟู่พูดโดยมิได้คิดอะไร “เดิมพันก็เดิมพัน ใครกลัวกันเล่า!”แต่ทันทีที่พูดจบ เขาก็รู้สึกมิสบายใจขึ้นมาจึงรีบพูดต่อ “แต่งบทเดียวมินับ ถึงอย่างไรก็ต้องแต่งสอง… โอ้ ไม่สิ สามบทแล้วกัน! หากท่านแต่งกวีสามบทเกี่ยวกับเพลงอำลามิได้ก็จะถือว่าแพ้ จากนั้นก็ต้องเห่าให้เหมือนสุนัขต่อหน้าธารกำนัล กล้าหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็บังเกิดความโกลาหล ณ ที่แห่งนี้ให้องค์รัชทายาทเห่าเลียนแบบสุนัขน่ะหรือ นี่มิเป็นการโยนศักดิ์ศรีของราชวงศ์ต้าเหยียนลงพื้นแล้วเหยียบย่ำอย่างหนักหรือไรมิทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไร ฉินซูก็ตอบตกลงอย่างมิลังเล“ตกลง หากข้าแต่งกวีสามบทได้ หลังจากคล้ายวันพระราชสมภพของไทฮองไทเฮา เจ้า มู่หรงฟู่จะต้องอยู่ในเมืองหลงเฉิงแคว้นต้าเหยียนเป็นเวลาครึ่งปี!”คำพูดของฉินซูทำให้สีหน้าของฉินอู๋ต้าวเปลี่ยนไป!ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ มู่หรงฟู่จะสามารถกลับไปยังเป่ยเยี่ยนได้หลังจ
คำพูดนี้ของฉินซูมิใช่เป็นการถ่อมตัวเสียทีเดียว เพราะหากเขามิใช่ผู้เดินทางข้ามเวลามาแล้วนั้น มิต้องพูดถึงกวีโบราณเลย แม้แต่ต่อโคลงคู่ เขาก็คงทำมิได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าท่าทางถ่อมตัวของเขาในสายตาของมู่หรงฟู่นั้นกลับกลายเป็นการเสแสร้ง! มู่หรงฟู่แค่นเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยเร่งอย่างหงุดหงิดว่า “ฉินซู นี่แค่หนึ่งบทเท่านั้น ยังเหลืออีกสองบท!” “ในเมื่อเจ้าร้อนใจเช่นนี้ ข้าก็จะมิหลบซ่อนอีกแล้ว ทุกคนจงฟังให้ดี!” ฉินซูกระแอมและเริ่มเปล่งเสียงท่องบทกวีดังชัดเจน “อัสดงหม่นหมองท้องฟ้าอุไรไกลนับพันลี้ มีฝูงห่านลมพัดผ่านหิมะโปรยปราย อย่ากังวลเรื่องสหายภายภาคหน้า ทั้งใต้หล้าผู้ใดหนามิรู้จักท่าน!” เขาท่องแค่บทที่หนึ่งของบทกวีอำลาต่งต้าเท่านั้นส่วนบทที่สองนั้นมิจำเป็นต้องเอ่ยออกมาเลยเพราะแค่บทแรกก็ทำให้พวกเขาร้องอุทานอย่างประหลาดใจได้แล้ว เป็นไปตามคาด เมื่อเสียงของเขาหยุดลง ทุกคนต่างประทับใจและหลงใหลไปตาม ๆ กัน “อย่ากังวลเรื่องสหายภายภาคหน้า ทั้งใต้หล้าผู้ใดหนามิรู้จักท่าน! ช่างเป็นกวีที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมนัก!” “บทกวีเต็มไปด้วยจินตภาพอันงดงาม แค่หลับตาลงก็เห็นภาพท้องฟ้าอุ
เมื่อได้ยิน ทุกคนต่างตกใจอีกครั้ง! ”ว่ากระไรนะ? บทกวีของรัชทายาทสามารถร้องเป็นเพลงได้งั้นหรือ?” “มิเคยได้ยินและมิเคยเห็นเรื่องเช่นนี้เลยจริงๆ!” “รัชทายาททรงรีบร้องเถิด พวกเราอดใจรอมิไหวแล้ว!” ทุกคนพูดพร้อมกับพากันเอ่ยเร่งออกมา ยามนี้เอง มู่หรงจื่อเยียนก็พูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันสามารถดีดพิณได้ หากองค์รัชทายาทมิรังเกียจ หม่อมฉันจะเป็นผู้บรรเลงพิณให้ท่านเอง” “ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!” สายตาทุกคนหันมาจับจ้องที่มู่หรงจื่อเยียนทันที! เซี่ยหลานที่เต็มไปด้วยความหึงหวง เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านหญิงจื่อเยียน ท่านเป็นชาวเป่ยเยี่ยน ตอนนี้เสนอตัวดีดพิณให้กับองค์รัชายาทต้าเหยียนของพวกเรา เช่นนี้… ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?” หนานกงจื่อชินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตำหนิเบา ๆ ว่า “จื่อเยียน ท่านทำเกินไปหน่อยกระมัง อย่าลืมว่าท่านคือท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยนของเรา” มู่หรงจือเยียนขบริมฝีบากเบา ๆ แล้วอธิบายอย่างน้อยใจว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้น ถึงแม้การประลองนี้จะเกี่ยวข้องกับสองแคว้น ทว่าก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้ว่า เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น เพราะฉะนั้นมิจำเป็นต้องทำใ
ทั้งสองมองหน้ากันพลางยิ้มให้กันอย่างสดใสโดยมิได้นัดหมาย ราวกับเห็นใจและเข้าใจกันเป็นอย่างดี เมื่อเห็นสายตาของทั้งสองคนที่แฝงไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือ หนานกงจื่อชินรู้สึกหึงหวงขึ้นมาทันที เขาดึงตัวมู่หรงจื่อเยียนมาใกล้ ๆ แล้วกระซิบว่า “จื่อเยียน ท่านกำลังทำอะไร เขาคือองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ศัตรูแคว้นเป่ยเยี่ยนของเรา กระหม่อมมิว่าอะไรที่ท่านดีดพิณให้เขา ทว่าถ้าท่านคิดเป็นอื่นกับเขา กระหม่อมมิอาจมองข้ามได้!” มู่หรงจื่อเยียนตกใจและรีบอธิบายว่า “ท่านพี่จื่อชิน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย เพียงแค่รู้สึกว่าบทกวีที่เขาเพิ่งขับร้องนั้น…” พูดมิทันจบ หนานกงจื่อชินซักถามด้วยความโกรธเคืองว่า “บทกวีที่เขาร้องเป็นอย่างไรรึ? ท่านรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม รู้สึกว่าเขามีพรสวรรค์และน่าทึ่ง รู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่ท่านใฝ่ฝันใช่หรือไม่?” “มิ… มิใช่เช่นนั้น ท่านพี่จื่อชินฟังข้าอธิบายก่อน…” “มิต้องอธิบาย ท่านควรตระหนักถึงสถานะของตนเองและถอยออกมาก่อนจะสายเกินไป มิเช่นนั้น ใครก็ช่วยท่านมิได้ กระหม่อมขอเตือนท่านเป็นครั้งสุดท้าย อย่าทำให้ท่านอ๋องอวี้ต้องเดือดร้อน!” ได้ยินเช่นนี้ มู
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ