“เหอะ ๆ หวงเฟิงคือจอมยุทธระดับปฐพีขั้นสูงสุดที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับสวรรค์ หากท่านสามารถสังหารเขาได้ อาจารย์ของหม่อมฉันคงมิต้องส่งหม่อมฉันมาคุ้มกันท่านหรอกกระมังเพคะ?” ฉินซูมิแสดงท่าทีอะไรต่อคำพูดนั้น ในใจของเขานึกขำขึ้นมานิด ๆ เสียด้วยซ้ำ ‘เหตุใดทุกคนถึงคิดว่าข้าต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังด้วยล่ะนี่?’ ‘พวกเขามิเคยสงสัยเลยหรือไรว่าผู้ที่พวกเขาเรียกว่ายอดฝีมือก็คือตัวข้าเอง?’กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดกับตัวเองพร้อมถอนหายใจว่า “ต้องยอมรับเลยว่า ยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังท่านช่างน่าเกรงขามจริง ๆ เขาสามารถจัดการหวงเฟิงได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาอยู่ที่ใดแล้วเล่าเพคะ? ให้เขาปรากฏตัวให้เห็นหน่อยเถิด” ฉินซูพูดอย่างจริงจังว่า “เขาไปแล้ว!” “ไปแล้วหรือเพคะ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองไปรอบๆ แล้วบ่นว่า “ท่านช่างกล้าจริง ๆ มิกลัวว่าหวงเฟิงจะมีผู้ช่วยหรือไรกัน” “ถึงหวงเฟิงจะมีผู้ช่วย แต่ข้าก็ยังมีเจ้าอยู่มิใช่หรือไร” กู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองฉินซูก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพร้อมถามอย่างหยั่งเชิงว่า “องค์รัชทายาท ในความเห็นของท่าน ใครที่สั่งหวงเฟิงมาลอบสังหารท่านหรือเพคะ?” ฉินซูยักไหล่ “ข้าจะไ
ฉินซูเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าถาน ไฉนจึงตื่นตกใจปานนี้เล่า?” ถานเหวยตีอกชกหัวแล้วพูดว่า “แย่แล้ว องค์รัชทายาท เงินบรรเทาภัยพิบัติ เงินนั่นหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” “ว่ากระไรนะ! เงินบรรเทาภัยพิบัติหายไปงั้นรึ?!”ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ อุทานด้วยความตกใจก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปในศาลาพักม้าทันทีเมื่อมาถึงห้องโถงด้านข้าง พวกเขาพบว่าเงินช่วยเหลือที่ควรเก็บไว้ในห้องโถงด้านข้างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย! “หายไปแล้วจริง ๆ นี่มัน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” “หีบเงินตั้งมากมาย จะหายไปเฉย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาลงมือกันรวดเร็วเกินไปแล้ว!” ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ ฉินซูยืนมือไพล่หลังแล้วสำรวจห้องโถงด้านข้างเงียบ ๆ จากนั้นมินาน เขาก็มองลึกไปยังหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งแล้วลูบคางอย่างครุ่นคิด สวีเซี่ยงเฉียนที่ได้สติจากอาการตกใจ รีบเร่งลูกน้องว่า “เร็วเข้า พวกเจ้ารีบไล่ตามไป มิว่าอย่างไรก็ต้องเอาเงินบรรเทาภัยพิบัติกลับมาให้จงได้!” เหล่าทหารจากกองทัพป้องกันชายแดนได้ยินดังนั้นจึงแยกย้ายออกเป็นหลายกลุ่ม เพื่อออกไปติดตามค้นหาเงินช่วยเหลือ พี่น้องตงฟางไป๋เองก็อยากไปเช่นกัน แต่กลับถูกฉินซูหยุด
ทุกคนขมวดคิ้วแน่นอย่างงงงวย กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “องค์รัชทายาท องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้ท่านคุ้มกันเงินบรรเทาภัยพิบัติ บัดนี้เงินหายไปแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นความผิดร้ายแรง พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?” ตงฟางไป่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังหนักแน่นว่า “องค์รัชทายาท ก่อนออกเดินทางท่านรับสั่งให้ข้าน้อยสองคนพี่น้องคุ้มกันเงินบรรเทาภัยพิบัติให้ดี บัดนี้เงินหายไปแล้ว ความรับผิดชอบอยู่ที่ข้าน้อย หากองค์จักรพรรดิพิโรธ ข้าน้อยจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินซูยิ้มอย่างสงบนิ่งและพูดว่า “เรื่องยังมิถึงขั้นนั้น พวกเจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป” “องค์รัชทายาท เงินบรรเทาภัยพิบัติหายไปแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นความผิดขั้นประหารชีวิต อีกทั้งองค์จักรพรรดิจะต้องมิทรงยกโทษให้ท่านง่าย ๆ เป็นแน่ แล้วพวกข้าน้อยจะมิตื่นตกใจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางไป๋พูดพร้อมกระทืบเท้าอย่างร้อนใจ ฉินซูพยักหน้าไปทางสวีเซี่ยงเฉียนพร้อมพูดว่า “ไป ไปพานายสถานีศาลาพักม้าเข้ามา” ถึงแม้ว่าสวีเซี่ยงเฉียนจะงุนงงอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังทำตามมินาน นายสถานีศาลาพักม้าก็ถูกพาตัวมา “ข้า… ข้าน้อยคารวะองค์องค์รัชทายา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก้ต่างเผลอก้มหน้ามองโดยมิรู้ตัว สีหน้าของนายสถานีศาลาพักม้าถึงกับ “ฉาบ” ด้วยสีขาวซีดทันที แววตาของเขายังปรากฏร่องรอยตื่นตระหนกชัดเจน! กู้เสวี่ยเจี้ยนก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าวแล้วเดินสำรวจภายในห้องโถงด้านข้าง ทุก ๆ ก้าวล้วนแต่ย่ำเท้าลงอย่างแรง หลังจากนั้นมินาน นางก็ขมวดคิ้วเบา ๆ พร้อมเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท ใต้พื้นไม่มีช่องว่างเลยเพคะ” สวีเซี่ยงเฉียนเองก็ลองย่ำพื้นรอบ ๆ เช่นกัน แล้วจึงเอ่ยเสริมว่า “ไม่มีจริง ๆ หากมีห้องหรือช่องลับอยู่ใต้พื้นจริงก็ควรมีเสียงสะท้อนช่องที่กลวงโหว่ถึงจะถูกพ่ะย่ะค่ะ” “พื้นทั่วไป ย่อมเป็นอย่างที่พวกเจ้าพูด ทว่าพวกเจ้าลองดูเถิดว่าพื้นนี้ทำจากไม้อะไร” เมื่อได้ยินฉินซูพูดเช่นนี้ ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ต่างพากันก้มมองพื้น ตงฟางโซ่วหยิบทวนยาวแล้วแทงลงบนพื้นทันที “แกร๊ก!” แผ่นไม้ชิ้นเล็ก ๆ ถูกงัดขึ้นมา ครั้นแล้วก็เห็นว่าตรงกลางของแผ่นไม้ปรากฏสีแดงขึ้นมาจาง ๆ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ตงฟางโซ่วแทงลงไปเต็มแรง แต่กลับงัดขึ้นมาได้เพียงชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นกู้เสวี่ยเจี้ยร้องอุทานอย่างตกใจว่า “ที่แท้มันคือไม้พะยูง!”
กู้เสวี่ยเจี้ยนรีบมาที่หน้าต่างก่อนมองออกไปด้านนอก หลังจากนั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายราวกับถูกบีบเมื่อสังเกตได้ว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไป ฉินซูจึงเอ่ยถามว่า “เสวี่ยเจี้ยน เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?” กู้เสวี่ยเจี้ยนตอบกลับด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “หม่อมฉันย่อมมิเป็นอะไร แต่หม่อมฉันพลั้งมือฆ่าขุนนางชั่วไปแล้วเพคะ” “เขาตายแล้วก็แล้วไปเถอะ พวกเจ้ามิเป็นอะไรก็พอแล้ว” โชคดีที่กู้เสวี่ยเจี้ยนร้องเตือนล่วงหน้าทำให้ทุกคนป้องกันไว้ก่อนได้ จึงไม่มีใครถูกลูกธนูลับจนได้รับบาดเจ็บกู้เสวี่ยเจี้ยนเอื้อมมือไปแตะที่จานรองกระถางต้นไม้ จากนั้นเขาก็หมุนมัน“แกร๊ก แกร๊ก…”หลังจากเกิดเสียงดังที่หนักอึ้งขึ้น พื้นของห้องโถงด้านข้างค่อย ๆ เปิดออกท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง ห้องลับที่กว้างสิบจั้งปรากฏขึ้นใต้ห้องโถงด้านข้าง!เงินบรรเทาภัยพิบัติที่หายไปเหล่านั้น เวลานี้ถูกกองไว้กลางห้องลับอยู่เงียบ ๆ ตงฟางไป๋รีบเดินลงไปทันทีและเอื้อมมือออกไปเปิดหีบไม้เพื่อตรวจสอบ ตอนนี้เอง จมูกของฉินซูกระตุกเล็กน้อยแล้วตะโกนว่า “อย่าแตะต้องมัน!” แต่มันสายเกินไปแล้ว!มือของทหารนายหนึ่งได้สัมผัส
ตงฟางไป๋พูดอย่างฮึกเหิมว่า “พวกมันกล้ามาอีกก็ดีสิ ถึงเวลานั้น เราจะจับพวกมันทั้งเป็นแน่นอน!”“ถูกต้อง เป็นเช่นนี้ ก็จะสืบสวนจนรู้ได้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง” ฉินซูกลับโบกมือแล้วเอ่ยว่า “คืนนี้พวกเขาจะมิกลับมาแล้ว!” “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงทรงแน่ใจนักเพคะ?” กู้เสี่วยเจี้ยนสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ฉินซูยิ้มบาง ๆ และอธิบายว่า “ผู้วางแผนการ ครั้งแรกได้ผล ครั้งที่สองแย่ลงและหมดแรงในครั้งที่สาม พวกมันพ่ายแพ้ไปสองครั้งแล้ว หากมิโง่จริง ๆ คงมิกลับมาตายอีก” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองฉินซูด้วยใบหน้าตกใจแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “คำพูดของท่านเหมือนตำราพิชัยสงครามเลยเพคะ หรือว่าองค์รัชทายาททรงเชี่ยวชาญเรื่องการสงครามด้วย?” “รู้แค่เล็กน้อยเท่านั้น เอาเถอะ ข้าง่วงแล้ว พวกเจ้าตามสบาย”ฉินซูยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหมุนตัวเดินขึ้นชั้นบน ส่วนเซี่ยหลานก็ตามไปติด ๆ กู้เสวี่ยเจี้ยนมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ที่จากไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกรอบ นางรู้สึกอยู่เสมอว่า ความสัมพันธ์ของฉินซูและเซี่ยหลานนั้นมิธรรมดา แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไร นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งให้ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม แล้วจึงเ
เมื่อเห็นฉินซูชื่นชมตนเช่นนี้ เซี่ยหลานก็ยิ้มหน้าบานด้วยความปีติยินดีทันที นางมองฉินซูอย่างเสน่หา ถึงแม้จะมิพูด แต่สิ่งที่อยู่ในใจก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนเกินบรรยายแล้ว ฉินซูค่อย ๆ โอบนางเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับจูบเบาที่ริมฝีปากสีชมพูเล็ก ๆ ของนาง ทว่ายังมิทันที่เซี่ยหลานจะตอบสนอง เขาก็ปล่อยมือ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น เซี่ยหลานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ฉินซูมองนางอย่างช่วยมิได้ก่อนจะโน้มตัวกระซิบเบา ๆ ข้างหูว่า “ตอนนี้กู้เสวี่ยเจี้ยนกำลังแอบฟังอยู่ข้าง ๆ หากเจ้ามิว่าอะไร ข้าก็จะ…” ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ เซี่ยหลานรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วกระซิบด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เช่นนั้นก็ช่างเถิดเพคะ หม่อมฉันจะกลับไปนอนแล้ว” หลังจากพูดจบ ทันใดนั้นเซี่ยหลานก็เอ่ยเสียงดังว่า “องค์รัชทายาท ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเถิดเพคะ” หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินออกไป แล้วยังปิดประตูลงอย่างแรง เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินซูอดยิ้มบาง ๆ มิได้ ในสายตาของเขา การกระทำของเซี่ยหลานดูเหมือนจะชัดเจนเกินไปว่าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วก็มิรู้ด้วยว่ากู้เสวี่ยเจี้ยนจะคิดเช่นไร เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงพลางมองเ
หนานกงจื่อชินพูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีฉงชูโม่ กระหม่อมย่อมมั่นใจ!” “เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปเถอะ อย่าลืมระวังให้มากขึ้น ข้าได้ยินว่า ฉินซูมียอดฝีมือแห่งสำนักหอดูดาวหลวงคอยคุ้มกันอยู่” “ก็แค่ศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้น ความแข็งแกร่งนั้นต่างกับฉงชูโม่มาก กระหม่อมหาได้ใส่ใจไม่!” มู่หรงจื่อเยียนกล่าวว่า “ท่านพี่จื่อชิน ข้าจะไปกับท่าน!” หนานกงจื่อชินขวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านจะไปด้วยเหตุใด?” “แน่นอนว่าช่วยท่านอำพรางตัวน่ะสิ ท่านออกไปคนเดียวย่อมเป็นที่สังเกตของผู้คน”หนานกงจื่อชินกำลังจะปฏิเสธ แต่มู่หรงฟู่กลับกล่าวว่า “จื่อเยียนพูดถูก บัดนี้มีสายตามากมายคอยจับตามองพวกเราอยู่ เจ้าในฐานะศิษย์เอกของหอดารารักษ์ หากเจ้าออกไปคนเดียว ก็เป็นที่สังเกตได้ง่ายจริง ๆ” “แล้วพาจื่อเยียนไปด้วย มันแตกต่างกันตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ?” “ย่อมมิเหมือนกัน จื่อเยียนมิรู้วิชาการต่อสู้ เจ้าพานางไปด้วย คนอื่นก็จะเข้าใจว่าเจ้าพานางออกนอกเมืองไปเที่ยวเล่นเท่านั้น มินึกสงสัยอะไร” หนานกงจื่อชินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ก็ใช่ พ่ะย่ะค่ะ จื่อเยียน ท่านไปเก็บของเถอะ การเดินทางครั้งนี้พวกเราอาจต้องใช้เวลาหลาย
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ