บทที่ 2
'ร่วมหอลงโรง'
.
.
สองบุรุษต่างลอบกลืนน้ำลายลงคอยามได้เห็นท่าทางยั่วยวนขององค์หญิงสามแห่งแคว้นหลงที่ผู้คนต่างยกย่องว่านางนั้นงดงามราวกับเทพธิดา กิริยามารยาทเรียบร้อยสง่างามสมเป็นองค์หญิงของแผ่นดิน แต่บัดนี้กลับนอนแหวกขาเชื้อเชิญบุรุษทั้งสองให้เข้าหาพร้อมกันราวกับนางโลมในหอโคมไม่มีผิด
เหยียนอี้เป็นแม่ทัพแคว้นหลงจึงยังลังเลที่จะก้าวเข้าไปล่วงเกินองค์หญิงผู้สูงส่งต่างจากเซียวหยางชุนที่เป็นองค์ชายต่างแคว้นที่ปรารถนาในตัวขององค์หญิงซ่งหลิงซูมานานถึงขั้นยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างเพื่อเดินทางมาแต่งงานกับนางถึงแคว้นหลง แต่งเข้าราชวงศ์ซ่งด้วยความเต็มใจ ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรมีแต่สตรีต้องแต่งออกไม่ใช่บุรุษแต่งเข้าเช่นนี้
ร่างสูงขององค์ชายต่างแคว้นก้าวเข้าไปหาซ่งหลิงซูทันที นางสบตากับผู้กล้าหาญคนแรกอย่างหงานเยิ้ม วงแขนเล็กยกขึ้นโอบกอดลำคอหนาเอาไว้ก่อนจะยื่นใบหน้าขึ้นไปประทับจูบลงบนริมฝีปากหนา สองลิ้นสอดแทรกเกี่ยวกระหวัดกันจนเกิดเสียงจูบอันชื้นแฉะ ปลายลิ้นแลบออกมาถูไถกันอย่างเร่าร้อน
แน่นอนว่าภาพเหล่านั้นล้วนอยู่ในสายตาของเหยียนอี้ที่จ้องมองอยู่ ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแต่ช่วงล่างกลับแข็งดุนดันเนื้อผ้าขึ้นมายามเห็นองค์หญิงสามผู้สูงส่งกำลังทอดกายให้องค์ชายต่างแคว้นกระทำย่ำยีด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
สุดท้ายความอดทนของแม่ทัพผู้องอาจก็ขาดสะบั้น ร่างสูงก้าวขึ้นไปบนเตียงก่อนจะใช้สองมือจับที่อาภรณ์ช่วงหน้าอกของซ่งหลิงซูจากนั้นจึงฉีกกระชากมันออกด้วยแรงอันมหาศาลของคนจับดาบจับทวนมาแทบทั้งชีวิต
แคว่ก!!!
“อ๊ะ!” ซ่งหลิงซูร้องเสียงหลงยามอาภรณ์ถูกฉีกกระชาก
“เจ้าอย่าใจร้อนสิ!” เซียวหยางชุนหันไปตำหนิเหยียนอี้
แม่ทัพหนุ่มหันมาจ้องตาองค์ชายต่างแคว้น มือใหญ่บีบเคล้นลงบนหน้าอกอวบอิ่มที่ยอดเต้าสีชมพูอ่อนน่าทะนุถนอม “หรือพระองค์ไม่ชอบ”
เซียวหยางชุนมองหน้าอกอวบอิ่มที่ถูกบีบจนล้นขึ้นมาตามซอกนิ้วก็ถึงขั้นกลืนน้ำลายเหนียวลงคออึกใหญ่ เขาจับนางให้ล้มตัวลงนอนราบจากนั้นจึงซุกหน้าลงไปหาสองเต้าอวบอิ่มแล้วใช้ปากปรนเปรอจนน้ำลายเหนียวเปรอะเปื้อน ฟันหนาขบกัดลงบนยอดปทุมถันสีชมพูอ่อนจนมันแดงเถือก
“อ๊า… ซี๊ด~” เสียงครางหวานดังออกมาจากปากของซ่งหลิงซูด้วยความสุขสมยามถูกปรนเปรออย่างเร่าร้อน แต่เสียงครางนั้นกลับกลืนหายไปในลำคอเมื่อมีท่อนเอ็นใหญ่ที่ร้อนผ่าวยัดเข้ามาในปากจังหวะที่นางกำลังเผลอไผล
ท่อนเนื้อลำอวบใหญ่แทงลึกเข้ามาในปากจนแทบจะทะลุลงลำคอ ดวงตาคู่สวยที่ชุ่มชโลมไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นสบมองกับเหยียนอี้ที่นั่งอยู่ข้างใบหน้าของนางและเป็นคนที่ยัดท่อนเนื้อใหญ่เข้ามาแบบไม่บอกไม่กล่าว
“กระหม่อมอยากเอาแท่งเนื้อของกระหม่อมยัดปากองค์หญิงมานานแล้ว”
ซ่งหลิงซูที่มีท่อนเอ็นอุ่นคาปากอยู่ไม่อาจจะเอ่ยสิ่งใดได้แต่นางก็รู้ความปรารถนาของบุรุษดีเพราะในชีวิตก่อนก็ช่ำชองเรื่องแบบนี้ไม่ใช่น้อย มือเล็กยกขึ้นจับท่อนเนื้อร้อนแล้วขยับใบหน้าขึ้นลงให้เนื้อแข็งรูดไปตามโพรงปากนุ่ม ปลายลิ้นตวัดเลียส่วนหัวดุนดันเข้าไปในรูมนอย่างชำนาญ
“อ๊า… อะ… องค์หญิงปากพระองค์ดีจริง ๆ กระหม่อมขอแตกใส่ปากพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนอี้ไม่รีรอรีบล้วงมือไปจิกผมของซ่งหลิงซูแล้วกระแทกแก่นกายเข้าออกภายในปากของนางอย่างหนักหน่วง
เสียงโครกครากดังออกมาจากปากที่กำลังสำลักจนหน้าดำหน้าแดงของซ่งหลิงซู ดวงตาร้อนผ่าวไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลปะปนกับน้ำมูกน้ำลาย แท่งเนื้อลำอวบใหญ่ยังขยับโยกไม่หยุดก่อนที่สุดท้ายน้ำคาวอุ่นจะอัดฉีดเข้ามาในปากของนาง
“แค่ก ๆ” ซ่งหลิงซูถึงขั้นสำลักจนหน้าดำหน้าแดง ปากบ้วนเอาน้ำคาวขุ่นออกมาบางส่วนจนไหลเยิ้มเหมือนหมาบ้าที่น้ำลายห้อยย้อยไม่มีผิด
แทนที่สองบุรุษจะรู้สึกสงสารแต่น้ำตากลับซ่งหลิงซูกลับยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของเขาให้พลุ่งพล่านมากกว่าเดิมเสียอีก เซียวหยางชุนไม่อาจจะอดทนได้อีกต่อไป เขาจับนางให้นอนหงายดี ๆ ก่อนจะแหวกขาเรียวสวยออกแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งตรงกลาง แก่นกายลำอวบใหญ่ถูไถลงบนกลีบดอกไม้งามที่ชุ่มแฉะไปด้วยน้ำหวานจนซ่งหลิงซูส่งเสียงครางกระเส่าออกมาไม่หยุดปาก
แต่ก่อนที่เซียวหยางชุนจะได้สอดแทรกตัวตนเข้าไป เหยียนอี้กลับจับไหล่ห้ามปรามเขาเอาไว้ “พระองค์จะเริ่มก่อนได้อย่างไรกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อเจ้าเสร็จสมไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ข้ายังไม่ถึงสวรรค์เลย” เซียวหยางชุนปัดมือเหยียนอี้ออกไปก่อนจะหันกลับมาแล้วกดแก่นกายลำอวบใหญ่เข้าไปในโพรงอ่อนนุ่มอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะถูกเหยียนอี้แย่ง
“บะ… เบาหน่อย ข้าเจ็บ!”
“เบาไม่ได้ เดี๋ยวมีคนแย่งข้า!”
“อ๊า! จะ… เจ็บชะมัด”
ซ่งหลิงซูบิดเร้าด้วยความเจ็บเมื่อเซียวหยางชุนตะบี้ตะบันชำแรกแก่นกายเข้ามาอย่างหนักหน่วง อัดกระแทกเข้ามาสองครั้งจนมิดสุดลำยาว สัมผัสได้ถึงส่วนหัวที่กระแทกจนมดลูกนางสะเทือนเลย ความอึดอัดคับแน่นอยู่ที่ช่องทางด้านล่างเมื่อพยายามมองลงไปถึงกลับต้องตาโตกับขนาดของเซียวหยางชุนน้อยที่มันใหญ่ยาวยิ่งนักอย่างกับขาที่สาม
“ของเจ้าใหญ่ยาวนัก ขะ… ข้าเจ็บ เบาหน่อย”
“ข้าจะค่อย ๆ ขยับ” เซียวหยางชุนค่อย ๆ ขยับเอวในจังหวะเนิบช้าถอนแก่นกายลำอวบใหญ่ออกมาจนเกือบหลุดจากช่องทางอ่อนนุ่มจากนั้นจึงกระแทกเข้าไปใหม่จนเลือดแห่งความบริสุทธิ์ไหลรินอาบชโลมท่อนเนื้อของเขา
ริมฝีปากขององค์ชายต่างแคว้นยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับเหยียนอี้ “ดูเลือดบริสุทธิ์นี้สิ มันช่างหอมหวาน แสดงให้เห็นว่าข้าคือคนแรกของนาง ไม่ใช่เจ้า”
“เจ้า!” เหยียนอี้กำหมัดแน่นทำท่าจะต่อยเซียวหยางชุนจนซ่งหลิงซูต้องรีบห้าม
“ใจเย็นก่อน!” นางยกมือขึ้นจับหน้าอกกำยำของเหยียนอี้ก่อนจะเลื่อนมือลงมาจับแก่นกายลำอวบใหญ่ที่ไม่ได้น้อยหน้าเซียวหยางชุนสักนิด มือเล็กชักรูดมันอย่างเร่าร้อนปลายลิ้นแลบเลียริมฝีปากด้วยท่าทางยั่วยวน
“เจ้าจะโมโหทำไมกัน ข้ามีตั้งสองรู รูหน้าไม่ได้ เจ้าก็ยังมีรูหลัง ค่ำคืนนี้ข้ายกมันให้พวกเจ้าทั้งสองคนได้เป็นเจ้าของเลย”
คำพูดของนางทำให้แม่ทัพหนุ่มของขึ้น แก่นกายชี้โด่แข็งขึ้นมามากกว่าเดิมเสียอีก เขาจับตัวนางพลิกให้นอนหันข้าง เซียวหยางชุนนั้นรู้ความต้องการต้องของบุรุษด้วยกันจึงยกขาข้างหนึ่งของนางขึ้นพาดบ่าเพื่อแทรกตัวเข้าไปหาร่องสวาท แก่นกายลำอวบใหญ่ยังคงกระแทกกระทั้นเข้าออกภายในช่องทางคับแน่นอย่างรุนแรงจนเสียงเนื้อกระทบกันดังติดถี่ ๆ ไม่เว้นวรรคให้พักหายใจสักนิดเดียว
ซ่งหลิงซูเชิดใบหน้าขึ้นส่งเสียงครางกระเส่าออกมาด้วยความเสียวซ่าน แต่กลับต้องตกใจยามมีนิ้วแทรกเข้ามาทางรูจีบด้านหลังของนาง เมื่อหันไปมองก็เห็นนิ้วของเหยียนอี้ที่ชุ่มไปด้วยน้ำมันลื่นกำลังสอดแทรกเข้าด้านหลัง
น้ำมันหอมถูกชโลมจนชุ่มนิ้ว เหยียนอี้ค่อย ๆ ชำแรกนิ้วเข้าไปภายในรูจีบอย่างนุ่มนวลจากหนึ่งนิ้วเป็นสองนิ้วและจบลงที่สามนิ้วเพื่อเบิกทางให้ขยายกว้างขึ้น กวาดน้ำมันหอมไปทั่วช่องทางคับแน่นเพื่อให้เข้าได้ง่ายขึ้น แต่ความต้องการก็มากล้นเกินกว่าจะมานอนถูไถด้วยน้ำมันได้เพราะมันไม่อาจจะทำให้เขาถึงสวรรค์
ขวดน้ำมันหอมจึงถูกเทลงบนรูจีบเสียไหลหยาดเยิ้มเลอะเทอะที่นอน จากนั้นจึงหันไปสั่งเซียวหยางชุน “เจ้าลงไปนอนข้างล่างแล้วให้องค์หญิงนอนคว่ำทับเจ้าเอาไว้”
เซียวหยางชุนที่กำลังมีอารมณ์พลุ่งพล่านนั้นทำตามทุกอย่าง องค์ชายหนุ่มนอนหงายลงบนเตียงแล้วอุ้มตัวซ่งหลิงซูขึ้นมานอนทับ เขาจับแก่นกายสอดแทรกเข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มอีกครั้งแล้วกระแทกสวนขึ้นไปอย่างหนักหน่วง สะโพกกลมกลึงของนางเด่นหราอยู่เบื้องหน้าของเหยียนอี้
มือใหญ่บีบลงบนแก้มก้นนุ่มแล้วจับมันแหวกออก แก่นกายลำอวบใหญ่ชำแรกผ่านรูจีบที่ปิดสนิทเข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้าให้น้ำมันหอมช่วยเป็นใบเบิกทางให้เคลื่อนตัวเข้าไปง่ายขึ้นแต่ถึงกระนั้นช่องทางด้านหลังก็เข้ายากกว่าด้านหน้ามาก
“จะ… เจ็บ! เบาหน่อยท่านแม่ทัพ!”
“กระหม่อมก็เบาแล้ว แต่รูพระองค์มันคับแน่นยิ่งนัก”
“อ๊า! รูข้าจะฉีกแล้ว!”
“พระองค์จะร้องไปไยในเมื่อเป็นฝ่ายเชิญชวนกระหม่อมเอง ดีแค่ไหนแล้วที่กระหม่อมยังทำช้า ๆ ไม่กระแทกเข้าไปให้มันฉีกขาดเสีย”
คำกล่าวของเหยียนอี้มันทำให้ซ่งหลิงซูเถียงไม่ออกเลยทีเดียวเพราะนางเป็นฝ่ายเชิญชวนพวกเขาเองจึงต้องยอมรับผลที่จะตามมา แม้จะเจ็บแต่ก็รู้สึกดีมาก ตัณหาราคะกำลังมัวเมาซ่งหลิงซูจนแทบจะเสียสติแล้ว
ในยามนี้ช่องทางของนางทั้งข้างหน้าข้างหลังล้วนถูกกระแทกกระทั้นอย่างหนักหน่วงจากบุรุษทั้งสองที่กำลังสมสู่นางเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน เสียงเนื้อกระทบกันดังออกมาถี่ ๆ ไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับเสียงครวญครางที่ดังประสานกันทั้งอ่อนหวานและเข้มขรึม
“สะ… เสียวยิ่งนัก รูของเจ้ากำลังบีบรัดข้าแน่น” เซียวหยางชุนจับเอวคอดบางเอาไว้จากนั้นจึงกระแทกสวนแก่นกายขึ้นไปอย่างเร่าร้อน
“ข้างหลังของพระองคฺ์กำลังทำให้กระหม่อมเสียสติ” เหยียนอี้ก็ไม่ยินยอมเขากระแทกเอวเข้าไปอย่างหนักหน่วงจนหน้าท้องกระแทกกับก้นกลมกลึงจนแดงเถือก
พวกเขาทั้งสองล้วนสุขสมยามได้ย่ำยีกายสาวตามใจปรารถนา ซ่งหลิงซูเองก็เสียวซ่านจนแทบสิ้นสติ ความเจ็บปวดปะปนไปกับความสุขสมยามแก่นกายลำอวบใหญ่แล้วยังยาวมากกำลังกระแทกเข้าใส่ช่องทางอ่อนนุ่มของนางทั้งสองรูพร้อมกันแบบนี้ พลันภาพในหัวมันกลับจินตนาการถึงหนังโป๊ที่เคยดูในชีวิตก่อน ถ้าปากของนางมีท่อนเนื้อลำอวบอีกสักแท่งมากระแทกปากคงดี
บทที่ 3‘บริการทุกระดับประทับใจ’..เซียวหยางชุนหันไปรินน้ำชาใส่ถ้วยก่อนจะยกขึ้นดื่มเพื่อแก้กระหาย แต่น้ำชากลับกระฉอกยามร่างกายของเขากำลังขยับโยกเพราะยังคงซอยเอวใส่ช่องทางอ่อนนุ่มของซ่งหลิงซูไม่พักในยามนี้เรือนกายของซ่งหลิงซูนอนคว่ำราบลงบนโต๊ะกลม สะโพกแอ่นขึ้นและกำลังถูกองค์ชายหนุ่มกระแทกแก่นกายเข้ามาจนลึกสุดลำยาวผ่านรูจีบด้านหลังของนางที่ถูกย่ำยีเสียจนบวมช้ำ เนื่องด้วยเซียวหยางชุนไม่ยอมน้อยหน้าเหยียนอี้ที่ได้เข้าด้านหลังเขาจึงขอทำบ้าง แม้ซ่งหลิงซูจะเหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็ยอมตามใจสามีเอาแต่ใจผู้นี้เหยียนอี้ที่สุขสมไปแล้วสองรอบนั่งมองดูการกระทำของเซียวหยางชุนที่ยังไม่ยอมหยุด แม้อีกฝ่ายจะขึ้นสวรรค์ไปสามรอบแล้วก็ตามแต่ก็ยังอยากมีรอบที่สี่ทั้งที่เขาก็ตะเตือนแต่แรกแล้วว่าองค์หญิงไม่ไหวแล้ว แต่องค์ชายต่างแคว้นผู้นี้กลับเอาแต่ใจเกินควบคุมได้“หมดรอบนี้พระองค์ก็ควรพอได้แล้ว องค์หญิงจะได้พักผ่อน”“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องมาสั่ง!”เซียวหยางชุนตวัดสายตาดุดันจ้องหน้าเหยียนอี้อย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายเป็นแค่แม่ทัพแต่กลับกล้ามาออกคำสั่งกับองค์ชายอย่างเขา และเลือกจะเอาความหงุดหงิดนั้นมาลงกับซ่งหลิงซูด้วยการ
บทที่ 4'จวนหลังใหม่'..“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยามเหม่าแล้ว”เสียงปลุกดังขึ้นข้างหูมันทำให้ซ่งหลิงซูที่กำลังหลับสบายลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย นางบิดขี้เกียจเล็กน้อย ยืดขาเรียวเหยียดยาวเพราะรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่เพื่อพยายามปรับแสงที่สาดส่องเข้ามากระทบในม่านตา“ลุกเถิดพ่ะย่ะค่ะ นี่ยามเหม่าแล้ว ประเดี๋ยวต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮา”เสียงนั้นดังมาจาก ‘สวีกงกง’ ขันทีคนสนิทขององค์หญิงซ่งหลิงซูที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงเป็นขันทีที่อายุรุ่นราวคราวมารดา ก่อนจะย้ายมาดูแลซ่งหลิงซูเขาก็เคยดูแลมารดาของนางที่เป็นสนมมาก่อน เมื่อมารดาเสียไปจึงถูกโยกย้ายให้มาดูแลซ่งหลิงซูต่อ“ยังเช้าอยู่เลยจะรีบตื่นไปไหนกัน” ซ่งหลิงซูมุดใบหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่มเช่นเดิมด้วยความขี้เกียจแต่ก็ถูกสวีกงกงดึงผ้าห่มออก“ลุกเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“อะไรกัน” นางพึมพำออกมาเมื่อถูกดึงให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งหนึ่ง “นี่ข้าอุตส่าห์ได้มาเกิดใหม่เป็นองค์หญิงแล้ว แต่ก็ยังต้องตื่นเช้าอีกหรือไง?”“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” สวีกงกงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงพึมพำไม่ถนัดนัก“ไม่มีสิ่งใดหรอก”ซ่งหลิงซูขยับตัวลุกขึ้นเตร
บทที่ 5‘สองบุรุษร่วมแรง’..“จะ… เจ้าปล่อยข้าได้หรือไม่?” ซ่งหลิงซูหันมาร้องขอเหยียนอี้ให้ปลดพันธนาการออกเพราะถ้าขืนนางยังถูกมัดเช่นนี้คงถูกพวกเขาย่ำยีจนฟ้ามืดเป็นแน่“ขออภัย แต่ข้าชอบเวลาเจ้าถูกมัดมากกว่าเสี่ยวซู”ขาเรียวถูกยกขึ้นพาดบ่าพร้อมแรงกระแทกกระทั้นที่หนักหน่วงมากกว่าเดิม แก่นกายลำอวบใหญ่ผลุบเข้าผลุบออกผ่านช่องทางอ่อนนุ่มที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำเฉอะแฉะปลายลิ้นไล้เลียไปตามขาอ่อนขาว“อ๊า! จะ… เจ็บ!” นางร้องออกมายามถูกขบกัดลงบนเนื้อที่ขาจนขึ้นรอยฟันแดงแต่ยิ่งเหยียนอี้เห็นน้ำตาของซ่งหลิงซูเขาก็ยิ่งมีอารมณ์มากกว่าเดิมเสียอีก ร่างกายพลุ่งพล่านไปด้วยไฟราคะที่ยากจะดับมอดลงได้ การขบกัดจึงตามมาไม่หยุดหย่อนทั่วทั้งขาของซ่งหลิงซูทั้งสองข้างล้วนมีแต่รอยขบกัดจนแดงเถือก“เจ้าเป็นสุนัขหรือไง!”“ถ้าข้าเป็นสุนัขก็หมายความว่าเจ้ากำลังถูกสุนัขสมสู่อยู่”“งั้นก็ปล่อยข้าสิ ข้าจะคลานสี่ขาให้เจ้าสมสู่เยี่ยงสุนัข”“เจ้ากล่อมข้าไม่สำเร็จหรอก ข้ารู้ว่าปล่อยเจ้าตอนนี้เจ้าก็จะหนีไป”เมื่อโดนรู้ทันซ่งหลิงซูก็ได้แต่ชักสีหน้ามุ่ยใส่เหยียนอี้ มันก็จริงถ้าเขาปล่อยนางตอนนี้นางจะรีบวิ่งหนีไปเลย ไม่เช่นนั้นคงได
บทที่ 6‘ยาบำรุงกาย’..“องค์หญิงอย่าวิ่งพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะล้ม”เสียงของเหยียนอี้ตะโกนตามหลังซ่งหลิงซูที่กำลังวิ่งกลับตำหนักด้วยท่าทางรีบร้อน แต่นางกลับหันใบหน้ากลับมาพร้อมสายตาดุดันที่กวาดมองสองบุรุษ “คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย ข้าจะปิดตำหนัก”“แล้วพวกข้าจะไปนอนที่ไหน?” เซียวหยางชุนถาม มือของเขายังคงโบกสะบัดพัดไปมาด้วยท่าทางสบายอุรา“จะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของพวกเจ้า แต่ไม่ต้องมานอนกับข้า!”ว่าจบซ่งหลิงซูก็รีบหันหน้าวิ่งกลับตำหนักจนชายอาภรณ์ปลิดปลิว แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บช่วงล่างมากก็ตามแต่ก็ฝืนทน เมื่อเข้ามาถึงด้านในตำหนักยามหันไปเห็นสวีกงกงจึงเอ่ยคำสั่งทันที“ปิดประตูหน้าต่างให้หมด ห้ามผู้ใดเข้าตำหนักข้า!”“ราชบุตรเขยทั้งสองด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” สวีกงกงมีสีหน้าประหลาดใจ“ใช่ โดยเฉพาะพวกเขา ยิ่งต้องห้าม!” นางมองไปที่ประตูหน้าต่าง “ปิดสิ ปิดให้หมดเลย อย่าให้เหลือสักบาน!”สวีกงกงหันไปพยักหน้าให้กับเหล่านางกำนัล ทุกคนจึงช่วยกันปิดประตูหน้าต่างทันที ภายในตำหนักตกอยู่ในความมืดไม่นานก็สว่างไสวขึ้นจากเปลวเทียนที่ถูกจุดทั่วห้อง สวีกงกงเดินเข้ามาหาซ่งหลิงซูก่อนจะรินน้ำชาให้“ดื่มน้ำชาให้หาย
บทที่ 7'ความสงสัย'..ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาในตำหนักของลี่จิ่นฮองเฮาด้วยท่าทางสง่างาม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง นางรู้ดีว่าฮองเฮาผู้นี้ไม่เคยมีเจตนาดีต่อองค์หญิงสาม ยิ่งความทรงจำเดิมบอกเล่าถึงความบาดหมางระหว่างมารดากับลี่จิ่นฮองเฮา ความสงสัยที่ว่ายาบำรุงร่างกายที่ฮองเฮาประทานให้อาจมีพิษปะปนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” ซ่งหลิงซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลี่จิ่นฮองเฮายิ้มบาง แววตาเต็มไปด้วยความเมตตายามทอดมองหลานสาว “ซูเอ๋อร์ วันนี้เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”ซ่งหลิงซูยิ้มตอบ “หม่อมฉันเพียงอยากมาขอบพระทัยสำหรับยาบำรุงที่พระองค์ประทานให้ ดื่มแล้วรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากเพคะ”คำพูดนั้นทำให้ลี่จิ่นฮองเฮายิ้มกว้างขึ้น “ดีแล้ว ยานั้นเป็นตำรับพิเศษที่ข้าสั่งให้คนจัดหามาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้เจ้าฟื้นตัวเร็วขึ้น”ซ่งหลิงซูพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “ตำรับพิเศษเช่นนี้ หม่อมฉันคิดว่าคงหายากมากใช่ไหมเพคะ พระองค์ทรงจัดหามาเองหรือ?”“แน่นอน ข้าสั่งให้คนจัดหามาเองทุกขั้นตอน เพื่อให้เจ้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”คำตอบนั้นทำให้ซ่งหลิงซูเริ่มมั่นใจในความ
บทที่ 8'ค่ามัดจำ'..ในยามนี้ซ่งหลิงซูและสามีทั้งสองย้ายออกมาจากวังหลวงเพื่อมาอยู่อาศัยที่จวนนอกวังแล้ว เหยียนอี้ยังคงออกไปทำงานเช่นเคยในทุก ๆ วัน ต่างกับเซียวหยางชุนที่เขาไม่ต้องทำงานสิ่งใด เนื่องจากเป็นองค์ชายต่างแคว้นแล้วยังร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติติดตัวจนใช้กินอยู่ได้อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำการทำงานให้ลำบากกายในเรือนส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม เซียวหยางชุนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบเชียบลำพัง ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาด้วยท่าทีมุ่งมั่น เงาของนางพาดผ่านไปตามแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาภายในเรือน“หยางชุนข้ามีเรื่องอยากขอร้อง” ซ่งหลิงซูกล่าวพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าเขาเซียวหยางชุนละสายตาจากหนังสือแล้วเงยมองหน้านางด้วยความสนใจ “เรื่องอะไรหรือคนงามของข้า?”ซ่งหลิงซูเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่ไว้ใจหมอหลวงในแคว้นหลงกลัวว่าพวกเขาจะถูกฮองเฮาควบคุม ขอให้เจ้าช่วยส่งยาที่ข้ากินไปให้หมอหลวงในแคว้นเฟิงตรวจสอบหน่อย”นางวางถุงยาที่ยังไม่ได้ถูกต้มลงตรงหน้าของเซียวหยางชุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าสงสัยในยาเหล่านี้หรือ?”“ใช่ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งได้ยินเรื่องของเสด็จแม่ ข้ายิ่งกลัวว
บทที่ 9'ค่ายฝึกทหาร'..แสงแดดสาดส่องลงมายังค่ายฝึกทหารที่เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายของเหล่าทหารที่กำลังเตรียมตัวออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ฤดูแล้งที่ยาวนานทำให้แม่น้ำหลายสายแห้งขอด พืชผลทางการเกษตรเสียหายและชาวบ้านประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างหนักเหยียนอี้ในชุดแม่ทัพเต็มยศกำลังยืนอยู่กลางลานฝึกท่ามกลางเสียงรายงานจากเหล่าทหาร เขากำลังจัดการงานอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าที่ปกติสงบนิ่งบัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้า“ท่านพี่อี้!” เสียงหวานใสดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เขาหันไปมองซ่งหลิงซูในชุดเรียบง่ายแต่สง่างามเดินเข้ามาพร้อมกับปิ่นโตในมือ ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส“องค์หญิงสาม” เหยียนอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “เหตุใดพระองค์ถึงมาที่นี่ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับสตรี”“ข้าได้ยินว่าท่านยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือชาวบ้าน จึงนำอาหารมาให้ท่าน”เหยียนอี้มองปิ่นโตในมือของนาง “ขอบพระทัยพระองค์มาก แต่ตอนนี้ข้ายังมีงานต้องจัดการอีกมากนัก คงยังกินข้าวไม่ได้”ซ่งหลิงซูมองเขาด้วยสายตาเห็นใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะป้อนให้ท่านเอง ท่านจะได้ทำงานไปพร้อมกัน”เขามองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหล
บทที่ 10‘ขี่ม้าชมทุ่งหญ้า’..แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมายังโรงทานขององค์หญิงซ่งหลิงซู ชาวบ้านจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรับอาหารและน้ำที่แจกจ่าย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงหัวเราะพร้อมถ้อยคำขอบคุณจากชาวบ้านบางส่วนทำให้ซ่งหลิงซูรู้สึกอิ่มใจนางยืนอยู่ข้างเหยียนอี้ที่มาดูแลความเรียบร้อยของโรงทาน ทั้งสองมองดูชาวบ้านที่ต่อแถวรับอาหารด้วยรอยยิ้ม“ท่านดูสิ ทุกคนมีความสุขขึ้นมาก”เหยียนอี้พยักหน้า “พระองค์ทรงทำสิ่งที่ดีแล้ว ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนได้รับประโยชน์จากโรงทานของพระองค์”แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มชาวบ้านบางคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ“องค์หญิงสามเองนั่นแหละที่นำภัยแล้งมาสู่แคว้นหลง”“ใช่แล้ว นางมีดวงฉุดรั้งบ้านเมืองให้ล่มจม พวกเจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือ”“นางสร้างภาพ พยายามทำให้ตัวเองดูดีแต่แท้จริงแล้วก็เป็นต้นเหตุของความทุกข์ยาก”คำพูดเหล่านั้นทำให้เหยียนอี้ขมวดคิ้วทันที เขาหันไปมองกลุ่มชาวบ้านด้วยสายตาดุดันก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “พวกเจ้าเป็นอะไรไป มารับอาหารขององค์หญิงสามแต่ยังกล้านินทาว่าพระองค์อีก พวกเจ้าไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างหรือ?!”ชาวบ้านกลุ่มนั้นหันมามองเหยียนอี้
บทที่ 19‘อยู่ด้วยกันสามคนสุขสันต์’..“อ๊ะ… อ๊า อู้ยยย~”“กระแทกแรง ๆ ข้าชอบ พวกเจ้าไม่ต้องถนอมข้า!”เสียงครางกระเส่าดังระงมไปพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะ บนเตียงใหญ่ในยามนี้มีเงาร่างของคนสามคนกำลังบรรเลงบทรักกันอย่างมัวเมาในตัณหาราคะโดยเฉพาะซ่งหลิงซูที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วมีแต่ความปรารถนาเข้ามาแทนที่นางหันใบหน้าเข้าหาเหยียนอี้จึงถูกเขาจูบแลกลิ้นอย่างดูดดื่มในขณะที่รูหน้าถูกแก่นกายของเหยียนอี้กระแทกจนสุดลำยาว ส่วนรูด้านหลังถูกครอบครองโดยเซียวหยางชุนที่กระแทกท่อนเอ็นลำอวบใหญ่เข้ามาจนคับแน่นจังหวะกระแทกของเซียวหยางชุนทำให้ร่างกายของซ่งหลิงซูขยับโยกไปด้วยเลยส่งผลให้แก่นกายอวบใหญ่ของเหยียนอี้ที่เสียบคาไว้ที่รูหน้าได้ความเสียวซ่านไปด้วยแต่เขาก็เลือกจะซอยเอวสวนขึ้นมากระแทกเข้าลึกจนมดลูกสะเทือน“ดูเหมือนตอนนี้เจ้าจะชอบโดนพวกข้าเสียบพร้อมกันสองรูแล้วสินะ” เซียวหยางชุนกล่าวพลางยกฝ่ามือขึ้นตีก้นของนางซ่งหลิงซูหันไปสบตากับเขาแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “ข้ามีสามีสองคนก็ต้องทำหน้าที่ภรรยาให้สามีทั้งสองคนสิ ส่วนพวกเจ้าเป็นสามีข้าย่อมต้องทำหน้าที่สามี จะเข้ามาคนเดียวได้อย่างไรก็ข้า
บทที่ 18‘ไหน้ำส้มแตก’..ซ่งหลิงซูนั่งสางผมหน้าคันฉ่องทองเหลืองแผ่วเบา ใบหน้าของนางแจ่มใสยามความสุขมันล้นปรี่ขึ้นมาในอก ชีวิตอันสุดแสนมหัศจรรย์ของผู้หญิงธรรมดาที่ดันข้ามภพมาอยู่ในร่างขององค์หญิง มันไม่ได้ย่ำแย่เลยถึงจะลำบากไปบ้างแต่ก็สนุกดี โดยเฉพาะการมีสามีสองคนที่ขยันเอาอกเอาใจและเอานางยิ่งนัก“องค์หญิงยามาแล้วเพคะ” นางกำนัลยกถ้วยยาต้มมาให้ซ่งหลิงซูนางรับถ้วยยามาดื่มจนหมด แม้รสชาติของมันจะขมมากแต่ก็ต้องจำใจกิน จังหวะที่หันไปส่งถ้วยยาคืนให้นางกำนัลเหยียนอี้ก็เข้ามาพอดี เขามองถ้วยยาคิ้วกดต่ำลงอย่างสงสัย“เจ้ากินยาอะไรอีก?”“ยาระงับบุตร” นางตอบไปตามความจริงอย่างไม่คิดปิดบังเหยียนอี้ที่ได้ฟังกลับยิ่งสงสัย “เจ้าไม่อยากมีบุตรหรือ?”“ถ้าเกิดมีขึ้นมา ใครจะเป็นพ่อเด็กเล่า?” เสียงของเซียวหยางชุนดังขึ้น เขาก้าวเข้ามาภายในเรือนก่อนจะตรงเข้ามาหาซ่งหลิงซูแล้วประทับจูบลงบนผมของนางอย่างนุ่มนวล“เจ้าหมายความเช่นไร?” เหยียนอี้ยังคงไม่เข้าใจ“เจ้านี่มันแก่แล้วสินะถึงเข้าใจอะไรยากนัก” เซียวหยางชุนส่ายหัวเล็กน้อย แต่มือของเขาไม่อยู่สุขสักนิดเมื่อเลื่อนลงมาบีบนมของซ่งหลิงซูไปด้วยจนนางต้องขยับตัวหนีมื
บทที่ 18‘ไหน้ำส้มแตก’..ในยามสายที่ตลาดเต็มไปด้วยความคึกคัก ซ่งหลิงซูเดินเล่นอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายพร้อมกับเซียวหยางชุนและเหยียนอี้ ทั้งสามคนต่างเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของอาหารซ่งหลิงซูหยุดที่ร้านขายเครื่องประดับ นางเลือกดูปิ่นปักผมและสร้อยคอที่ประดับด้วยอัญมณีอย่างตั้งใจขณะที่สองสามีของนางเดินไปยังร้านเหล้าต่างแดนที่อยู่ใกล้ ๆ กันตามประสาบุรุษ“พระองค์สนใจปิ่นอันนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เจ้าของร้านถามด้วยน้ำเสียงสุภาพเพราะรู้ว่านางคือองค์หญิงสามผู้มีชื่อเสียงทั้งด้านดีและไม่ดีในคราวเดียวกัน“ใช่ ข้าคิดว่ามันสวยดี” ซ่งหลิงซูกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานในขณะที่นางกำลังเลือกเครื่องประดับ มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา เขาถือดอกไม้สดในมือ และยื่นให้นางด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงสามข้าขอมอบดอกไม้นี้ให้พระองค์ พระองค์ช่างงดงามเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”ซ่งหลิงซูรับดอกไม้ไว้ด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมาก ดอกไม้งามยิ่งนัก”สองบุรุษที่กำลังเลือกซื้อเหล้าอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินคำพูดของชายคนนั้น เซียวหยางชุนหันมามองทันที ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาเล็กน้อยก่อนจะทิ้งทุกอย่างแล้วรีบเดินเข้ามาหา“ขอบคุ
บทที่ 17‘ป่าเขาลำเนาไพร’..หลายวันผ่านไปหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในราชสำนักและการเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับลี่จิ่นฮองเฮา ชื่อเสียงขององค์หญิงซ่งหลิงซูเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านที่เคยเข้าใจผิดและวิพากษ์วิจารณ์นาง ตอนนี้กลับจับกลุ่มพูดคุยกันถึงความดีของนางแทน“องค์หญิงสามเป็นคนดีจริง ๆ นางไม่ได้เลวร้ายแบบที่เราคิด”“นางช่วยเหลือประชาชนในช่วงภัยแล้ง และยังกล้าต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองจากความอยุติธรรมอีกด้วย”เสียงพูดคุยเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านและเมืองหลวง ทำให้ชื่อเสียงของซ่งหลิงซูค่อย ๆ ฟื้นฟู และชาวบ้านเริ่มมองนางในแง่ดีมากขึ้นในยามสายที่แสงแดดอ่อนส่องลงมายังทุ่งกว้าง ซ่งหลิงซูขี่ม้าคู่ใจออกเดินทางพร้อมเหยียนอี้และเซียวหยางชุน ทั้งสามคนกำลังมุ่งหน้าไปยังเขาใหญ่ใกล้เมืองเพื่อหวังจะขึ้นไปสักการะศาลเจ้าบนยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อเข้ามาถึงป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และเสียงนกร้อง ทั้งสามคนเลยเลือกหยุดพักบนลานหญ้าที่ปกคลุมด้วยแสงแดดอ่อน ม้าที่พวกเขาขี่อยู่ถูกปล่อยให้กินน้ำจากลำธารเล็กที่ไหลผ่านซ่งหลิงซูนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ นางมองดูธรรมชาติรอบตัวด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความสงบ เหยีย
บทที่ 16‘อ่างน้ำหรรษา’..ซ่งหลิงซูกลับมายังจวนของตัวเองพร้อมกับสามีทั้งสองคน หลังจากผ่านพ้นวันที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ในท้องพระโรง แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอย่างราบรื่นจากการร่วมแรงร่วมใจของพวกเขาทั้งสามคนภายในห้องอาบน้ำมีไอน้ำลอยสูงจนปกคลุมไปทั่วห้อง ซ่งหลิงซูทิ้งตัวลงนั่งในอ่างไม้ใบใหญ่อย่างหมดสภาพ ดวงตาของนางหลับลงเล็กน้อยขณะที่ถอนหายใจยาวราวกับต้องการปลดปล่อยความหนักอึ้งในใจ“เหนื่อยชะมัด” นางพึมพำเบา ๆเหยียนอี้ก้าวเท้าลงในอ่างนั่งลงข้างซ่งหลิงซู และเริ่มบีบนวดไหล่เล็กด้วยมือที่แข็งแรงแต่แฝงความอ่อนโยน “พักผ่อนเถิด ข้าจะช่วยคลายความเหนื่อยล้าให้เอง”ในขณะเดียวกันเซียวหยางชุนเองก็ตามลงมาในอ่าง เขานั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง มองดูเหยียนอี้ที่กำลังบีบนวดตัวให้ซ่งหลิงซูซ่งหลิงซูเปิดตาขึ้นเล็กน้อยมองดูสามีทั้งสองคนก่อนจะเลือกหันไปหาเหยียนอี้ที่อยู่ใกล้สุดแล้วดึงใบหน้าของเขาลงมาจูบอย่างดูดดื่ม แม้เขาจะตกใจในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ปล่อยกายปล่อยใจไปกับจูบอันหอมหวานนี้นางผละใบหน้าออกมาก่อนจะกางแขนออกอย่างเชื้อเชิญ “ข้าอยากโดนพวกเจ้ากอดแรง ๆ มากอดข้าเถิดนะ”เหยียนอี
บทที่ 15'เปิดโปงแผนการชั่ว'..ท้องพระโรงอันโอ่อ่าของวังหลวงในยามนี้แน่นขนัดไปด้วยขุนนางและข้าราชบริพารที่มาร่วมรับฟังการไต่สวนลี่จิ่นฮองเฮา พระนางถูกนำตัวมานั่งคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแต่พระนางยังคงรักษาท่าทีสง่างาม สายตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง ดวงตาของพระองค์จ้องมองลี่จิ่นฮองเฮาด้วยความเย็นชา “ฮองเฮาเจ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางยาพิษอิงหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิงสาม เจ้าจะปฏิเสธหรือไม่?”ลี่จิ่นฮองเฮาเงยหน้าขึ้นสบตาฮ่องเต้หย่งซวีด้วยสายตาแน่วแน่ “หม่อมฉันไม่ได้ทำ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย หากหม่อมฉันผิดจริง ขอให้ฝ่าบาทนำหลักฐานมาแสดงต่อหน้าทุกคน!”คำพูดของพระนางทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ขุนนางบางคนเริ่มลังเล“สวีกงกงสารภาพว่าเจ้าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง” ฮ่องเต้ทรงกล่าวต่อลี่จิ่นฮองเฮาหัวเราะออกมา “สวีกงกงเป็นเพียงขันทีผู้ต่ำต้อย คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักพอที่จะเอาผิดหม่อมฉันได้ หากฝ่าบาทต้องการเอาผิดหม่อมฉันจริง ๆ ก็หาหลักฐานมา”“ข้าเกรงว่าเจ้าจะมั่นใจเกินไปฮองเฮา”เซียวหยางชุนก้าวเข้ามาภายในท้องพระโรงพร้อ
บทที่ 14‘ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง'..ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวการเสียชีวิตขององค์หญิงซ่งหลิงซูก็แพร่กระจายไปทั่ววังหลวง ทหารนำศพของอดีตสนมที่ถูกจัดฉากให้ดูเหมือนเป็นศพขององค์หญิงสามออกมาและประกาศว่าพระนางถูกทำร้ายจนสิ้นพระชนม์ในตำหนักเย็นอีกมุมหนึ่งของวังหลวงเหยียนอี้และฮ่องเต้หย่งซวีกำลังซ่อนตัวอยู่ใกล้ตำหนักของลี่จิ่นฮองเฮา ทั้งสองตั้งใจฟังบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นภายในตำหนัก หลังจากที่ส่งสวีกงกงเข้าไปตามแผนสวีกงกงเดินเข้ามาในตำหนักฮองเฮาด้วยท่าทีเร่งรีบ ดวงหน้าของเขายิ้มกว้างราวกับกำลังยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมาถึงเบื้องหน้าลี่จิ่นฮองเฮาจึงคุกเข่าลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“กระหม่อมขอแสดงความยินดีที่พระองค์สามารถกำจัดศัตรูได้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดนั้นทำให้ลี่จิ่นฮองเฮาหัวเราะออกมาอย่างสะใจ พระนางลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปยังหน้าต่าง ดวงตาฉายแววความสุขอย่างเปี่ยมล้น“ในที่สุด ข้าก็ทำสำเร็จ!” ลี่จิ่นฮองเฮาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดังลั่น“อิงหวงกุ้ยเฟยผู้ที่คิดจะเอาชนะข้าและลูกสาวผู้โง่เขลาของนาง พวกมันตายไปหมดแล้ว”สวีกงกงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พระนางทรงชาญฉลาดยิ่งนัก กระหม่อมไม
บทที่ 14‘ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง'..ในยามดึกสงัดที่ไม่ควรมีผู้ใดย่างก้าวไปมาในวังหลวงได้ แต่เหยียนอี้กำลังเดินเข้ามาในตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ด้วยท่าทีเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นขณะที่มือลากคอสวีกงกงมาด้วยฮ่องเต้หย่งซวีนั่งรออยู่ก่อนแล้วเพราะขันทีคนสนิทเข้ามารายงานแต่แรกแล้วว่าเหยียนอี้ขอเข้าเฝ้า “แม่ทัพเหยียนเจ้าเข้ามาพบข้าในยามดึกเช่นนี้ มีเรื่องอะไรสำคัญ?”เหยียนอี้ผลักสวีกงกงลงไปตรงพื้นเบื้องหน้าก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมพบว่าขันทีผู้นี้เป็นคนของฮองเฮาจึงนำตัวเขามาให้ฝ่าบาทสอบสวนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองสวีกงกงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคือคนของฮองเฮาจริงหรือ?”สวีกงกงตัวสั่นเทิ้ม ดวงหน้าซีดเซียวด้วยความหวาดกลัว เขาก้มหน้าลงต่ำ สารภาพด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่ะย่ะค่ะ กะ… กระหม่อมเป็นคนของฮองเฮา กระหม่อมได้รับคำสั่งให้คอยรายงานเรื่องของอิงหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิงซ่งหลิงซูให้พระนางทราบ”คำสารภาพนั้นทำให้ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น “แล้วฮองเฮาได้ทำร้ายอิงหวงกุ้ยเฟยหรือไม่?”สวีกงกงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เมื่อเห็นสายตาดุดันของฮ่องเต้ เขาก็จำต้องสารภาพ “พ่ะย่ะค่ะ ฮองเ
บทที่ 13‘ต่างคนต่างทำหน้าที่’..ค่ำคืนแรกในตำหนักเย็นเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมพัดผ่าน ซ่งหลิงซูนั่งอยู่บนเตียงไม้เก่าในห้องที่เย็นยะเยือก แม้จะเป็นสถานที่ที่หลายคนหวาดกลัวแต่ดวงตาของนางกลับฉายแววมั่นคง“ถ้าคิดจะใช้ที่นี่เพื่อทำลายข้า คงต้องพยายามมากกว่านี้หน่อย”เสียงฝีเท้าเบาดังขึ้นจากด้านนอกตำหนัก ซ่งหลิงซูที่กำลังหลับตาอยู่รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ นางไม่ได้ขยับตัว แต่เงี่ยหูฟังเสียงอย่างระมัดระวังประตูห้องถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในความมืดพร้อมกับมีดเล่มหนึ่งในมือ ซ่งหลิงซูลืมตาขึ้นทันทีและพลิกตัวหลบมีดที่แทงลงมาอย่างเฉียดฉิว“เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ?” นางพูดขณะที่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วคนร้ายไม่ตอบแต่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง มีดในมือสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย ซ่งหลิงซูคว้าหมอนบนเตียงขึ้นมาป้องกันการโจมตีก่อนจะใช้จังหวะนั้นเตะเข้าที่ข้อมือของคนร้ายจนมีดหลุดจากมือคนร้ายไม่ยอมแพ้พยายามต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ซ่งหลิงซูใช้ความคล่องตัวของนางหลบการโจมตีทุกครั้ง และสวนกลับด้วยการเตะเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างแรงจนล้มลงกับพื้นนางคว้ามีดที่ตกอยู่ขึ้นมาและในจังหวะที่คนร้ายพยาย