เข้าสู่ระบบในยามรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยสีทองแห่งแสงอาทิตย์ ขบวนทัพของแม่ทัพซุนเทาเคลื่อนตัวอย่างยิ่งใหญ่ เสียงเกราะและอาวุธดังกังวานเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงกลองศึกที่เร่งเร้า สร้างความฮึกเหิมแก่เหล่าทหารที่พร้อมเคลื่อนกลับเมืองหลวง ธงของแม่ทัพโบกสะบัดเหนือท้องฟ้า ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและเกียรติยศ
ที่เบื้องหน้าของขบวน เยี่ยจิงหลินเดินเคียงข้างบิดาในฐานะบุตรสาวคนหนึ่งของตระกูล แม้เธอจะยังมีแววอ่อนเยาว์ แต่ดวงตากลับเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมุ่งมั่น ความทรงพลังของเธอเมื่อวันวานยังคงตราตรึงในใจทหารทั้งห้าร้อยนายที่ได้เห็นกับตาตนเอง เสียงซุบซิบของเหล่าทหารและผู้ติดตามในจวนแม่ทัพเต็มไปด้วยความสงสัยและเคารพ ทั้งยังเกิดความศรัทธาในตัวหญิงสาวผู้ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงบุตรสาวนอกคอกที่เกิดจากสาวใช้ต่ำต้อย
ทว่า หลังจากการแสดงพลังอันน่าตื่นตะลึงเมื่อวันวาน สถานะของเยี่ยจิงหลินได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ภายในจวนแม่ทัพ ความเงียบสงบที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยและการจับตามอง ทุกคนต่างตั้งคำถามว่าเหตุใดแม่ทัพซุนเทาจึงยอมรับและแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตัวเธออย่างชัดเจน บางคนเชื่อว่าอาจเป็นเพราะฝีมืออันเก่งกาจของเธอ หรืออาจเป็นเพราะเธอมีบางสิ่งที่เหนือกว่าผู้ใดในตระกูล
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เยี่ยจิงหลินกลับไม่ได้แสดงความหวั่นไหวใดๆ เธอยืนหยัดอย่างมั่นคง ดุจดั่งพญาหงส์ที่เพิ่งกางปีกเพื่อบินสูง ความเคารพนับถือที่เธอได้รับนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากสายเลือด แต่เกิดจากพลังและความสามารถที่พิสูจน์ตนเอง จึงทำให้การปรากฏตัวของเธอในครั้งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับทั้งตัวเธอและสถานะของเธอในจวนของแม่ทัพซุนเทา
ในทุกสายตาที่จับจ้อง หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยถูกละเลย บัดนี้กลับกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ เธอไม่ได้เป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากสาวใช้อีกต่อไป แต่กลายเป็นบุคคลที่ทุกคนให้ความเคารพและยกย่อง บทบาทของเธอในจวนและชีวิตของเธอในฐานะบุตรสาวแห่งแม่ทัพซุนเทานั้น กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ภายในจวนแม่ทัพซุนเทา บรรยากาศเคร่งขรึมปกคลุมไปทั่ว ทุกผู้คนล้วนสัมผัสได้ถึงคำสั่งที่หนักแน่นและชัดเจนของท่านแม่ทัพในเช้าวันนั้น ขณะที่ข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มหน้ารับคำสั่ง “จัดเรือนของนางให้ดีเทียบชั้นกับบุตรหลานของข้าคนอื่น” น้ำเสียงของท่านแม่ทัพดังกังวานในโถงรับรอง ราวกับคำประกาศิตที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัด
“เจ้าค่ะ นายท่าน” สาวใช้คนนั้นตอบรับด้วยท่าทีที่นอบน้อม หัวค้อมต่ำอย่างเคารพ ทว่าดวงตาของเธอที่แอบเหลือบมองไปยังเยี่ยจิงหลินเผยให้เห็นประกายของความสงสัยปนด้วยความไม่เข้าใจ เด็กสาวผู้เคยเป็นเพียงบุตรนอกคอกของท่านแม่ทัพ บัดนี้กลับได้รับความสำคัญเกินกว่าที่ผู้ใดคาดคิด
หลังรับคำสั่ง สาวใช้รีบหมุนตัวออกไปทำหน้าที่ของตน เธอรู้ดีว่าน้ำเสียงของท่านแม่ทัพในครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรลังเลหรือทำให้ล่าช้า ความเร่งรีบของเธอสะท้อนถึงความตึงเครียดในหัวใจ แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยลึกๆ ว่าอะไรทำให้อดีตสาวน้อยที่เคยถูกเมินเฉย กลายเป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานในระดับที่เทียบเท่าบุตรหลานในสายตระกูล
ขณะนั้นเอง เยี่ยจิงหลินยังคงยืนอยู่ในที่ของเธอ ใบหน้าของเธอสงบนิ่ง ไม่มีแววเย่อหยิ่งหรืออ่อนแอ หากแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคงที่เกิดจากความเชื่อมั่นในตัวเอง นางไม่ได้สนใจสายตาที่เหล่าข้ารับใช้และคนในจวนจับจ้องมา เพราะเธอรู้ดีว่า สถานะของเธอในตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของผู้อื่น แต่เป็นผลจากสิ่งที่เธอพิสูจน์ให้เห็นด้วยพลังและความสามารถของตัวเอง
เมื่อสาวใช้ไปถึงเรือนที่ถูกกำหนด เธอเริ่มจัดเตรียมทุกอย่างตามคำสั่งทันที เครื่องเรือนที่หรูหรา พรมที่ทอด้วยฝีมือประณีต และข้าวของทุกอย่างที่ใช้ประดับ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน ทุกการกระทำของเธอสะท้อนถึงความเคร่งครัดและความเอาใจใส่ต่อคำสั่งของนายเหนือหัว ในเวลาไม่นาน เรือนที่เคยเงียบเหงาก็ถูกเปลี่ยนโฉมจนกลายเป็นเรือนที่งดงามสมฐานะ ราวกับต้องการประกาศให้ทุกคนในจวนรู้ว่า หญิงสาวที่เคยถูกละเลยผู้นี้ ได้รับการยอมรับในฐานะที่คู่ควรแล้ว
ฮูหยินใหญ่ อันเหยาเหวิน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจและดูแคลนอย่างชัดเจน “ท่านพี่ การที่ท่านพี่ทำแบบนี้มันคุ้มค่าแล้วเหรอ? นางก็แค่เด็กกาฝากคนหนึ่งเท่านั้น!” สายตาของนางจ้องไปยังเยี่ยจิงหลินด้วยความเกลียดชังและไม่ยอมรับ ในสายตาของฮูหยินใหญ่ เด็กสาวผู้นี้ไม่มีค่ามากไปกว่าผู้รับใช้ธรรมดาที่บังเอิญมีสายเลือดเดียวกันกับท่านแม่ทัพ
ท่านแม่ทัพซุนเทา ซึ่งยืนอยู่ข้างเยี่ยจิงหลินไม่ได้ตอบโต้ในทันที หากแต่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ฮูหยินใหญ่ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบคำพูดบางอย่างข้างหูนาง เสียงกระซิบนั้นเบาเสียจนไม่มีผู้ใดได้ยิน แต่ท่าทางของฮูหยินใหญ่ที่เปลี่ยนไปทันทีหลังจากนั้น กลับบอกชัดถึงผลกระทบที่คำพูดนั้นมีต่อเธอ
สีหน้าของอันเหยาเหวินซีดขาวลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างของนางเริ่มสั่นสะท้านจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ดวงตาที่เคยแสดงออกถึงความดูแคลนบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฟันบนฟันล่างกระทบกันจนเกิดเสียงเบา นางหายใจสะดุด ราวกับจิตใจของนางถูกคำพูดนั้นตอกย้ำจนแทบล้มลง
นางหันไปมองเยี่ยจิงหลินด้วยสายตาแตกตื่น เมื่อเห็นว่าเด็กสาวผู้ถูกกล่าวหานั้นกลับยืนนิ่งสงบ ราวกับไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดหรือเหตุการณ์ใด เยี่ยจิงหลินค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ฮูหยินใหญ่ แววตาของเธอเย็นชาจนเหมือนคมมีด ดวงตาสองคู่สบกันตรงๆ โดยไม่มีการหลบเลี่ยง เสียงของเยี่ยจิงหลินที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและหนักแน่น
“หากมีครั้งหน้าอีก...ข้าไม่พลาดแน่”
คำพูดนั้นเหมือนเป็นมีดที่เฉือนเข้าไปในจิตใจของฮูหยินใหญ่ อันเหยาเหวิน จนนางแทบจะล้มลง นางเอ่ยออกมาด้วยลมหายใจขาดห้วง “เป็นเจ้า...”
ความจริงอันแสนโหดร้ายจากค่ำคืนที่ผ่านมาทำให้นางไม่อาจปิดบังความหวาดกลัวได้อีกต่อไป ฮูหยินใหญ่รีบถอยหลังไปซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังของท่านแม่ทัพ ร่างของนางสั่นระริกราวกับจะยืนไม่อยู่
ในห้องนั้นมีเพียงคนสามคนเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนอันมืดมิด ทว่า ทุกสายตาที่จับจ้องอยู่ต่างสัมผัสได้ถึงความกดดันและความลับที่แฝงอยู่ในความเงียบ
ในยามเย็น ภายใน ห้องโถงอาหาร ของจวนแม่ทัพซุนเทา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบที่แฝงไว้ด้วยความไม่ปกติ เยี่ยจิงหลินถูกจัดให้นั่งร่วมโต๊ะกับบุตรหลานคนอื่นๆ ของท่านแม่ทัพในตำแหน่งที่เทียบเท่ากัน ข้าวของที่จัดเตรียมไว้สำหรับเธอหรูหราและประณีต บ่งบอกถึงการยอมรับในสถานะใหม่ของเธอ
แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ สีหน้าของเยี่ยจิงหลินกลับนิ่งเฉย ไม่มีร่องรอยของความยินดีหรือความภาคภูมิใจใดๆ ในสายตาของนาง ดวงตาเรียวคู่นั้นทอดมองจานอาหารเบื้องหน้า แต่ความคิดกลับลอยห่างออกไปไกล
เธอไม่ได้สนใจรสชาติของอาหารชั้นเลิศที่ถูกจัดมาอย่างประณีต หรือคำพูดคุยของบุตรหลานคนอื่นที่พยายามตีสนิทหรือสังเกตการณ์เธอ สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเยี่ยจิงหลินในเวลานี้คือ ท่านแม่ ผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอ ในความเงียบงันนี้ หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความคิดถึง
“ถ้าเพียงแต่ข้าได้มีโอกาส...” เธอคิดในใจ “ข้าจะกลับไปเยี่ยมท่านแม่ที่หมู่บ้านไท่ผิงชุนให้ได้”
ภาพความทรงจำในหมู่บ้านอันเงียบสงบและความอบอุ่นจากอ้อมแขนของมารดาผุดขึ้นในจิตใจของเธอ แม้ชีวิตในจวนแม่ทัพจะเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เติมเต็มหัวใจของเธอเหมือนความรักที่แท้จริงจากมารดา
หลังจากที่สะสางทุกเรื่องราวในเมืองหลวงจนเสร็จสิ้น เยี่ยจิงหลินก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านไท่ผิงชุน ที่นั่น… คือสถานที่ที่มีความหมายกับนางมากที่สุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเมืองหลวงโดยสิ้นเชิงไม่มีเสียงของขุนนางที่คอยแย่งชิงอำนาจ ไม่มีแววตาแห่งความโลภ ไม่มีเสียงกระซิบของคนที่พยายามคิดคดหักหลังที่นี่มีเพียงสายลมอ่อนๆ อากาศที่สดชื่น และผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะ แห้งแล้งและทุรกันดารแต่สำหรับเยี่ยจิงหลินที่นี่คือบ้าน เมื่อเดินเข้าสู่เรือนของตนเอง นางกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่า หลิวฉางหยาง กำลังพักอาศัยอยู่ที่นี่! เยี่ยจิงหลินหันไปมองมารดาของตนซูหลินด้วยความสงสัยก่อนที่แม่ของนางจะ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเขินอาย"ลูก… แม่ตัดสินใจแล้วว่าแม่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง" หลิวฉางหยางไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เขาเป็นคนที่ ยืนเคียงข้างและคอยดูแลแม่ของนางเสมอมาในวันที่ชีวิตของซูหลินลำบากเขาอยู่เคียงข้างนางโดยไม่ทอดทิ้งและตอนนี้แม่ของเยี่ยจิงหลินก็ได้ตัดสินใจเปิดใจให้กับความรักอีกครั้งเยี่ยจิงหลินเมื่อเห็นแม่ของตนมีความสุข นางย่อมดีใจอย่างที่สุด"แ
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม...ด้วย ฝีมือการรักษาของหมอเทวดาหลานซือหมิง ในที่สุด ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง!แม้ว่าพระองค์ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะกลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับรู้หลังจากฟื้นคืนสติมันทำให้หัวใจของพระองค์สั่นสะท้านยิ่งกว่าพิษร้ายที่เคยกัดกินร่างกายเสียอีก!"คนที่วางยาข้า... คือน้องชายของข้าเอง!?" ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ถึงความจริง อ๋องฟู่หยางเซิน ผู้ที่เขาเคยมอบความไว้วางใจ... กลับเป็นผู้ที่คิดจะฆ่าเขาเอง!สิ่งที่ทำให้พระองค์สะท้านใจไปมากกว่านั้นคือ..."ผู้ที่ช่วยข้ากลับเป็นบุตรสาวของแม่ทัพซุนเทา... บิดาของนางคือผู้ที่ข้าเคยหวาดระแวงเพราะคำยุยงของราชครูกู่เทียนหลง!" พระองค์หวาดระแวงแม่ทัพซุนเทาเพราะคำพูดของราชครูที่คอยปั่นหัวสุดท้าย... พระองค์ก็ต้องสูญเสียทั้งคู่ไปหลังจากนั้นไม่นานความเดือดดาลก็ปะทุขึ้น!"ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมัน!" ดวงตาของฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียน ฉายแววของความโกรธแค้นแม้ว่าอ๋องฟู่หยางเซินจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ แล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพของคนที่ไร้สติ เหม่อลอย ไม่รู้เรื่องราวใดๆแต่ความผิดที่เขาก่อขึ้นมันเกินกว่าที
การตายขององค์ชายฟู่ซิวเหิง… เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยจิงหลินไม่ได้คิดจะหยุดเพียงแค่ปลิดชีพองค์ชาย แต่นางกำลังจะทำให้ตระกูลของอ๋องฟู่หยางเซินล่มสลายไปทั้งสายเลือด! ก่อนที่นางจะลงมือ เยี่ยจิงหลินส่งคนของนางออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับบุตรชายของอ๋องฟู่หยางเซินทุกคนพวกมันทุกคนล้วนชั่วช้า ไม่ได้ต่างไปจากฟู่ซิวเหิงเลยแม้แต่น้อยพวกมันฉ้อโกง ฉุดคร่าหญิงสาว กดขี่ชาวบ้าน ใช้อำนาจอย่างอำมหิต...ทุกสิ่งที่ได้รับรายงานมามีแต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งแน่ใจว่าพวกมันสมควรจะถูกกำจัดจนหมด!เมื่อแผนการถูกวางไว้อย่างรัดกุม ค่ำคืนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก คืนแห่งนรกที่แท้จริงสำหรับท่านอ๋องแม้ว่าตัวของเขานั้นไม่มีสติเป็นของตัวเองแล้วก็ตาม"ลอบสังหารพร้อมกันในคืนเดียว อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว"นางออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด! เหล่ามือสังหารในเงามืด เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง แต่ละคนได้รับเป้าหมายของตนเอง ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความลังเล มีเพียงจุดจบของเครือญาติแห่งอ๋องฟู่หยางเซินเท่านั้นที่รออยู่!เสียงกรีดร้องแห่งความตื่นตระหนก ดังขึ้นจากคฤหาสน์หลายแห่งของบุตรชายท่านอ๋อง"ไม่นะ! ปล่อยข้าไป! ข้าให้เงินเจ้าได้!""อย่า! ข้ายอมแ
เยี่ยจิงหลินยืนอยู่กลางโถงสุราที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด นางจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ฟู่ซิวเหิง องค์ชายผู้เคยหยิ่งทะนงบัดนี้กำลังสั่นสะท้านไม่ต่างจากลูกนกที่ถูกขังไว้ในกรงแห่งความตาย!นางกวาดสายตามองเหล่าขุนนางและองครักษ์ที่เหลือรอด บางคนยังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว บางคนคุกเข่าลงร้องขอชีวิต น้ำตานองหน้า แต่มันไร้ประโยชน์!ใบหน้าของเยี่ยจิงหลินยังคงเรียบนิ่ง… ก่อนที่ริมฝีปากของนางจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา"จงดับลมหายใจของพวกมันให้หมดซะ... อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว"คำสั่งของนางเยือกเย็นราวกับเป็นเสียงแห่งมัจจุราช เงามรณะเคลื่อนไหวทันที!เสียงดาบกระทบกับเนื้อ เสียงเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระลอก ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงไปทีละน้อย ฟู่ซิวเหิงจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่สั่นไหว เขาเห็นขุนนางที่เคยประจบสอพลอตนเองถูกเชือดไปทีละคน…เขาเห็นองครักษ์ของตนเองล้มลงโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะชักดาบขึ้นมาต่อสู้!"ไม่… ไม่…"ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งที่เขาเคยภาคภูมิใจ อำนาจ ความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยานล้วนมลายหายไปจนหมดสิ้นและเมื่อความหวาดกลัวพุ่งถึงขีดสุด…"ท่านพ่อ! ช่วยข
ภายใน หอสุรา ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงในพริบตาเดียว!ฟู่ซิวเหิง และเหล่าขุนนางยังคงกำลังดื่มด่ำกับความสุขจากอำนาจใหม่ของตนเอง เสียงจอกสุรากระทบกัน เสียงหัวเราะยังคงดังไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคนกำลังหลงระเริงอยู่ใน ภาพมายาของชัยชนะแต่แล้ว…"พรึ่บ!"เปลวไฟทุกดวงภายในห้องโถงพลันดับมอดลงอย่างกะทันหัน!ทั้งห้องตกอยู่ใน ความมืดมิดอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว มีเพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบเสียงของแขกภายในงานเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจายออกไปในหมู่ผู้ร่วมงาน"มันเกิดอะไรขึ้น?!""มีใครไปจุดไฟเร็วเข้า!"เสียงตะโกนดังขึ้นจากมุมห้อง น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก!แต่ไม่มีคำตอบไม่มีใครขยับท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิด…"อ๊ากกกกก!!!"เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดังก้องไปทั่วห้องโถง!หนึ่งในแขกของงานถูกปลิดชีพอย่างไร้ความปรานี!เงามัจจุราชที่คืบคลานฟู่ซิวเหิงเบิกตากว้าง เขาหันมองไปรอบๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดสนิท!"ใครอยู่ตรงนั้น?! ออกมาเดี๋
ความจริงที่โหดร้ายกำลังกลืนกินหัวใจของท่านอ๋องฟู่หยางเซินอย่างช้าๆบุตรชายที่เขารักและไว้วางใจที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่กำลังผลักไสเขาไปสู่ความตาย!ร่างกายของท่านอ๋องที่อ่อนแรงอยู่แล้ว กลับยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดและความสิ้นหวังได้กัดกินจิตใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ความเศร้าโศกที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขา ทำให้พิษร้ายที่แฝงอยู่ในร่างแทรกซึมลึกลงไปในทุกอณูของร่างกาย!หัวใจที่แตกสลาย…ร่างกายที่อ่อนแอ…ความเจ็บปวดจากพิษร้ายที่คืบคลานเข้าสู่กระแสโลหิต…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบั่นทอน ชีวิตของอ๋องฟู่หยางเซิน ไปทีละนิดจากชายผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองอำนาจเหนือผู้อื่น บัดนี้กลับต้อง นอนอยู่บนเตียงอย่างคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยพลังและความเย่อหยิ่ง กลับกลายเป็นสายตาที่เหม่อลอย…เขารู้ดีว่า ตนเองกำลังจะตายแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ความตาย...แต่เป็นการตายด้วยน้ำมือของบุตรชายที่เขารักที่สุด!ความคิดสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาคือ..."นี่หรือคือผลตอบแทนของข้า...?""นี่หรือคือจุดจบของอ๋องฟู่หยางเซิน?""ข้าเลี้ยงดูอสูรกายขึ้นมาเองแท้ๆ…"







