LOGINเมืองหลวงแห่งนี้เปรียบเสมือนหัวใจแห่งอำนาจและความรู้ ภายในเมืองมีสถานที่ที่ผู้คนต่างกล่าวถึง โรงเรียนฝึกตน สถานที่ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของผู้คนได้โดยสิ้นเชิง โรงเรียนฝึกตนแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สอนทักษะเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในทุกแขนง ตั้งแต่แม่ทัพผู้กล้าหาญ นักผจญภัยระดับสูง ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญในอาชีพเฉพาะด้าน
ภายในโรงเรียนแห่งนี้มีหลักสูตรที่ครอบคลุมทุกแขนง ตั้งแต่ศิลปะการต่อสู้ที่ดุดัน ความรู้ด้านปราณที่ซับซ้อน ไปจนถึงทักษะการประดิษฐ์และการค้าขาย แม้แต่วิชาที่ดูเรียบง่ายก็ได้รับการถ่ายทอดอย่างพิถีพิถัน ทุกคนที่เข้ามาเรียนต่างมีเป้าหมายในการพัฒนาตัวเองและสร้างอนาคตที่ดีขึ้น
การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนฝึกตนมีอยู่สองเส้นทาง วิธีแรกคือการใช้ทุนทรัพย์อันมหาศาล ซึ่งเป็นวิธีที่ชนชั้นสูงนิยมเลือก เนื่องจากพวกเขามีทรัพยากรที่พร้อมเพรียง ส่วนวิธีที่สองคือการผ่านการทดสอบที่เข้มงวดและท้าทาย วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินมากมาย แต่มีความมุ่งมั่นและพรสวรรค์เป็นอาวุธ โรงเรียนจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ผ่านการทดสอบได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่น้อย เพราะเป้าหมายสูงสุดของโรงเรียนคือต้องการสร้างยอดคน
ณ ห้องโถงใหญ่ภายในคฤหาสน์ตระกูลซุน เสียงของท่านแม่ทัพซุนเทาดังกังวานด้วยความมั่นใจ “ข้ามีทรัพยากรอย่างเพียงพอที่จะให้บุตรหลานของเราทุกคนได้เข้าไปในสถานที่แห่งนั้น” สายตาของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ สำหรับซุนเทาแล้ว การใช้ทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้ออนาคตให้กับลูกหลานนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย อีกทั้งยังเป็นหนทางที่จะส่งเสริมชื่อเสียงของตระกูลให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
แต่ทว่าคำตอบที่เขาได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิด “ข้าจะไม่ใช้เงินของท่าน” น้ำเสียงนิ่งสงบของเยี่ยจิงหลินดังก้องทั่วห้องโถง นางยืนอยู่ตรงหน้าท่านแม่ทัพผู้น่าเกรงขามด้วยความเยือกเย็นในแววตา “ข้าจะเข้าด้วยตัวของข้าเอง”
คำพูดของนางสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและการไม่ยอมพึ่งพาผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่นางเรียกว่า “ท่านพ่อ” ซึ่งในสายตาของนางนั้น เป็นบุคคลที่นางรู้สึกว่าไร้หัวใจ เยี่ยจิงหลินไม่ต้องการที่จะติดหนี้บุญคุณใคร แม้กระทั่งผู้ให้กำเนิดของนางเอง
ซุนเทาเงียบไปครู่หนึ่ง แต่กลับไม่มีแววโกรธเกรี้ยวในท่าทีของเขา “ในเมื่อตัวเจ้าอยากที่จะทำเช่นนั้นก็ตามใจ” คำตอบของเขาเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง ท่านแม่ทัพไม่ได้ขุ่นเคือง เพราะเขารู้ดีกว่าผู้ใดถึงความสามารถที่แท้จริงของบุตรสาวผู้นี้ นางมิใช่บุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือหรือการสนับสนุนจากใคร พรสวรรค์และความแข็งแกร่งในตัวของเยี่ยจิงหลินนั้นมากเกินพอที่จะทำให้นางผ่านการทดสอบอันเข้มงวดของโรงเรียนฝึกตนได้ด้วยตัวเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น เยี่ยจิงหลินเดินทางมาถึงโรงเรียนฝึกตน ท่ามกลางผู้คนมากมายนับพันที่ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการพลิกชะตาชีวิตของตนเอง สายลมอ่อนพัดพาเสียงพูดคุยจอแจจากฝูงชน เสริมบรรยากาศของความมุ่งมั่นและความคาดหวัง
โรงเรียนฝึกตนแห่งนี้มีประตูทางเข้าใหญ่สองบาน บานแรกตั้งอยู่ทางด้านขวา สร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงาม บ่งบอกถึงสถานะของผู้ที่ผ่านเข้าไป ผู้คนที่ใช้ประตูนี้คือบุตรหลานของขุนนางและชนชั้นสูง ผู้ซึ่งมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าเรียน แถวของประตูนี้สั้นอย่างน่าใจหาย มีเพียงไม่กี่คนที่ต่อคิวอย่างไม่รีบร้อน
ส่วนทางเข้าที่สอง ตั้งอยู่ทางด้านซ้าย แม้ประตูจะเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายชนชั้นที่มุ่งหวังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองโดยพึ่งพาความสามารถของตัวเองเท่านั้น แถวยาวเหยียดเป็นภาพสะท้อนของจำนวนคนที่เชื่อมั่นในพรสวรรค์หรือไม่มีทางเลือกอื่น
เยี่ยจิงหลินยืนอยู่ในแถวประตูที่สอง นางแต่งกายด้วยชุดเรียบง่ายที่ดูไม่ต่างจากสามัญชนทั่วไป ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงชาติกำเนิดหรือสถานะที่แท้จริงของเธอ แต่หากมองใกล้ๆ จะเห็นถึงรายละเอียดที่บ่งบอกถึงความประณีต ชุดนี้ถูกตัดเย็บด้วยฝีมือของมารดาของเธอ ซึ่งลงมือด้วยความรักและความตั้งใจ แม้จะเรียบง่าย แต่เมื่อนางสวมใส่ กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น
ในห้องทดสอบ แต่ละห้องมีหินผลึกหลากสีขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ผลึกเหล่านี้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ลงอักขระโบราณไว้โดยรอบ เปล่งประกายแสงจางๆ ซึ่งบ่งบอกถึงพลังงานลึกลับที่แฝงอยู่ การทดสอบนั้นเรียบง่ายแต่ท้าทาย ผู้สมัครจะต้องวางมือบนผลึกและส่งพลังปราณเข้าสู่ภายในผลึก ตัวผลึกจะตอบสนองต่อคุณสมบัติของพลังปราณที่ตรวจจับได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงสีสันและความสว่าง
หากผู้สมัครมีพลังปราณที่เพียงพอหรืออยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ผลึกจะส่องแสงสดใส บ่งบอกถึงคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการฝึกตน แต่หากพลังปราณไม่ถึงเกณฑ์ ผลึกจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ซึ่งหมายความว่าผู้สมัครจะถูกคัดออกในทันที
เมื่อเยี่ยจิงหลินก้าวเท้าเข้าสู่ห้องทดสอบ บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนไปทันที ผู้คุมการทดสอบซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงในความงดงามของเธอ แม้ว่านางจะแต่งกายด้วยชุดธรรมดาที่ดูเรียบง่าย แต่ความสง่างามตามธรรมชาติของนางกลับทำให้เขาละสายตาไม่ได้
หลังจากนั้น สีหน้าของชายผู้นี้เปลี่ยนเป็นทรงภูมิอย่างจงใจ เขาพยายามแสดงท่าทางให้ดูมีอำนาจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เยี่ยจิงหลิน “สาวน้อย ข้าประเมินด้วยสายตาก็พอรู้แล้วว่า ระดับพลังปราณของเจ้านั้นไม่น่าจะเข้าขั้น ทดสอบไปก็คงไร้ประโยชน์” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยการดูถูก
แต่ก่อนที่เยี่ยจิงหลินจะตอบสนองอะไร ชายผู้นั้นกลับเปลี่ยนท่าที สายตาที่ดูสุภาพและอ่อนโยนกลับกลายเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาหยาบช้า “ถ้าเจ้ายอมให้ข้าแตะสัมผัสหน้าอกที่อวบอิ่มสักครั้ง ข้าจะยินดีให้เจ้าผ่านการทดสอบไปโดยง่าย” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน
ชายผู้นี้เป็นที่เลื่องลือในเรื่องความหยาบช้าและความอันตรายภายในโรงเรียน ผู้ทดสอบหญิงหลายคนตกเป็นเหยื่อของเขา เนื่องจากพวกนางไม่มั่นใจในพลังปราณของตน และไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธ ชายผู้นี้ใช้วิธีการเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดความย่ามใจอย่างยิ่ง
แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ก่อนที่มือหยาบช้าของเขาจะสัมผัสตัวเยี่ยจิงหลิน เสียง “ฉั่ว!” ดังขึ้น เธอใช้ทักษะลับเฉพาะตัดข้อมือของเขาในพริบตา ชายผู้นั้นส่งเสียงร้องโหยหวน “อ๊ากกกก!” เลือดสีแดงฉานพุ่งกระจายออกมาราวกับน้ำพุร้อน ร่างของเขาล้มลงดิ้นพล่านไปมาด้วยความเจ็บปวด
เสียงกรีดร้องดังลั่นของเขาสร้างความแตกตื่นให้กับผู้ทดสอบในห้องใกล้เคียง ทุกคนต่างหันมามองที่ห้องนี้ด้วยความตื่นตะลึง ผู้คุมการทดสอบคนอื่นรีบเร่งเข้ามาดูสถานการณ์
เยี่ยจิงหลินยังคงยืนนิ่ง ดวงตาของเธอเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง “เจ้าคิดจะเหยียบย่ำข้าเหมือนคนอื่นหรือ?” น้ำเสียงของเธอเย็นชาและหนักแน่น ท่าทางของเธอไม่ได้สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลังจากที่สะสางทุกเรื่องราวในเมืองหลวงจนเสร็จสิ้น เยี่ยจิงหลินก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านไท่ผิงชุน ที่นั่น… คือสถานที่ที่มีความหมายกับนางมากที่สุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเมืองหลวงโดยสิ้นเชิงไม่มีเสียงของขุนนางที่คอยแย่งชิงอำนาจ ไม่มีแววตาแห่งความโลภ ไม่มีเสียงกระซิบของคนที่พยายามคิดคดหักหลังที่นี่มีเพียงสายลมอ่อนๆ อากาศที่สดชื่น และผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะ แห้งแล้งและทุรกันดารแต่สำหรับเยี่ยจิงหลินที่นี่คือบ้าน เมื่อเดินเข้าสู่เรือนของตนเอง นางกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่า หลิวฉางหยาง กำลังพักอาศัยอยู่ที่นี่! เยี่ยจิงหลินหันไปมองมารดาของตนซูหลินด้วยความสงสัยก่อนที่แม่ของนางจะ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเขินอาย"ลูก… แม่ตัดสินใจแล้วว่าแม่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง" หลิวฉางหยางไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เขาเป็นคนที่ ยืนเคียงข้างและคอยดูแลแม่ของนางเสมอมาในวันที่ชีวิตของซูหลินลำบากเขาอยู่เคียงข้างนางโดยไม่ทอดทิ้งและตอนนี้แม่ของเยี่ยจิงหลินก็ได้ตัดสินใจเปิดใจให้กับความรักอีกครั้งเยี่ยจิงหลินเมื่อเห็นแม่ของตนมีความสุข นางย่อมดีใจอย่างที่สุด"แ
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม...ด้วย ฝีมือการรักษาของหมอเทวดาหลานซือหมิง ในที่สุด ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง!แม้ว่าพระองค์ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะกลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับรู้หลังจากฟื้นคืนสติมันทำให้หัวใจของพระองค์สั่นสะท้านยิ่งกว่าพิษร้ายที่เคยกัดกินร่างกายเสียอีก!"คนที่วางยาข้า... คือน้องชายของข้าเอง!?" ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ถึงความจริง อ๋องฟู่หยางเซิน ผู้ที่เขาเคยมอบความไว้วางใจ... กลับเป็นผู้ที่คิดจะฆ่าเขาเอง!สิ่งที่ทำให้พระองค์สะท้านใจไปมากกว่านั้นคือ..."ผู้ที่ช่วยข้ากลับเป็นบุตรสาวของแม่ทัพซุนเทา... บิดาของนางคือผู้ที่ข้าเคยหวาดระแวงเพราะคำยุยงของราชครูกู่เทียนหลง!" พระองค์หวาดระแวงแม่ทัพซุนเทาเพราะคำพูดของราชครูที่คอยปั่นหัวสุดท้าย... พระองค์ก็ต้องสูญเสียทั้งคู่ไปหลังจากนั้นไม่นานความเดือดดาลก็ปะทุขึ้น!"ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมัน!" ดวงตาของฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียน ฉายแววของความโกรธแค้นแม้ว่าอ๋องฟู่หยางเซินจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ แล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพของคนที่ไร้สติ เหม่อลอย ไม่รู้เรื่องราวใดๆแต่ความผิดที่เขาก่อขึ้นมันเกินกว่าที
การตายขององค์ชายฟู่ซิวเหิง… เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยจิงหลินไม่ได้คิดจะหยุดเพียงแค่ปลิดชีพองค์ชาย แต่นางกำลังจะทำให้ตระกูลของอ๋องฟู่หยางเซินล่มสลายไปทั้งสายเลือด! ก่อนที่นางจะลงมือ เยี่ยจิงหลินส่งคนของนางออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับบุตรชายของอ๋องฟู่หยางเซินทุกคนพวกมันทุกคนล้วนชั่วช้า ไม่ได้ต่างไปจากฟู่ซิวเหิงเลยแม้แต่น้อยพวกมันฉ้อโกง ฉุดคร่าหญิงสาว กดขี่ชาวบ้าน ใช้อำนาจอย่างอำมหิต...ทุกสิ่งที่ได้รับรายงานมามีแต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งแน่ใจว่าพวกมันสมควรจะถูกกำจัดจนหมด!เมื่อแผนการถูกวางไว้อย่างรัดกุม ค่ำคืนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก คืนแห่งนรกที่แท้จริงสำหรับท่านอ๋องแม้ว่าตัวของเขานั้นไม่มีสติเป็นของตัวเองแล้วก็ตาม"ลอบสังหารพร้อมกันในคืนเดียว อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว"นางออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด! เหล่ามือสังหารในเงามืด เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง แต่ละคนได้รับเป้าหมายของตนเอง ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความลังเล มีเพียงจุดจบของเครือญาติแห่งอ๋องฟู่หยางเซินเท่านั้นที่รออยู่!เสียงกรีดร้องแห่งความตื่นตระหนก ดังขึ้นจากคฤหาสน์หลายแห่งของบุตรชายท่านอ๋อง"ไม่นะ! ปล่อยข้าไป! ข้าให้เงินเจ้าได้!""อย่า! ข้ายอมแ
เยี่ยจิงหลินยืนอยู่กลางโถงสุราที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด นางจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ฟู่ซิวเหิง องค์ชายผู้เคยหยิ่งทะนงบัดนี้กำลังสั่นสะท้านไม่ต่างจากลูกนกที่ถูกขังไว้ในกรงแห่งความตาย!นางกวาดสายตามองเหล่าขุนนางและองครักษ์ที่เหลือรอด บางคนยังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว บางคนคุกเข่าลงร้องขอชีวิต น้ำตานองหน้า แต่มันไร้ประโยชน์!ใบหน้าของเยี่ยจิงหลินยังคงเรียบนิ่ง… ก่อนที่ริมฝีปากของนางจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา"จงดับลมหายใจของพวกมันให้หมดซะ... อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว"คำสั่งของนางเยือกเย็นราวกับเป็นเสียงแห่งมัจจุราช เงามรณะเคลื่อนไหวทันที!เสียงดาบกระทบกับเนื้อ เสียงเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระลอก ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงไปทีละน้อย ฟู่ซิวเหิงจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่สั่นไหว เขาเห็นขุนนางที่เคยประจบสอพลอตนเองถูกเชือดไปทีละคน…เขาเห็นองครักษ์ของตนเองล้มลงโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะชักดาบขึ้นมาต่อสู้!"ไม่… ไม่…"ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งที่เขาเคยภาคภูมิใจ อำนาจ ความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยานล้วนมลายหายไปจนหมดสิ้นและเมื่อความหวาดกลัวพุ่งถึงขีดสุด…"ท่านพ่อ! ช่วยข
ภายใน หอสุรา ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงในพริบตาเดียว!ฟู่ซิวเหิง และเหล่าขุนนางยังคงกำลังดื่มด่ำกับความสุขจากอำนาจใหม่ของตนเอง เสียงจอกสุรากระทบกัน เสียงหัวเราะยังคงดังไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคนกำลังหลงระเริงอยู่ใน ภาพมายาของชัยชนะแต่แล้ว…"พรึ่บ!"เปลวไฟทุกดวงภายในห้องโถงพลันดับมอดลงอย่างกะทันหัน!ทั้งห้องตกอยู่ใน ความมืดมิดอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว มีเพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบเสียงของแขกภายในงานเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจายออกไปในหมู่ผู้ร่วมงาน"มันเกิดอะไรขึ้น?!""มีใครไปจุดไฟเร็วเข้า!"เสียงตะโกนดังขึ้นจากมุมห้อง น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก!แต่ไม่มีคำตอบไม่มีใครขยับท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิด…"อ๊ากกกกก!!!"เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดังก้องไปทั่วห้องโถง!หนึ่งในแขกของงานถูกปลิดชีพอย่างไร้ความปรานี!เงามัจจุราชที่คืบคลานฟู่ซิวเหิงเบิกตากว้าง เขาหันมองไปรอบๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดสนิท!"ใครอยู่ตรงนั้น?! ออกมาเดี๋
ความจริงที่โหดร้ายกำลังกลืนกินหัวใจของท่านอ๋องฟู่หยางเซินอย่างช้าๆบุตรชายที่เขารักและไว้วางใจที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่กำลังผลักไสเขาไปสู่ความตาย!ร่างกายของท่านอ๋องที่อ่อนแรงอยู่แล้ว กลับยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดและความสิ้นหวังได้กัดกินจิตใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ความเศร้าโศกที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขา ทำให้พิษร้ายที่แฝงอยู่ในร่างแทรกซึมลึกลงไปในทุกอณูของร่างกาย!หัวใจที่แตกสลาย…ร่างกายที่อ่อนแอ…ความเจ็บปวดจากพิษร้ายที่คืบคลานเข้าสู่กระแสโลหิต…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบั่นทอน ชีวิตของอ๋องฟู่หยางเซิน ไปทีละนิดจากชายผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองอำนาจเหนือผู้อื่น บัดนี้กลับต้อง นอนอยู่บนเตียงอย่างคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยพลังและความเย่อหยิ่ง กลับกลายเป็นสายตาที่เหม่อลอย…เขารู้ดีว่า ตนเองกำลังจะตายแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ความตาย...แต่เป็นการตายด้วยน้ำมือของบุตรชายที่เขารักที่สุด!ความคิดสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาคือ..."นี่หรือคือผลตอบแทนของข้า...?""นี่หรือคือจุดจบของอ๋องฟู่หยางเซิน?""ข้าเลี้ยงดูอสูรกายขึ้นมาเองแท้ๆ…"







