LOGINในการฝึกซ้อมที่ดุเดือดระหว่าง ซุนฮ่าว และ เยี่ยจิงหลิน ความจริงอันโหดร้ายเริ่มชัดเจนขึ้นในใจของซุนฮ่าวว่า ตลอดเวลานั้น เขาไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของนางเลยแม้แต่น้อย ร่างกายและจิตใจของเขาถูกบดขยี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเยี่ยจิงหลินซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนความทะนงตนและความเย่อหยิ่งที่เคยมีถูกกัดกร่อนลงไปทีละน้อย
ทุกครั้งที่ซุนฮ่าวพยายามปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาเพื่อต่อสู้กลับ เยี่ยจิงหลินก็ยิ่งตอบโต้ด้วยท่วงท่าที่หนักแน่นและรุนแรงยิ่งกว่า คล้ายกับกำลังเตือนเขาให้รู้ว่า ระดับฝีมือของเขายังห่างชั้นกับนางราวฟ้ากับเหว ความดื้อดึงและความโกรธแค้นในใจซุนฮ่าวค่อยๆ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นลึกๆ จนเขาเริ่มสงสัยในตัวเองว่า การคิดจัดการกับนางในอดีตนั้นเป็นเพียงความคิดโง่เขลาที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
หลายวันผ่านไป ร่างกายของซุนฮ่าวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและความเหนื่อยล้า แต่มันไม่สามารถเทียบได้กับบาดแผลทางจิตใจที่เขาต้องแบกรับ ความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าฉายชัดให้เห็นถึงความต่างชั้นอันลึกล้ำ เยี่ยจิงหลินไม่ได้แค่เหนือกว่าในพละกำลังและทักษะ แต่ยังมีความมุ่งมั่นที่แกร่งกล้ายิ่งกว่า ทุกฝ่าเท้าที่พุ่งเข้าสู่ร่างของซุนฮ่าวไม่ได้แค่ทำลายร่างกายของเขา แต่ยังบดขยี้ความมั่นใจในศักยภาพของตนเองจนแทบหมดสิ้น
ท้ายที่สุด ซุนฮ่าวไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่าเขาเป็นเพียงผู้ท้าทายที่ไม่คู่ควร ความทะเยอทะยานที่เคยมีถูกแปรเปลี่ยนเป็นบทเรียนอันเจ็บปวด เยี่ยจิงหลินเปรียบดั่งภูผาที่เขาไม่มีวันข้ามผ่าน ความกล้าหาญในอดีตกลายเป็นสิ่งที่เขาต้องสำนึกว่าเป็นความหุนหันพลันแล่นที่เขาควรหลีกเลี่ยงตั้งแต่แรกเริ่ม
"ท่านพ่อ! ได้โปรดหยุดเถิด!" เสียงของซุนฮ่าวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาก้มหน้าลงพลางร้องขอด้วยน้ำเสียงที่แทบจะขาดหาย "ข้าทนเป็นกระสอบทรายให้นางอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว!" ดวงตาของเขาแดงก่ำ ทั้งจากความเหนื่อยล้าและความอัปยศ จิตวิญญาณของเขาแทบพังทลายไปเสียสิ้น ความทะนงตนที่เคยมีหายวับกลายเป็นเงาหลอน ทุกคืนวันเขาถูกฝ่าเท้าของเยี่ยจิงหลินบดขยี้จนไม่สามารถหลับสนิทได้ แม้ยามนอน ความฝันของเขาก็เต็มไปด้วยภาพผวาจากการถูกโจมตีอย่างไร้ปรานี
"เหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้น..." น้ำเสียงเย็นชาของ ซุนเทา แม่ทัพผู้เคร่งขรึมดังขึ้นในลานฝึก ราวกับจะตอกย้ำให้บุตรชายของเขารู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการฝึกครั้งนี้ได้ ซุนเทานั่งตัวตรง มองบุตรชายด้วยสายตาที่นิ่งเฉย แต่ในส่วนลึกของหัวใจเขากลับรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย เขารู้ดีว่าซุนฮ่าวคือลูกชายที่เขารักมากที่สุด แต่ความดื้อรั้นและเลือดร้อนของบุตรชายอาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำลายตัวเขาเองในอนาคต
"เจ้าจะต้องผ่านมันไปให้ได้" ซุนเทากล่าวอย่างหนักแน่น ถึงแม้ว่าภายในใจจะสั่นไหว "นี่ไม่ใช่เพียงเพราะเจ้า แต่เพื่ออนาคตของเจ้าเองและตระกูลของเรา หากเจ้าไม่เรียนรู้บทเรียนนี้ เจ้าจะนำหายนะมาให้ทั้งตัวเจ้าเองและผู้อื่นในวันข้างหน้า"
ซุนฮ่าวได้แต่นั่งนิ่ง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล แต่ร่องรอยในจิตใจของเขายิ่งลึกกว่า ความกลัวและความหวาดหวั่นที่เกิดจากการถูกบดขยี้โดยฝีมือของเยี่ยจิงหลินเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง เขาหยุดนึกถึงความคิดที่จะต่อสู้หรือแก้แค้นนาง และเริ่มสงสัยว่าเขาจะสามารถอดทนจนถึงวันสุดท้ายของการฝึกได้หรือไม่
ในที่สุด เวลาสองวันที่ยาวนานราวกับนิรันดร์ของ ซุนฮ่าว ก็สิ้นสุดลง ช่วงเวลานั้นเปรียบเสมือนการเดินทางบนเส้นด้ายระหว่างความเป็นและความตาย ทุกวินาทีภายใต้ฝ่าเท้าของ เยี่ยจิงหลิน คือความเจ็บปวดที่แสนสาหัส และทุกลมหายใจของเขารู้สึกเหมือนอาจหยุดลงได้ทุกเมื่อ ราวกับชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของนางโดยสมบูรณ์
ซุนฮ่าวที่เคยเย่อหยิ่งและมั่นใจในตนเอง ต้องยอมรับอย่างขมขื่นว่าคำล่ำลือเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเยี่ยจิงหลินนั้นไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย หากจะกล่าวตามความรู้สึกของเขา คนที่เล่าขานเรื่องฝีมือของนางยังคงพูดไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่เขาได้ลิ้มรสด้วยตนเอง ความโหดเหี้ยมและความร้ายกาจของนางไม่ได้เพียงทำให้ร่างกายเขาอ่อนล้าเท่านั้น แต่ยังทำลายความทะนงตนจนไม่เหลือซาก
ในระหว่างการฝึกฝนที่ผ่านมา เขาไม่เพียงแต่ต้องทนกับความเจ็บปวด แต่ยังต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองที่ถูกบดขยี้ลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความริษยาและอิจฉาริษยาที่เคยมีในใจค่อยๆ สลายไปพร้อมกับฝ่าเท้าของนางที่กระแทกลงมา มันทำให้เขาตระหนักได้ว่า บางคนก็ไม่ควรถูกท้าทาย และไม่ควรถูกทำให้โกรธอย่างเด็ดขาด
ถึงกระนั้น สิ่งที่ทำให้ซุนฮ่าวสับสนยิ่งกว่าคือความจริงที่ว่า เยี่ยจิงหลิน ผู้ซึ่งน่ากลัวดั่งพยัคฆ์ร้าย กลับเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากสาวใช้ผู้ที่เขาเคยดูแคลนและไม่เห็นคุณค่า บุตรสาวนอกคอกที่ถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้สืบทอดอย่างเต็มตัว ใครเล่าจะคาดคิดว่านางจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้?
"นางเป็นสัตว์ประหลาด..." ซุนฮ่าวพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ความคิดอันเย่อหยิ่งในอดีตของเขาพังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี เรื่องราวครั้งนี้ได้สอนเขาบทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตว่า "ความยโสของตนเองนั้นอาจนำพาไปสู่หายนะ หากไม่ได้รับการขัดเกลาเสียก่อน"
เมื่อการฝึกสิ้นสุดลง ซุนฮ่าวไม่แม้แต่จะมองเยี่ยจิงหลินด้วยสายตาของคู่ปรับอีกต่อไป ในทางกลับกัน เขามองนางด้วยความระแวดระวังและเกรงกลัว นางไม่ได้เป็นเพียงผู้ชนะในสนามฝึก แต่นางได้บดขยี้อัตตาในตัวเขา จนเหลือเพียงเถ้าถ่านของอดีตที่เคยเย่อหยิ่งและอิจฉาผู้อื่น
ในที่สุด เวลาสองวันที่ยาวนานราวกับนิรันดร์ของ ซุนฮ่าว ก็สิ้นสุดลง ช่วงเวลานั้นเปรียบเสมือนการเดินทางบนเส้นด้ายระหว่างความเป็นและความตาย ทุกวินาทีภายใต้ฝ่าเท้าของ เยี่ยจิงหลิน คือความเจ็บปวดที่แสนสาหัส และทุกลมหายใจของเขารู้สึกเหมือนอาจหยุดลงได้ทุกเมื่อ ราวกับชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของนางโดยสมบูรณ์
ซุนฮ่าวที่เคยเย่อหยิ่งและมั่นใจในตนเอง ต้องยอมรับอย่างขมขื่นว่าคำล่ำลือเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเยี่ยจิงหลินนั้นไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย หากจะกล่าวตามความรู้สึกของเขา คนที่เล่าขานเรื่องฝีมือของนางยังคงพูดไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่เขาได้ลิ้มรสด้วยตนเอง ความโหดเหี้ยมและความร้ายกาจของนางไม่ได้เพียงทำให้ร่างกายเขาอ่อนล้าเท่านั้น แต่ยังทำลายความทะนงตนจนไม่เหลือซาก
ในระหว่างการฝึกฝนที่ผ่านมา เขาไม่เพียงแต่ต้องทนกับความเจ็บปวด แต่ยังต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองที่ถูกบดขยี้ลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความริษยาและอิจฉาริษยาที่เคยมีในใจค่อยๆ สลายไปพร้อมกับฝ่าเท้าของนางที่กระแทกลงมา มันทำให้เขาตระหนักได้ว่า บางคนก็ไม่ควรถูกท้าทาย และไม่ควรถูกทำให้โกรธอย่างเด็ดขาด
ถึงกระนั้น สิ่งที่ทำให้ซุนฮ่าวสับสนยิ่งกว่าคือความจริงที่ว่า เยี่ยจิงหลิน ผู้ซึ่งน่ากลัวดั่งพยัคฆ์ร้าย กลับเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากสาวใช้ผู้ที่เขาเคยดูแคลนและไม่เห็นคุณค่า บุตรสาวนอกคอกที่ถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้สืบทอดอย่างเต็มตัว ใครเล่าจะคาดคิดว่านางจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้?
"นางเป็นสัตว์ประหลาด..." ซุนฮ่าวพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ความคิดอันเย่อหยิ่งในอดีตของเขาพังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี เรื่องราวครั้งนี้ได้สอนเขาบทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตว่า "ความยโสของตนเองนั้นอาจนำพาไปสู่หายนะ หากไม่ได้รับการขัดเกลาเสียก่อน"
เมื่อการฝึกสิ้นสุดลง ซุนฮ่าวไม่แม้แต่จะมองเยี่ยจิงหลินด้วยสายตาของคู่ปรับอีกต่อไป ในทางกลับกัน เขามองนางด้วยความระแวดระวังและเกรงกลัว นางไม่ได้เป็นเพียงผู้ชนะในสนามฝึก แต่นางได้บดขยี้อัตตาในตัวเขา จนเหลือเพียงเถ้าถ่านของอดีตที่เคยเย่อหยิ่งและอิจฉาผู้อื่น
หลังจากที่สะสางทุกเรื่องราวในเมืองหลวงจนเสร็จสิ้น เยี่ยจิงหลินก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านไท่ผิงชุน ที่นั่น… คือสถานที่ที่มีความหมายกับนางมากที่สุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเมืองหลวงโดยสิ้นเชิงไม่มีเสียงของขุนนางที่คอยแย่งชิงอำนาจ ไม่มีแววตาแห่งความโลภ ไม่มีเสียงกระซิบของคนที่พยายามคิดคดหักหลังที่นี่มีเพียงสายลมอ่อนๆ อากาศที่สดชื่น และผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะ แห้งแล้งและทุรกันดารแต่สำหรับเยี่ยจิงหลินที่นี่คือบ้าน เมื่อเดินเข้าสู่เรือนของตนเอง นางกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่า หลิวฉางหยาง กำลังพักอาศัยอยู่ที่นี่! เยี่ยจิงหลินหันไปมองมารดาของตนซูหลินด้วยความสงสัยก่อนที่แม่ของนางจะ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเขินอาย"ลูก… แม่ตัดสินใจแล้วว่าแม่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง" หลิวฉางหยางไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เขาเป็นคนที่ ยืนเคียงข้างและคอยดูแลแม่ของนางเสมอมาในวันที่ชีวิตของซูหลินลำบากเขาอยู่เคียงข้างนางโดยไม่ทอดทิ้งและตอนนี้แม่ของเยี่ยจิงหลินก็ได้ตัดสินใจเปิดใจให้กับความรักอีกครั้งเยี่ยจิงหลินเมื่อเห็นแม่ของตนมีความสุข นางย่อมดีใจอย่างที่สุด"แ
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม...ด้วย ฝีมือการรักษาของหมอเทวดาหลานซือหมิง ในที่สุด ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง!แม้ว่าพระองค์ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะกลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับรู้หลังจากฟื้นคืนสติมันทำให้หัวใจของพระองค์สั่นสะท้านยิ่งกว่าพิษร้ายที่เคยกัดกินร่างกายเสียอีก!"คนที่วางยาข้า... คือน้องชายของข้าเอง!?" ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ถึงความจริง อ๋องฟู่หยางเซิน ผู้ที่เขาเคยมอบความไว้วางใจ... กลับเป็นผู้ที่คิดจะฆ่าเขาเอง!สิ่งที่ทำให้พระองค์สะท้านใจไปมากกว่านั้นคือ..."ผู้ที่ช่วยข้ากลับเป็นบุตรสาวของแม่ทัพซุนเทา... บิดาของนางคือผู้ที่ข้าเคยหวาดระแวงเพราะคำยุยงของราชครูกู่เทียนหลง!" พระองค์หวาดระแวงแม่ทัพซุนเทาเพราะคำพูดของราชครูที่คอยปั่นหัวสุดท้าย... พระองค์ก็ต้องสูญเสียทั้งคู่ไปหลังจากนั้นไม่นานความเดือดดาลก็ปะทุขึ้น!"ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมัน!" ดวงตาของฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียน ฉายแววของความโกรธแค้นแม้ว่าอ๋องฟู่หยางเซินจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ แล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพของคนที่ไร้สติ เหม่อลอย ไม่รู้เรื่องราวใดๆแต่ความผิดที่เขาก่อขึ้นมันเกินกว่าที
การตายขององค์ชายฟู่ซิวเหิง… เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยจิงหลินไม่ได้คิดจะหยุดเพียงแค่ปลิดชีพองค์ชาย แต่นางกำลังจะทำให้ตระกูลของอ๋องฟู่หยางเซินล่มสลายไปทั้งสายเลือด! ก่อนที่นางจะลงมือ เยี่ยจิงหลินส่งคนของนางออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับบุตรชายของอ๋องฟู่หยางเซินทุกคนพวกมันทุกคนล้วนชั่วช้า ไม่ได้ต่างไปจากฟู่ซิวเหิงเลยแม้แต่น้อยพวกมันฉ้อโกง ฉุดคร่าหญิงสาว กดขี่ชาวบ้าน ใช้อำนาจอย่างอำมหิต...ทุกสิ่งที่ได้รับรายงานมามีแต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งแน่ใจว่าพวกมันสมควรจะถูกกำจัดจนหมด!เมื่อแผนการถูกวางไว้อย่างรัดกุม ค่ำคืนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก คืนแห่งนรกที่แท้จริงสำหรับท่านอ๋องแม้ว่าตัวของเขานั้นไม่มีสติเป็นของตัวเองแล้วก็ตาม"ลอบสังหารพร้อมกันในคืนเดียว อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว"นางออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด! เหล่ามือสังหารในเงามืด เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง แต่ละคนได้รับเป้าหมายของตนเอง ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความลังเล มีเพียงจุดจบของเครือญาติแห่งอ๋องฟู่หยางเซินเท่านั้นที่รออยู่!เสียงกรีดร้องแห่งความตื่นตระหนก ดังขึ้นจากคฤหาสน์หลายแห่งของบุตรชายท่านอ๋อง"ไม่นะ! ปล่อยข้าไป! ข้าให้เงินเจ้าได้!""อย่า! ข้ายอมแ
เยี่ยจิงหลินยืนอยู่กลางโถงสุราที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด นางจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ฟู่ซิวเหิง องค์ชายผู้เคยหยิ่งทะนงบัดนี้กำลังสั่นสะท้านไม่ต่างจากลูกนกที่ถูกขังไว้ในกรงแห่งความตาย!นางกวาดสายตามองเหล่าขุนนางและองครักษ์ที่เหลือรอด บางคนยังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว บางคนคุกเข่าลงร้องขอชีวิต น้ำตานองหน้า แต่มันไร้ประโยชน์!ใบหน้าของเยี่ยจิงหลินยังคงเรียบนิ่ง… ก่อนที่ริมฝีปากของนางจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา"จงดับลมหายใจของพวกมันให้หมดซะ... อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว"คำสั่งของนางเยือกเย็นราวกับเป็นเสียงแห่งมัจจุราช เงามรณะเคลื่อนไหวทันที!เสียงดาบกระทบกับเนื้อ เสียงเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระลอก ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงไปทีละน้อย ฟู่ซิวเหิงจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่สั่นไหว เขาเห็นขุนนางที่เคยประจบสอพลอตนเองถูกเชือดไปทีละคน…เขาเห็นองครักษ์ของตนเองล้มลงโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะชักดาบขึ้นมาต่อสู้!"ไม่… ไม่…"ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งที่เขาเคยภาคภูมิใจ อำนาจ ความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยานล้วนมลายหายไปจนหมดสิ้นและเมื่อความหวาดกลัวพุ่งถึงขีดสุด…"ท่านพ่อ! ช่วยข
ภายใน หอสุรา ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงในพริบตาเดียว!ฟู่ซิวเหิง และเหล่าขุนนางยังคงกำลังดื่มด่ำกับความสุขจากอำนาจใหม่ของตนเอง เสียงจอกสุรากระทบกัน เสียงหัวเราะยังคงดังไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคนกำลังหลงระเริงอยู่ใน ภาพมายาของชัยชนะแต่แล้ว…"พรึ่บ!"เปลวไฟทุกดวงภายในห้องโถงพลันดับมอดลงอย่างกะทันหัน!ทั้งห้องตกอยู่ใน ความมืดมิดอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว มีเพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบเสียงของแขกภายในงานเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจายออกไปในหมู่ผู้ร่วมงาน"มันเกิดอะไรขึ้น?!""มีใครไปจุดไฟเร็วเข้า!"เสียงตะโกนดังขึ้นจากมุมห้อง น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก!แต่ไม่มีคำตอบไม่มีใครขยับท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิด…"อ๊ากกกกก!!!"เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดังก้องไปทั่วห้องโถง!หนึ่งในแขกของงานถูกปลิดชีพอย่างไร้ความปรานี!เงามัจจุราชที่คืบคลานฟู่ซิวเหิงเบิกตากว้าง เขาหันมองไปรอบๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดสนิท!"ใครอยู่ตรงนั้น?! ออกมาเดี๋
ความจริงที่โหดร้ายกำลังกลืนกินหัวใจของท่านอ๋องฟู่หยางเซินอย่างช้าๆบุตรชายที่เขารักและไว้วางใจที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่กำลังผลักไสเขาไปสู่ความตาย!ร่างกายของท่านอ๋องที่อ่อนแรงอยู่แล้ว กลับยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดและความสิ้นหวังได้กัดกินจิตใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ความเศร้าโศกที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขา ทำให้พิษร้ายที่แฝงอยู่ในร่างแทรกซึมลึกลงไปในทุกอณูของร่างกาย!หัวใจที่แตกสลาย…ร่างกายที่อ่อนแอ…ความเจ็บปวดจากพิษร้ายที่คืบคลานเข้าสู่กระแสโลหิต…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบั่นทอน ชีวิตของอ๋องฟู่หยางเซิน ไปทีละนิดจากชายผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองอำนาจเหนือผู้อื่น บัดนี้กลับต้อง นอนอยู่บนเตียงอย่างคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยพลังและความเย่อหยิ่ง กลับกลายเป็นสายตาที่เหม่อลอย…เขารู้ดีว่า ตนเองกำลังจะตายแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ความตาย...แต่เป็นการตายด้วยน้ำมือของบุตรชายที่เขารักที่สุด!ความคิดสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาคือ..."นี่หรือคือผลตอบแทนของข้า...?""นี่หรือคือจุดจบของอ๋องฟู่หยางเซิน?""ข้าเลี้ยงดูอสูรกายขึ้นมาเองแท้ๆ…"







