LOGINอัครมหาเสนาบดี ถังเหวยหมิน ในยามนี้ราวกับกลายเป็นสัตว์ร้ายที่หิวกระหาย ดวงตาของเขาลุกวาวดั่งเปลวไฟที่กำลังเผาผลาญทุกสติสัมปชัญญะ ใบหน้าอ้วนกลมที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บัดนี้กลับบิดเบี้ยวด้วยความปรารถนาอันบ้าคลั่ง ร่างกายอวบอ้วนของเขาเริ่มขยับอย่างกระสับกระส่าย จังหวะลมหายใจที่หนักหน่วงของเขาส่งเสียงดังพอที่จะทำให้บรรยากาศโดยรอบดูน่าอึดอัด
ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังสาวงามที่นั่งอยู่ตรงหน้า ราวกับผู้ล่าที่กำลังเพ่งมองเหยื่ออันโอชะ ใบหน้าขาวนวลของเยี่ยจิงหลินที่เปล่งประกายราวกับหยกชั้นเลิศในแสงตะเกียง กำลังทำให้จิตใจของถังเหวยหมินลุกโชนยิ่งกว่าเดิม ทุกเสี้ยวอณูของรูปลักษณ์ของนาง ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมดำขลับที่พลิ้วไหว หรือดวงตาที่เปี่ยมเสน่ห์ชวนมอง ทั้งหมดนั้นสำหรับเขาเปรียบเสมือนยาปลุกเร้าที่ร้ายกาจที่สุด
ลมหายใจของเขาเริ่มหอบถี่ ไขมันบนร่างกายที่อวบอ้วนกระเพื่อมไปมาตามจังหวะหัวใจที่เต้นรัวราวกับกลองศึก เลือดลมของเขาเดือดพล่านเหมือนน้ำในหม้อต้มที่กำลังเดือดจัด ความร้อนรุ่มที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างทำให้เขารู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมา มืออวบใหญ่ของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยขณะที่เขายกมันขึ้นไปเกาะขอบโต๊ะ
"เจ้า... ช่างงดงามเหลือเกิน..." เขาพึมพำออกมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความคลั่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายที่เกินบรรยายได้เป็นคำพูด ในใจของเขาเดือดพล่านไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยจิงหลินยังคงประดับไว้ด้วยความอ่อนหวาน นางยิ้มราวกับไม่ได้รับรู้ถึงความปรารถนาอันมืดมนของชายตรงหน้า แต่ลึกลงไปในดวงตาที่ดูสดใสราวกับดวงดาว กลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นและการคาดการณ์อันลึกล้ำ นางมองชายตรงหน้าราวกับกำลังมองตัวตลกในโรงละคร นางรู้ดีว่าเขากำลังตกหลุมพรางที่นางเตรียมไว้โดยสมบูรณ์
ขณะที่ความบ้าคลั่งของถังเหวยหมินแผ่ซ่านออกมาอย่างชัดเจน นางยังคงนิ่งสงบ ราวกับกำลังเฝ้าดูเขาเผาไหม้ตัวเองในกองไฟแห่งตัณหาที่เขาจุดขึ้นมาเอง
เยี่ยจิงหลินเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวยามค่ำคืน จ้องมองชายร่างอ้วนตรงหน้าด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ นางยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะยกถ้วยสุราขึ้นจิบอีกครั้ง ท่าทางของนางงดงามราวกับภาพวาด เสียงหัวเราะแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากอ่อนนุ่มของนาง
“ข้างดงามมากหรือเจ้าคะ ท่านอัครมหาเสนาบดี?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานราวกับน้ำผึ้งผสมพิษ ความนุ่มนวลในน้ำเสียงของนางช่างขัดกับความเฉียบคมที่ซ่อนอยู่ในแววตา
นางค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพียงพอที่จะทำให้กลิ่นหอมจากตัวนางลอยไปแตะจมูกของถังเหวยหมิน ใบหน้าของเขาแดงจัดเหมือนผลทับทิมที่สุกงอม เขาแทบจะไม่อาจละสายตาจากร่างของนางได้ ลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วงขึ้นทุกที เส้นเลือดบนลำคอและขมับเต้นตุบๆ ราวกับจะระเบิดออกมา
“ท่านมองข้าด้วยสายตาแบบนั้น...” เยี่ยจิงหลินเอ่ยต่อ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความเย้ายวน ขณะที่ปลายนิ้วเรียวบางของนางลูบไล้ขอบถ้วยสุราเบาๆ
ถังเหวยหมินถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก มือของเขากำหมัดแน่นจนเหงื่อชุ่ม ความปรารถนาที่ซ่อนเร้นในใจของเขาเหมือนจะระเบิดออกมา เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาบนหน้าผาก ก่อนจะหัวเราะเสียงดังพยายามกลบเกลื่อนความลำบากใจ
“ฮ่าๆๆ แน่นอนสิ! เจ้าช่างงดงามเกินบรรยาย ยิ่งกว่าดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ... หรือจะเทียบกับนางฟ้าก็ยังน้อยไปเสียอีก!” เขาพูดออกมาอย่างไม่ลังเล เสียงหัวเราะของเขาแฝงไปด้วยความพยายามควบคุมความบ้าคลั่งในตัวเอง
เยี่ยจิงหลินหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงของนางช่างไพเราะราวกับเสียงกระดิ่งเงิน นางเอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าคงต้องขอบคุณท่านมากๆ เลยเจ้าค่ะ แต่... ท่านเองก็ต้องดื่มสุราอีกสักจอกเป็นการเฉลิมฉลองให้กับคำชมของท่านนะเจ้าคะ...”
น้ำเสียงอ่อนหวานและแววตาที่แฝงไปด้วยเลศนัย ทำให้ถังเหวยหมินไม่อาจปฏิเสธได้ เขาหยิบถ้วยสุราขึ้นมาเทอีกครั้งอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินเข้าสู่กับดักที่หญิงสาววางไว้ด้วยความสุขุมรอบคอบ
เจ้าอ้วน ถังเหวยหมิน หัวเราะเสียงดังลั่น ความสุขสมจากคำพูดยั่วยวนของเยี่ยจิงหลินทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะล่องลอยไปในหมอกแห่งความลุ่มหลง ความลังเลที่เคยมีเลือนหายไปจนหมดสิ้น เมื่อได้ยินคำชวนของหญิงสาว เขาไม่รอช้า ยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด รอยยิ้มแฝงด้วยความกระหายปรากฏบนใบหน้ากลมอวบของเขา
บัดนี้ฤทธิ์ของสุราและตัณหาที่กักขังมานานเริ่มเข้าครอบงำ สายตาของเขาลุกวาวราวกับสัตว์ป่าที่ถูกปลดปล่อยจากกรง แววตาที่เคยแฝงไว้ด้วยเล่ห์กล กลับเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่งที่ไร้การควบคุม ใบหน้าที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อและความตื่นเต้นแดงก่ำ ร่างกายอ้วนท้วมที่เคยเดินทอดน่องอย่างเกียจคร้าน บัดนี้กลับดูเหมือนจะมีกำลังวังชาเกินมนุษย์
“ฮ่าๆๆ สุรานี้ช่างยอดเยี่ยม! เช่นเดียวกับเจ้า เยี่ยจิงหลิน!” เสียงหัวเราะของเขาดังก้อง ราวกับคนเสียสติ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาตามลำคอและขมับ ขณะที่ร่างกายอวบอ้วนของเขาเคลื่อนไหวอย่างกระสับกระส่าย มือทั้งสองข้างของเขายกขึ้นมากวัดแกว่งเหมือนกำลังคุมพลังที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในไม่ไหว
“ข้า... ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นยอดมนุษย์! ฮ่าๆๆ!” เสียงคำรามของเขาดังก้องทั่วห้อง สายตาของเขาจับจ้องเยี่ยจิงหลินอย่างไม่มีวินัยหรือความยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป ทุกมารยาท ความเป็นผู้ดี และความสุขุมที่เขาเคยใช้สร้างภาพลวงตาให้คนอื่นเห็น บัดนี้หลุดหายไปจนไม่เหลือร่องรอย
เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ร่างอ้วนใหญ่เหมือนกำลังพุ่งเข้าหาหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร้การควบคุม กลิ่นอายตัณหาและความบ้าคลั่งแผ่กระจายไปทั่วห้อง ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังตื่นจากการหลับใหล
“ท่านดูเปี่ยมพลังเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านอัครมหาเสนาบดี...” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเจือแววขบขัน ราวกับกำลังมองดูสัตว์ป่าที่กำลังดิ้นรนในกรงขังที่มองไม่เห็น
“เยี่ยจิงหลิน...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความปรารถนา “เรือนร่างของเจ้ามันช่างงดงามเหลือเกิน ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์จนข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะละลาย... ขอข้าแตะสัมผัสเนินอกของเจ้าได้หรือไม่?” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ สายตาของเขาเต็มไปด้วยตัณหา ขณะที่เสียงของเขายิ่งหยาบโลนและไร้มารยาทขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าต้องการสิ่งใด? บอกข้าเถิด ข้าจะบันดาลให้เจ้าได้ทุกอย่าง! แค่บอกมา ข้าจะสรรหามาให้ ไม่ว่าอะไร!” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความกระหาย ร่างกายอ้วนท้วมของเขาสั่นสะท้านด้วยความต้องการที่เขาไม่อาจระงับได้
เยี่ยจิงหลินยังคงนั่งนิ่ง รอยยิ้มอ่อนหวานผุดขึ้นบนใบหน้าของนาง ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนอยู่ นางมองชายตรงหน้าอย่างพิจารณา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบาๆ ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่ชวนขบขัน
“ตัวข้านั้น...” นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ “...ชอบผู้ชายที่รู้จักออดอ้อน ข้าไม่ชอบใครที่หยาบกระด้างหรือดูเหมือนสัตว์ป่า...” นางหยุดเว้นจังหวะก่อนจะยื่นใบหน้ามาใกล้ ถังเหวยหมินที่อยู่ในอาการลุ่มหลงถึงกับนิ่งงัน หัวใจของเขาเต้นระรัว
“ถ้าท่านอยากให้ข้าสนใจจริงๆ...” นางเอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมยิ้มยั่วยวน “ท่านลองส่งเสียง ‘เฮ่า’ เหมือนสุนัขให้ข้าฟังดูสิ... โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง...”
ยังไม่ทันที่เสียงนางจะจบคำดี เจ้าอ้วน ถังเหวยหมิน รีบคลานลงไปกับพื้นในทันที ความบ้าคลั่งในตัวเขามากล้นจนไม่อาจแยกแยะความถูกผิดได้อีกต่อไป เขาเลิกสนใจศักดิ์ศรีหรือมาดของตัวเอง ร่างอ้วนท้วมคลานไปบนพื้นด้วยท่าทางของสัตว์เลี้ยง มือทั้งสองยันพื้นไว้เหมือนสุนัขที่กำลังวิ่งเข้าหาเจ้าของ
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” เสียงเห่าของเขาดังออกมาด้วยความกระตือรือร้น ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มประหลาด ขณะที่เขาคลานสี่ขาเข้าไปใกล้เยี่ยจิงหลิน ใจของเขาเต็มไปด้วยความหวังว่า นางจะยอมมอบรางวัลที่เขาปรารถนาให้
เยี่ยจิงหลินมองดูการกระทำของชายตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ยากจะอ่านได้ ความเยือกเย็นในแววตาของนางเหมือนกำลังประเมินเหยื่อที่ดิ้นรนอยู่ในกับดัก “ดีมาก...” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความขบขัน ขณะที่ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ
หลังจากที่สะสางทุกเรื่องราวในเมืองหลวงจนเสร็จสิ้น เยี่ยจิงหลินก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านไท่ผิงชุน ที่นั่น… คือสถานที่ที่มีความหมายกับนางมากที่สุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเมืองหลวงโดยสิ้นเชิงไม่มีเสียงของขุนนางที่คอยแย่งชิงอำนาจ ไม่มีแววตาแห่งความโลภ ไม่มีเสียงกระซิบของคนที่พยายามคิดคดหักหลังที่นี่มีเพียงสายลมอ่อนๆ อากาศที่สดชื่น และผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะ แห้งแล้งและทุรกันดารแต่สำหรับเยี่ยจิงหลินที่นี่คือบ้าน เมื่อเดินเข้าสู่เรือนของตนเอง นางกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่า หลิวฉางหยาง กำลังพักอาศัยอยู่ที่นี่! เยี่ยจิงหลินหันไปมองมารดาของตนซูหลินด้วยความสงสัยก่อนที่แม่ของนางจะ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเขินอาย"ลูก… แม่ตัดสินใจแล้วว่าแม่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง" หลิวฉางหยางไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เขาเป็นคนที่ ยืนเคียงข้างและคอยดูแลแม่ของนางเสมอมาในวันที่ชีวิตของซูหลินลำบากเขาอยู่เคียงข้างนางโดยไม่ทอดทิ้งและตอนนี้แม่ของเยี่ยจิงหลินก็ได้ตัดสินใจเปิดใจให้กับความรักอีกครั้งเยี่ยจิงหลินเมื่อเห็นแม่ของตนมีความสุข นางย่อมดีใจอย่างที่สุด"แ
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม...ด้วย ฝีมือการรักษาของหมอเทวดาหลานซือหมิง ในที่สุด ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง!แม้ว่าพระองค์ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะกลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับรู้หลังจากฟื้นคืนสติมันทำให้หัวใจของพระองค์สั่นสะท้านยิ่งกว่าพิษร้ายที่เคยกัดกินร่างกายเสียอีก!"คนที่วางยาข้า... คือน้องชายของข้าเอง!?" ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ถึงความจริง อ๋องฟู่หยางเซิน ผู้ที่เขาเคยมอบความไว้วางใจ... กลับเป็นผู้ที่คิดจะฆ่าเขาเอง!สิ่งที่ทำให้พระองค์สะท้านใจไปมากกว่านั้นคือ..."ผู้ที่ช่วยข้ากลับเป็นบุตรสาวของแม่ทัพซุนเทา... บิดาของนางคือผู้ที่ข้าเคยหวาดระแวงเพราะคำยุยงของราชครูกู่เทียนหลง!" พระองค์หวาดระแวงแม่ทัพซุนเทาเพราะคำพูดของราชครูที่คอยปั่นหัวสุดท้าย... พระองค์ก็ต้องสูญเสียทั้งคู่ไปหลังจากนั้นไม่นานความเดือดดาลก็ปะทุขึ้น!"ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมัน!" ดวงตาของฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียน ฉายแววของความโกรธแค้นแม้ว่าอ๋องฟู่หยางเซินจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ แล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพของคนที่ไร้สติ เหม่อลอย ไม่รู้เรื่องราวใดๆแต่ความผิดที่เขาก่อขึ้นมันเกินกว่าที
การตายขององค์ชายฟู่ซิวเหิง… เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยจิงหลินไม่ได้คิดจะหยุดเพียงแค่ปลิดชีพองค์ชาย แต่นางกำลังจะทำให้ตระกูลของอ๋องฟู่หยางเซินล่มสลายไปทั้งสายเลือด! ก่อนที่นางจะลงมือ เยี่ยจิงหลินส่งคนของนางออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับบุตรชายของอ๋องฟู่หยางเซินทุกคนพวกมันทุกคนล้วนชั่วช้า ไม่ได้ต่างไปจากฟู่ซิวเหิงเลยแม้แต่น้อยพวกมันฉ้อโกง ฉุดคร่าหญิงสาว กดขี่ชาวบ้าน ใช้อำนาจอย่างอำมหิต...ทุกสิ่งที่ได้รับรายงานมามีแต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งแน่ใจว่าพวกมันสมควรจะถูกกำจัดจนหมด!เมื่อแผนการถูกวางไว้อย่างรัดกุม ค่ำคืนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก คืนแห่งนรกที่แท้จริงสำหรับท่านอ๋องแม้ว่าตัวของเขานั้นไม่มีสติเป็นของตัวเองแล้วก็ตาม"ลอบสังหารพร้อมกันในคืนเดียว อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว"นางออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด! เหล่ามือสังหารในเงามืด เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง แต่ละคนได้รับเป้าหมายของตนเอง ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความลังเล มีเพียงจุดจบของเครือญาติแห่งอ๋องฟู่หยางเซินเท่านั้นที่รออยู่!เสียงกรีดร้องแห่งความตื่นตระหนก ดังขึ้นจากคฤหาสน์หลายแห่งของบุตรชายท่านอ๋อง"ไม่นะ! ปล่อยข้าไป! ข้าให้เงินเจ้าได้!""อย่า! ข้ายอมแ
เยี่ยจิงหลินยืนอยู่กลางโถงสุราที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด นางจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ฟู่ซิวเหิง องค์ชายผู้เคยหยิ่งทะนงบัดนี้กำลังสั่นสะท้านไม่ต่างจากลูกนกที่ถูกขังไว้ในกรงแห่งความตาย!นางกวาดสายตามองเหล่าขุนนางและองครักษ์ที่เหลือรอด บางคนยังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว บางคนคุกเข่าลงร้องขอชีวิต น้ำตานองหน้า แต่มันไร้ประโยชน์!ใบหน้าของเยี่ยจิงหลินยังคงเรียบนิ่ง… ก่อนที่ริมฝีปากของนางจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา"จงดับลมหายใจของพวกมันให้หมดซะ... อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว"คำสั่งของนางเยือกเย็นราวกับเป็นเสียงแห่งมัจจุราช เงามรณะเคลื่อนไหวทันที!เสียงดาบกระทบกับเนื้อ เสียงเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระลอก ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงไปทีละน้อย ฟู่ซิวเหิงจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่สั่นไหว เขาเห็นขุนนางที่เคยประจบสอพลอตนเองถูกเชือดไปทีละคน…เขาเห็นองครักษ์ของตนเองล้มลงโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะชักดาบขึ้นมาต่อสู้!"ไม่… ไม่…"ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งที่เขาเคยภาคภูมิใจ อำนาจ ความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยานล้วนมลายหายไปจนหมดสิ้นและเมื่อความหวาดกลัวพุ่งถึงขีดสุด…"ท่านพ่อ! ช่วยข
ภายใน หอสุรา ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงในพริบตาเดียว!ฟู่ซิวเหิง และเหล่าขุนนางยังคงกำลังดื่มด่ำกับความสุขจากอำนาจใหม่ของตนเอง เสียงจอกสุรากระทบกัน เสียงหัวเราะยังคงดังไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคนกำลังหลงระเริงอยู่ใน ภาพมายาของชัยชนะแต่แล้ว…"พรึ่บ!"เปลวไฟทุกดวงภายในห้องโถงพลันดับมอดลงอย่างกะทันหัน!ทั้งห้องตกอยู่ใน ความมืดมิดอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว มีเพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบเสียงของแขกภายในงานเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจายออกไปในหมู่ผู้ร่วมงาน"มันเกิดอะไรขึ้น?!""มีใครไปจุดไฟเร็วเข้า!"เสียงตะโกนดังขึ้นจากมุมห้อง น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก!แต่ไม่มีคำตอบไม่มีใครขยับท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิด…"อ๊ากกกกก!!!"เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดังก้องไปทั่วห้องโถง!หนึ่งในแขกของงานถูกปลิดชีพอย่างไร้ความปรานี!เงามัจจุราชที่คืบคลานฟู่ซิวเหิงเบิกตากว้าง เขาหันมองไปรอบๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดสนิท!"ใครอยู่ตรงนั้น?! ออกมาเดี๋
ความจริงที่โหดร้ายกำลังกลืนกินหัวใจของท่านอ๋องฟู่หยางเซินอย่างช้าๆบุตรชายที่เขารักและไว้วางใจที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่กำลังผลักไสเขาไปสู่ความตาย!ร่างกายของท่านอ๋องที่อ่อนแรงอยู่แล้ว กลับยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดและความสิ้นหวังได้กัดกินจิตใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ความเศร้าโศกที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขา ทำให้พิษร้ายที่แฝงอยู่ในร่างแทรกซึมลึกลงไปในทุกอณูของร่างกาย!หัวใจที่แตกสลาย…ร่างกายที่อ่อนแอ…ความเจ็บปวดจากพิษร้ายที่คืบคลานเข้าสู่กระแสโลหิต…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบั่นทอน ชีวิตของอ๋องฟู่หยางเซิน ไปทีละนิดจากชายผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองอำนาจเหนือผู้อื่น บัดนี้กลับต้อง นอนอยู่บนเตียงอย่างคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยพลังและความเย่อหยิ่ง กลับกลายเป็นสายตาที่เหม่อลอย…เขารู้ดีว่า ตนเองกำลังจะตายแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ความตาย...แต่เป็นการตายด้วยน้ำมือของบุตรชายที่เขารักที่สุด!ความคิดสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาคือ..."นี่หรือคือผลตอบแทนของข้า...?""นี่หรือคือจุดจบของอ๋องฟู่หยางเซิน?""ข้าเลี้ยงดูอสูรกายขึ้นมาเองแท้ๆ…"







