ไพลินได้งานพาร์ทไทม์เป็นเด็กเสริ์ฟอยู่ที่ร้านอาหารจากการช่วยเหลือของเพื่อนที่เรียนมหาลัยเดียวกัน หญิงสาวเริ่มงานมาได้เกือบอาทิตย์แล้ว ทุกอย่างดูราบรื่นดีและกำลังเข้าที่ทั้งงานและเพื่อนร่วมงาน แต่แล้ววันนี้เธอก็ถูกผู้จัดการร้านเรียกคุย
“คุณเรียกฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้จัดการของร้าน
สาวใหญ่วัยกลางคนมองลูกน้องสาวที่พึ่งเข้ามาเริ่มงานได้เพียงอาทิตย์เดียวแล้วให้นึกเสียดายในใจและรู้สึกสงสาร แต่คำสั่งที่ได้รับมาจากเจ้าของร้านนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องทำตามแม้จะไม่รู้เหตุผลเท่าไรนัก
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะจ้างเธอทำงานนะ..ฉันเสียใจนะลิน เธอทำงานดีมากแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าของร้านถึงสั่งแบบนี้” คำบอกของผู้จัดการร้านทำไพลินเข่าอ่อนแทบทรุด เธอกำลังอุ่นใจว่าจะมีรายได้เพื่อไว้เป็นค่าใช้จ่าย พอมาเจอแบบนี้ก็แทบจะไปไม่เป็น
“ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า พวกคุณบอกฉันได้นะ ฉันจะแก้ไขและปรับปรุงแต่ขอร้องเถอะช่วยจ้างฉันต่อได้ไหม ฉันจำเป็นต้องมีงานทำเพื่อหาเงินไว้สำหรับใช้จ่ายระหว่างเรียน” หญิงสาวถลาไปจับมือของผู้จัดการร้านแล้วเขย่าเบา ๆ อ้อนวอนขอให้ช่วยเธอ
“ฉันไม่ใช่คนที่เลิกจ้างเธอแต่คือเจ้าของร้าน และฉันก็ไม่รู้เหตุผลของการเลิกจ้างในครั้งนี้ด้วย พวกเขาเพียงแต่ให้ฉันมาบอกเธอก็เท่านั้น” ไพลินทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างหมดแรง กว่าจะได้งานที่นี่เธอต้องคอยถามไถ่และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนไม่รู้ตั้งกี่คน พอได้ทำไม่กี่วันก็ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก แล้วต่อจากนี้เธอจะต้องทำยังไง
“ฉันพอจะมีเพื่อนที่รู้จักทำงานอยู่ร้านอื่น ถ้าเธอสนใจฉันจะช่วยถามให้” หญิงสาวมองผู้จัดการร้านอย่างมีความหวังอีกครั้งหลังจากเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนเธอไม่ต่างจากคนที่กำลังจะจมน้ำ
“สน..ฉันสนใจค่ะถ้าคุณจะกรุณา” เธอรีบกบอกอย่างดีใจ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมาอย่างรวดเร็วแล้วรับรายละเอียดที่อยู่สำหรับการไปสมัครงานที่แห่งใหม่มาจากสาวใหญ่ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นอดีตหัวหน้างานของเธอ
ไพลินเก็บรายละเอียดนั้นไว้อย่างดีก่อนจะขอตัวไปทำหน้าที่ของตัวเองในวันสุดท้ายของการทำงานที่ร้านแห่งนี้ โดยไม่ลืมที่จะขอบคุณผู้จัดการสาวที่ช่วยเธอสำหรับการหางานที่ใหม่
หลังเลิกงานจากที่เดิมหญิงสาวก็โทรหาร้านอาหารที่พึ่งได้เบอร์มาเพื่อสอบถามรายละเอียด และโชคดีที่ได้คุยกับเจ้าของร้านก่อนจะนัดวันเวลาที่เธอจะเข้าไปคุย เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างว่าอย่างน้อยเธอก็ยังมีหวังอยู่บ้าง
ไพลินกลับที่พักด้วยใจและกายที่อ่อนล้า ตั้งแต่ออกมาจากบ้านเดวาลอฟชีวิตของเธอก็เหมือนจะดิ่งลงทั้งความรู้สึกและการใช้ชีวิตอย่างบอกไม่ถูก จนบางครั้งเธอแทบไม่อยากตื่นขึ้นมาเผชิญกับความรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนี้
หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเธอถูกติดตามจากคนของเมสันตลอดเวลาตั้งแต่วันที่เดินออกมาจากชีวิตเขา ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกรายงานให้ชายหนุ่มรู้ตั้งแต่เธอออกจากอพาร์ทเมนท์จนกระทั่งกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดของวัน แต่อีกมุมหนึ่งก็มีอีกคนที่ไม่ใช่คนของเมสันคอยติดตามหญิงสาวอยู่เช่นกัน
------------------------------------------
“คืนนี้ค้างกับซาร่านะคะ” เมสันเหลือบตามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมา
“พรุ่งนี้ผมมีประชุมผู้ถือหุ้นคงไม่สะดวก”
“ตั้งแต่วันนั้นคุณก็อ้างว่าไม่สะดวกทุกครั้ง ถึงจะยอมออกมาทานข้าวกับฉันแต่ก็ไม่ได้ค้างด้วยเหมือนเคย คุณดูแปลกไปนะคะเมสัน”
“คุณรู้ตัวหรือเปล่าซาร่าว่ากำลังล้ำเส้นผมจนเกินงามทั้งที่คุณก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าคู่ควงคนไหนของผม” ซาร่ามีสีหน้าเข้มเมื่อได้ยินในสิ่งที่เมสันพูดออกมา
“แล้วคุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมาเมสัน แล้วความสัมพันธ์ของเราที่ผ่านมาล่ะ” ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มอย่างสวยงามตอนนี้แทบหาความงามไม่เจอเพราะอารมณ์ที่แสดงออกมาทางสีหน้านั้นกลบความสวยงามที่มีก่อนหน้านี้เกือบมิด
“คุณคงไม่คิดจะให้ผมรับผิดชอบผู้หญิงทุกคนที่เคยขึ้นเตียงกับผมด้วยการแต่งงานหรอกใช่มั้ย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบไม่ต่างจากใบหน้า
“เมสัน!! ฉันชักจะสงสัยแล้วล่ะสิว่าบางทีคุณอาจจะกำลังตบตาอะไรฉันอยู่หรือเปล่าเรื่องเด็กคนนั้น”
“เด็กคนไหนล่ะ ถ้าจะหมายถึงเด็กที่คุณแอบถ่ายรูปเธอกับผม เธอก็แค่คนหนึ่งที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิตผมไม่ต่างจากคุณและคนอื่นหรอกซาร่า” เครื่องดื่มสีชาถูกยกขึ้นจรดปากแล้วกระดกลงคอรวดเดียวหมด
“คุณแน่ใจเหรอคะเมสันว่าเด็กนั่นไม่ได้พิเศษไปกว่าคนอื่น ถ้าคุณแน่ใจเหมือนที่พูด คุณกล้าหรือเปล่าที่จะเผชิญหน้ากับเด็กนั่นพร้อมกับฉัน”
“ไหนคุณลองบอกเหตุผลดี ๆ กับผมสักข้อสิซาร่าว่าทำไมผมถึงต้องทำแบบนั้น”
“เด็กเอเชียคนนั้นสวยดีนะคะ ทางโมเดลลิ่งที่ซาร่ารู้จักกำลังอยากได้ผู้หญิงสไตล์ใส ๆ แบบนี้มาแคสงานถ่ายแบบแนวปลุกใจเสือป่าอยู่พอดี ถ้าเด็กนั่นเป็นแค่ผู้หญิงที่รับงานทานข้าวกับผู้ชายทั่วไป คุณก็คงจะไม่ว่าอะไรใช่มั้ยคะถ้าหากซาร่าจะเข้าไปทำความรู้จักเพื่อเสนองานให้กับเธอ” นัยน์ตาสีอำพันเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนจนแทบอยากกระชากวิญญาณของผู้หญิงตรงหน้า..แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะแสดงท่าทางไม่ยี่หระต่อคำพูดของนางแบบสาวพร้อมเอ่ยออกมาแบบนิ่ง ๆ
“ก็ไม่เกี่ยวกับผม”
ไพลินนั่งเครียดจนแทบอยากจะร้องไห้เมื่อการสัมภาษณ์งานไม่เป็นไปตามที่เธอหวัง หลังออกจากงานเดิมที่ทำได้แค่อาทิตย์เดียวเธอก็พยายามหางานอย่างหนักทั้งด้วยตัวเองและจากการช่วยเหลือของเพื่อน แต่ทุกที่หากไม่ปฏิเสธเธอตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ก็ให้เธอลองทำแค่อาทิตย์เดียวก็มีเหตุให้ต้องออกซึ่งเธอก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น “ลีน่าเป็นไงบ้าง ยังหางานไม่ได้อีกเหรอ” เพื่อนสาวชาวอเมริกันที่ชอบเรียกไพลินว่าลีน่าเพราะง่ายกว่าชื่อจริงของเธอเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามหญิงสาวพร้อมยื่นเบอร์เกอร์ไก่มาตรงหน้าหญิงสาว “เมแกนทำไมกลิ่นมันแรงจัง” ไพลินทำหน้าพะอืดพะอมเมื่อได้กลิ่นเบอร์เกอร์ไก่ที่เพื่อนสาวซื้อมาฝาก เมแกนทำท่าแปลกใจเพราะปกติไพลินจะชอบสั่งกิน “ทำไมวันนี้มันกลิ่นแรงจัง” “หืม..ก็ปกตินี่นา ฉันก็ซื้อร้านเดิมที่เราเคยกินประจำด้วย” ไพลินทนกลิ่นต่อไปไม่ไหวถึงกับต้องรีบลุกแล้ววิ่งไปอาเจียนตรงพุ่มไม้ “ลีน่า..เธอไม่สบายหรือเปล่า ฉันขอโทษนะไม่คิดว่าเธอจะเหม็นมันขนาดนี้ ก็ทุกทีเธอ….” “ไม่เป็นไรเมแกนสงสัยฉันจะพักผ่อนน้อยก็เลยรู้สึกเว
ไพลินเดินตามเพื่อนพนักงานไปยังจุดที่เมสันและซาร่ายืนอยู่เพื่อไปเชิญแขกวีไอพีไปยังโต๊ะที่พวกเธอจัดเตรียมไว้ตามที่ลูกค้าได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ จังหวะนั้นเมสันที่กำลังวางสายก็หันมาเห็นเธอเข้าพอดีแววตาที่ดูลึกล้ำสุดจะหยั่งได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่มองมาที่เธอ แวบหนึ่งไพลินก็รู้สึกเหมือนกับว่าชายหนุ่มดีใจที่ได้เห็นเธอที่นี่ สายตาคู่นั้นเหมือนจะอ่อนโยนคล้ายกับกำลังยิ้มให้ แต่มันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นจนเธอคิดว่าตัวเองตาฝาดและคิดไปเอง เพราะหลังจากนั้นนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นกลับดูเฉยเมยราวกับว่าเธอและเขาไม่เคยพบเจอกันมาก่อนในชาตินี้“สวัสดีค่ะคุณซาร่า คุณเมสัน เชิญคุณทั้งสองตามเรามาทางด้านนี้ดีกว่าค่ะ ทางเราได้จัดโต๊ะเตรียมไว้ให้คุณทั้งคู่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราสองคนจะคอยดูแลคุณทั้งสองนะคะ ดิฉันชื่อโรสส่วนคนนี้ชื่อลินค่ะ” คนที่ดูเชี่ยวชาญกว่าเพราะอยู่มาก่อนกล่าวต้อนรับลูกค้าอย่างคล่องแคล่วไพลินเดินนำทุกคนไปยังโต๊ะที่เตรียมไว้ตามด้วยเพื่อนพนักงานของเธอและซาร่าโดยมีเมสันเดินตามมาเป็นคนสุดท้ายแม้จะรู้สึกหนักใจและลำบากใจในการทำงานในวันนี้แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์เลือก อีกอย่างเรื่องของเธอกับเมสันก็จบไปแล้ว
“ทำไมไปนานนักคะ ซาร่านั่งดื่มคนเดียวจนมึนไปหมดแล้ว” เมสันเดินกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเช่นเคย ต่างจากซาร่าที่เริ่มออกอาการและส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ชายหนุ่ม “พอดีมีสายจากรัฐมนตรีเรื่องการสั่งผลิตรถถังรุ่นใหม่เลยคุยนานไปหน่อย” “อย่างนี้นี่เอง ฉันก็นึกว่าคุณถูกสาวที่ไหนฉกตัวไปเสียอีก” เมสันหน้าตึงไม่พอใจกับคำพูดของนางแบบสาวก่อนจะย้อนกลับเบา ๆ ด้วยคำพูดที่ซาร่าแทบจะหายจากอาการมึน “ผมไม่ใช่ผู้ชายที่กินไม่เลือก หรือถ้าหากจะหลงผิดไปบ้างผมก็ถือเป็นสีสันชีวิต แต่รับรองว่าไม่คิดจะกลับไปกินอีกถ้าแน่ใจว่าของนั้นมันไม่สะอาด อะไรที่มันไม่สะอาดต่อชีวิตผมไม่เสียดายที่จะต้องทิ้ง” ซาร่าหน้าเปลี่ยนสีแต่ก็รีบกลบเกลื่อนให้เป็นปกติ “แหม…ฉันแค่พูดหยอกคุณก็จริงจังไปได้” นางแบบสาวพูดหัวเราะกลบเกลื่อนเสมองไปทางอื่น ใจคอรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของชายหนุ่ม เมสันยังคงเก็บอาการได้ดีแม้ในใจตอนนี้จะห่วงไพลินเป็นอย่างมาก หลังจากที่หญิงสาวมีอาการแปลก ๆ และอ้วกจนหมดไส้หมดพุงเขาก็ไม่รอที่จะหาคำตอบกับเจ้าตัวว่าเป็นอะไรแต่กลับโทรเรียกให้ดีแลนมาพาหญิงสาว
ห้องจัดงานที่ใหญ่ที่สุดของโรงแรมชื่อดังกลางกรุงวอชิงตันกำลังคลาคล่ำไปด้วยสื่อมวลชน นางแบบ แมวมอง และนักธุรกิจที่ถูกเชิญมาร่วมงานโชว์ประจำปีของชุดชั้นในแบรนด์ดังระดับโลก ภายในงานมีบอดี้การ์ดกระจายอยู่ทั่วทุกแทบตารางนิ้วเพราะมีชุดชั้นในทองคำที่ราคากว่าสิบล้านดอลล่าร์ที่จะมาโชว์ด้วย เมสันคือหนึ่งในแขกวีไอพีที่ถูกเชิญมาร่วมงานในครั้งนี้รวมถึงลูคัสก็เช่นกัน “ซาร่าคือคนที่จะต้องสวมใส่ยกทรงทองคำในคืนนี้ โชว์รอบนั้นจะเป็นโชว์ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด” “ดี นั่นแหละที่กูต้องการ” “ไม่แรงไปหน่อยเหรอวะ อนาคตดับแบบไม่ได้เกิดแถมต้องเข้าซังเตอีก” ลูคัสว่า “มึงว่ากูอ่อนไม่ใช่หรือไงที่ยอมในคำขู่ของซาร่า” เมสันไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยกับสิ่งที่ลูคัสพูด “เออ…ก็กูไม่รู้นี่หว่าว่ามึงทำอะไรอยู่ถึงปล่อยให้ผู้หญิงแบบนั้นมาบงการ แต่ตอนนี้รู้แล้ว”“บางเรื่องไม่ใช่ไม่ไว้ใจใคร แต่บางทีคนเราก็ไม่มีเวลาเอาข้อเสนอแนะของคนรอบข้างมาวิเคราะห์เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม กูไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น เดิมพันของกูคือไพลินมึงก็รู้ ” ลูคัสพยักหน้าเข้าใจในส
ไพลินถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาที่ดีที่สุดเป็นศูนย์รวมของแพทย์ที่เก่งที่สุดและค่ารักษาที่แพงที่สุดของกรุงวอชิงตันดีซี ซึ่งมีตระกูลของลูคัสถือหุ้นใหญ่และบริหารอยู่ ลูคัสเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อมาถึงก็เจอกับเจเดนที่กำลังยืนรออยู่ “ไพลินเป็นยังไงบ้าง” “ยังอยู่ห้องฉุกเฉินครับ” เจเดนตอบเพื่อนเจ้านาย ลูคัสพยักหน้ารับรู้แล้วเดินหายเข้าไปภายในห้องฉุกเฉินเพื่อติดตามอาการภรรยาตัวน้อยของเพื่อนทันที ถึงไมได้บริหารแต่ก็เป็นลูกหลานของผู้บริหารลูคัสจึงสามารถสั่งการได้ไม่ต่างจากผู้บริหารคนอื่นและชายหนุ่มก็เป็นที่คุ้นตาดีสำหรับเจ้าหน้าที่และแพทย์ของโรงพยาบาลเพราะเข้ามาประชุมผู้ถือหุ้นแทนบิดาอยู่บ่อยครั้ง “คนไข้เป็นยังไงบ้าง” หมอที่กำลังทำการรักษาเงยหน้าขึ้นมามองคนถาม ก่อนจะตรวจคนไข้อีกครั้งให้แน่ใจแล้วหันมาตอบ “เมื่อกี้เธอรู้สึกตัวแล้วครับแล้วก็หลับไปอีกเพราะความอ่อนเพลีย ตอนนี้ทางเราได้ให้น้ำเกลือและยาแก้แพ้ท้องแบบฉีดผ่านทางสายน้ำเกลือให้ คงต้องให้นอนรอดูอาการที่โรงพยาบาล
ลูคัสเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยด้วยความรู้สึกหนักใจแทนเมสัน ขนาดว่าเขาไม่ใช่พ่อของลูกในท้องของไพลินยังรู้สึกเคืองที่แม่ของลูกมีความคิดที่ไม่เข้าท่าแบบนั้น ดูแล้วเพื่อนของเขาคงต้องมีเรื่องที่ต้องรีบปรับความเข้าใจกับแม่ของลูกโดยด่วน ทางด้านเมสันหลังจากที่อยู่ให้ปากคำตำรวจในฐานะพยานผู้ส่งมอบหลักฐานสำคัญเสร็จก็รีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลทันที ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถทั้งที่ดีแลนยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำ “ลินอยู่ไหน” เสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความร้อนใจถามทันทีที่เดินเข้ามาในโรงพยาบาลแล้วเจอกับลูคัส เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนแล้วลูคัสก็นึกอยากจะแกล้งขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ที่ตอนนี้ทำเหมือนกับห่วงเมียจะเป็นจะตาย ผิดกับก่อนที่จะจัดการเรื่องนางแบบสาวอย่างซาร่า ขนาดรู้ว่าเมียลำบากยังใจเย็นทนดูได้ มาตอนนี้อย่างกับจะคลั่ง “จัดการเรื่องที่โรงแรมเรียบร้อยแล้วเหรอ” นอกจากจะไม่ตอบในสิ่งที่เมสันถามแล้วลูคัสยังตีหน้าเรียบถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คนถามอยากรู้ “ถ้าไม่เรียบร้อยมึงจะเห็นกูยืนทนโท่อยู่นี่หรือเปล่าล่ะ”น้ำเสียงหงุดหงิดตอบกลับอย่างไม่สบอาร
ร่างหนามีปฏิกิริยาเกร็งตัวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อลูคัสบอกในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน สายตาคมที่ดูนิ่งก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นดุดันราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในนั้น บุหรี่ที่พึ่งถูกหยิบขึ้นมาใหม่ถูกมือหนาบีบบี้จนแหลกคามือลูคัสที่เห็นท่าปฏิกิริยาของเมสันก็รู้ได้ว่าตอนนี้เพื่อนตนกำลังโมโหหนัก“มึงใจเย็น ๆ ก่อน นี่แหละที่กูลากมึงออกมาคุยกันก่อนที่มึงจะไปเจอไพลิน ตอนนี้เมียมึงกำลังอยู่ในสภาวะจิตใจที่ไม่คงที่ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะมีความคิดชั่ววูบแบบนั้น”“หึ..ความคิดชั่ววูบอย่างนั้นเหรอ เธอไม่ควรมีความคิดแบบนี้เลยต่างหาก ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด!!” เมสันตะคอก…เสียงตะคอกดังสาดใส่ลูคัสราวกับว่าลูคัสคือไพลินที่ทำให้เขากำลังโมโหกับความคิดงี่เง่าจนแทบควบคุมอามรมณ์ไม่ได้ลูคัสไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธแม้แต่น้อยเพราะเข้าใจความรู้สึกของเมสันดี และตอนนี้ก็เข้าใจความรู้สึกของไพลินด้วย“มึงอย่าลืมสิว่าไพลินไม่ได้รู้เรื่องซาร่า ตอนนี้เมียมึงคิดแต่ว่าตัวเองลำบาก ลำพังตัวคนเดียวก็ยังเอาแทบไม่รอด ไปทำงานที่ไหนมึงก็ใช้อิทธิพลมืดของมึงกีดกันเขาหมดเพื่อหวังให้เขาซมซานกลับมาหา แต่อีกด้านก็เป็นคนผลักเขาไปให้ไกลตัว
ไพลินแทบลืมความอ่อนเพลียที่มีเมื่อเมสันเอ่ยว่าจะคุยกับหมอที่ดูแลเธอ “ทำไม..ทำไมฉันถึงจะเจอหมอที่รักษาเธอไม่ได้ หรือเธอมีอะไรปิดบังฉันอยู่” เสียงเรียบถามพร้อมกับหรี่ตามองคนที่นอนบนเตียงคนป่วยด้วยสายตาจับผิด “ปละ…เปล่าค่ะ หนูแค่คิดว่ามันไม่จำเป็น จะเสียเวลาคุณเปล่า ๆ มันไม่ได้สำคัญอะไร” เมสันที่นั่งไขว่ห้างกอดอกมองภรรยาเด็กของตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ย้ายตัวเองขึ้นมานั่งเบียดบนเตียงคนป่วยอย่างช้า ๆ สายตาคมกริบโฟกัสอยู่ที่ใบหน้าหวานที่ซีดเซียวแบบไม่ยอมกระพริบตาแม้แต่น้อย “พูดใหม่ซิ เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ” เสียงทุ้มถามอย่างนุ่มนวลแต่ฟังดูเหมือนบังคับอยู่ในที ทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย ไพลินไม่ได้พูดซ้ำและไม่ยอมมองหน้าชายหนุ่มที่ตอนนี้โน้มเข้ามาใกล้กับใบหน้าเธอจนห่างกันแค่คืบ ความใกล้ทำให้หญิงสาวได้กลิ่นประจำกายของผู้ชายที่เธอโหยหามาตลอด มันเป็นกลิ่นที่ทำเธออ่อนระทวยทุกครั้งที่เขามาใกล้ แต่ว่าตอนนี้มันกลับเป็นกลิ่นที่ทำเธอรู้สึกเหม็นจนอยากจะอ้วกออกมา “คุณขยับตัวออกไปหน่อยได้มั้ยคะ” เธอบอกเขาพร้อมทำหน้าเห
หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วเมสันก็ตั้งใจจะบินไปประเทศไทยกับภรรยาสาวเพื่อเยี่ยมครอบครัวของเธอ แต่ตารางงานที่ชายหนุ่มมีต้องรออีกเป็นเดือนถึงจะสามารถบินได้ เพราะ เมสันมีกำหนดการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่สามัญประจำปีและมีนัดเจรจาธุรกิจกับกองทัพสหรัฐเกี่ยวกับการผลิตยานพาหนะทางการทหารรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่สามารถส่งใครเข้าไปพูดคุยแทนได้เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ“ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องกลับไปเยี่ยมพี่สาวช้าไปอีกนิด” ชายหนุ่มบอกเมียเด็กของตนเองในค่ำคืนหนึ่ง“ไม่เป็นไรค่ะ งานคุณสำคัญที่สุด..ลินรอได้” เธอบอกพลางแนบแก้มไปกับอกหนา หลังจากวันที่เข้าใจกันไพลินก็ย้ายห้องนอนมาอยู่ห้องของชายหนุ่มอย่างถาวรตามความต้องการของเจ้าของห้อง“อื้อ..อย่าพูดแบบนี้สิ สำหรับฉันไม่มีอะไรสำคัญกว่าเธอกับลูก เพียงแต่งานที่กำลังเคลียร์มันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ก่อนที่จะรู้ว่าจะต้องเดินทางไปประเทศไทยก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอธิบายเพราะกลัวหญิงสาวจะคิดมาก“ลินเข้าใจค่ะ คุณให้ลินไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิมด้วยได้มั้ยคะ ลินอยากเก็บเงินส่งไปเป็นค่าตั๋วให้พี่สาวและพี่เขยมาหาลินที่นี่” เธ
หลังจากที่ไพลินแกล้งให้เมสันเข้าใจผิดว่าตนเองจะหอบลูกมาอยู่ประเทศไทยถาวรจนชายหนุ่มโกรธและไม่ยอมคุยด้วยไปหลายวัน มาวันนี้กลับเป็นตัวเธอเองที่ทนไม่ไหวกับท่าทีของสามีที่ดูจะเงียบขรึมและเย็นชาขึ้นทุกวัน“วันนี้ลินขอไปที่บริษัทกับคุณด้วยได้มั้ยคะ” หลังจากที่คิดอยู่นานว่าจะง้อชายหนุ่มยังไงดีในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้าเมสันช้อนตามองภรรยาแวบเดียวแล้วก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อโดยไม่พูดอะไร“จริงด้วย..พี่เมสันพาลินไปที่บริษัทด้วยสิคะลินจะได้ไม่เหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว เดี๋ยวจะเครียด” ไมร่าสนับสนุนคำขอของไพลินเพราะรู้ว่าเพื่อนสาวกำลังหาทางง้อพี่ชายของเธอ หลังจากที่ไพลินเดินมาปรึกษาและเล่าสาเหตุที่เมสันโกรธให้ฟัง“ที่บริษัทไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอก ขนาดที่นี่มีทุกอย่างพร้อมที่จะประเคนให้ยังรั้งใครไว้ไม่ได้” เสียงเรียบเอ่ยออกมาพร้อมทำท่าว่าจะอิ่มแล้วกับอาหารเช้าที่พึ่งทานเข้าไปไมร่าส่งสัญญาณให้ไพลินพูดอะไรสักอย่างก่อนที่พี่ชายของเธอจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร“แต่ที่นั่นมีคุณอยู่ด้วย ไม่เหมือนที่นี่ที่หลังจากอาหารเช้าลินก็ต้องอยู่คนเดียวไม่ร่าก็ต้องไปเรียน” เธอรีบบอก..หวังให้คำพูด
ไพลินปล่อยให้เมสันนอนหนุนตักเธอนานเท่าไหร่ไม่รู้จนเธอเองก็เผลอพิงโซฟาหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในท่านอนสบายบนโซฟาแล้วมีผ้าห่มคลุมตัวเรียบร้อย แต่กลับไร้เงาสามี หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มเพื่อตามหา “คุณตื่นแล้วเหรอคะ” มีอาที่กำลังเดินถือถาดอาหารกำลังจะไปยังชั้นบนของบ้านทักหญิงสาว “ค่ะ พอดีลินเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วคุณเมสันอยู่ไหนคะ” เธอถามาสามี “นายท่านอยู่บนห้องค่ะ หมอมาตรวจอาการพึ่งกลับไปเมื่อครู่” “แล้ว….” เธอกำลังจะถามถึงถาดอาหารที่มีอากำลังถืออยู่ “อาหารบำรุงของนายท่านที่หมอสั่งค่ะ ฉันกำลังจะเอาขึ้นไปให้” มีอาบอก “เดี๋ยวลินยกไปให้ดีกว่าค่ะ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเดี๋ยวลินจะมาบอกมีอานะ” “ไม่เป็นไร คุณกำลังท้องอยู่เดี๋ยวนายท่านรู้จะดุเอาที่ปล่อยให้คุณทำอะไรแบบนี้” มีอาทำท่าว่าไม่ยอม “มีอา..ลินท้องนะคะไม่ได้ป่วย อีกอย่างถ้าหากนายท่านของมีอาดุเดี๋ยวลินจะเป็นคนจัดการเอง” เธอพูดยิ้ม ๆ ให้อีกฝ่ายคลายกังวลแล้วยื่นมือไปรอรั
เมสันและไพลินได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวที่บ้านหลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาลเกือบสิบวัน โดยระหว่างที่กลับมาพักฟื้นที่บ้านก็จะมีหมอมาคอยตรวจอาการทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้งตามความประสงค์ของทนายประจำตระกูล เดวาลอฟที่เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เมสันมี“ไม่ต้องแสดงความอึดด้วยการหากิจกรรมทำยามค่ำคืนนะมึง เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ” เมื่ออยู่กันตามลำพังสองหนุ่ม ลูคัสจึงพูดหยอกเมสัน“มึงจะให้กูทำอะไร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาที่บ้านได้สองวันแล้วกูแทบไม่เห็นหน้าเมีย คอยแต่จะหลบหน้าอยู่นั่นแหละไม่รู้ไม่พอใจอะไรอีก รอให้กูเข้าที่อีกหน่อยเถอะ” เมสันบ่นอย่างหงุดหงิด“แล้วมึงไปทำอะไรให้เมียเด็กของมึงงอนอีกละ”“ออกจากโรงพยาบาลมาก็อยู่แต่บ้านกูยังไม่ได้ออกไปไหน แล้วกูจะรู้หรือเปล่าล่ะว่ากูทำอะไรผิด กูก็อยู่เฉย ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ ตอนนี้กูชักอยากจะกลับไปนอนโรงพยาบาลด้วยกันใหม่อีกรอบ” ลูคัสแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวกับอาการงอนเมียของอีกฝ่าย“เอาน่าใจเย็น ตอนนี้มึงก็ดีขึ้นมากแล้วเดี๋ยวเดินเหินได้สะดวกกว่านี้ค่อยว่ากัน คนท้องอาจจะมีอารมณ์แปรปรวนบ้างมึงต้องเข้าใ
เจเดนที่วิ่งตามคนเป็นนายมาติด ๆ และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าเมสันวิ่งไปคว้าตัวไพลินให้พ้นจากรถที่วิ่งมา แต่ตัวเจ้านายของเขาถูกรถกระแทกทางด้านข้างแล้วพากันล้มกลิ้งไปบนฟุตบาทอยู่หลายตลบเจเดนเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็วและจัดการเรียกหน่วยฉุกเฉินทันทีแล้วโทรหาดีแลนกับลูคัสเพื่อแจ้งเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นเมสันและไพลินถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลหลังเกิดเหตุไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากการช่วยเหลือและการประสานงานอย่างรวดเร็วทั้งจากลูคัสและและเครือข่ายของเมสันเองที่มีอยู่ทั่วทุกวงการไพลินมีอาการจุกที่ท้องน้อยและมีเลือดซึมออกทางช่องคลอด ส่วนเมสันนั้นก็มีอาการที่ค่อนข้างหนักเช่นกันเพราะนอกจากหัวแตกแล้วยังมีกระดูกซี่โครงหักทิ่มปอดจากการถูกรถเฉี่ยวแล้วล้มลงกระแทกพื้นและกลิ้งไปตามทางอย่างแรงหลายตลบเพราะเอาตัวเองเป็นกำบังโดยการกอดไพลินไว้แน่นเพื่อให้หญิงสาวกระทบกระเทือนน้อยที่สุด “คุณผู้หญิงมีอาการแท้งคุกคามแต่ดีที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว เบื้องต้นเด็กในท้องยังอยู่แต่คงต้องให้คุณแม่นอนนิ่ง ๆ ห้ามเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็นที่โรงพยาบาลสักพักเพื่อให้ยากันแท้งและเพื่อให้แน่ใจว่าปลอด
จีน่าเก็บความไม่พอใจไว้เงียบ ๆ และพยายามหาข้อมูลของนักศึกษานามว่าไพลินซึ่งเป็นผู้หญิงที่ได้หัวใจของผู้ชายคนที่เธอหมายปองไปครอง และเหมือนโชคจะเข้าข้างหล่อนในวันนี้ที่อาจารย์ประจำภาควิชาที่ไพลินเรียนขอลา จีน่าซึ่งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการจึงต้องเข้ามาดูแลด้านการสอนแทนเป็นกรณีพิเศษ “วันนี้อาจารย์ว่าเรามาคุยกันเกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจและการเงินบ้างดีกว่า ในอเมริกาของเรามีใครบ้างนักศึกษาลองเอ่ยชื่อมาให้อาจารย์หน่อยสิคะ” จีน่ามองไปรอบ ๆ คลาสก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวชาวไทยที่เป็นเป้าหมายของเธอด้วยสายตาบางอย่าง นักศึกษาในคลาสต่างหันหน้าไปหารือและถามกันเรื่องบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจและการเงิน และเหมือนกับว่าคำตอบของนักศึกษาส่วนใหญ่จะเข้าทางจีน่าเพราะชื่อที่ถูกเอ่ยออกมามากที่สุดก็คือชื่อของเมสันนั่นเอง “หนูเคยได้ยินว่าอาจารย์เคยเป็นผู้หญิงคนสนิทของคุณเมสันใช่หรือเปล่าคะ” เสียงนักศึกษาสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา จีน่าแอบยิ้มในใจ รู้สึกว่าวันนี้โชคจะเข้าเธอมากเป็นพิเศษ “ใช่..ที่จริงแล้วอาจารย์ก็พึ่งจะ
“คุณเหนื่อยหรือเปล่าคะวันนี้” ร่างบางเดินออกมาต้อนรับสามีทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน“นิดหน่อย..แต่พอได้เห็นหน้าเธอก็หายเหนื่อยแล้ว”เสียงทุ้มตอบภรรยาเด็กยิ้ม ๆ พร้อมคว้าเอวคอดมาแนบตัวแล้วพาเดินไปนั่งพร้อมกัน“คุณอยากทานอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวหนูไปเอามาให้” ไพลินถามอย่างเอาใจ“มีอะไรก็ว่ามา ท่าทางแบบนี้คงมีอะไรสักเรื่องแน่นอน”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทันเมื่อเห็นท่าทางเอาใจแปลก ๆ ของหญิงสาว ปกติแล้วไพลินจะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกและแสดงความรักนอกห้องนอนหญิงสาวทำจมูกย่นใส่เมื่อถูกรู้ทัน ตอนนี้เธอเริ่มจะคุ้นเคยกับสามีมากขึ้นจนกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองและกล้าที่จะเผยความรู้สึกที่มีต่อเขา“หนูมีเรื่องอยากจะขอร้องค่ะ”“ตั้งแต่ออกบ้านไปคราวก่อนกลับมาแทนตัวเองแบบห่างเหินอีกแล้วนะ แทนตัวเองกับฉันว่าลินเหมือนเดิมด้วยเข้าใจไหม” ไพลินพยักหน้าให้ในความต้องการนั้น แล้ววกเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะพูดกับเขาต่อ“คือหนูอยากจะขอไปเรียนอีกเทอมที่เหลือให้จบได้หรือเปล่าคะ ตอนนี้ท้องยังไม่โตเรียนอีกเทอมก็แค่อีกไม่กี่เดือนเอง” เมื่อพูดจบก็มีเสียงถอนหายใจดังตามมาติด ๆ หญิงสาวพูดเร็วและรัวเพราะกลัวจะถูกคำปฏิ
หลังจากที่เห็นท่าทางเศร้า ๆ ของไพลินวันนั้นเมสันก็รู้สึกไม่สบายใจมาจนถึงวันนี้ แม้ว่าหญิงสาวจะยอมในเหตุผลของเขาแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าลึก ๆ แล้วเมียของเขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องหยุดเรียน เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจอันดับแรกในการมาอยู่ที่อเมริกา“มึงมีเรื่องอะไรถึงเรียกกูมาด่วน เมียก็กลับบ้านแล้ว คุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือไงจะนั่งทำหน้าเครียดอะไรอีก หุ้นมึงก็ไม่ได้ตกสักตัวนี่หว่า” ลูคัสทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้นวมราคาแพงหน้าโต๊ะทำงานของเมสันด้วยท่าทางเซ็ง ๆ ที่ถูกเรียกให้มาหาด่วนทั้งที่พึ่งจะได้นั่งทำงานที่บริษัทตัวเองอย่างจริงจังไม่กี่วันหลังจากที่วุ่นอยู่กับเรื่องของเมสันและไพลิน“หุ้นกูไม่ได้ตกและบริษัทมึงก็คงไม่เจ๊งหรอกหากเจ้าของจะไม่นั่งหัวโด่อยู่นั่น”“ว่าไม่ได้นะ เกิดเจ๊งมาคนที่ลำบากคือน้องมึงนะถ้ากูไม่มีเงินเลี้ยง” จากที่อารมณ์เซ็งเมื่อครู่ลูคัสก็กลายเป็นพูดเล่นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเมสัน“ถ้าบริษัทมึงเจ๊งธุรกิจอสังหาในอเมริกาก็คงล่มสลายแล้วล่ะ” น้ำเสียงหงุดหงิดบอกห้วน ๆลูคัสยักไหล่ยกยิ้มกับคำเปรียบเปรยของคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ถูกเรียกให้มาหา“สรุปมึงมีเรื่องอะไร”“กูไม่สบ
ไพลินมองหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว ไม่ว่าจะยังไงเมสันก็คือคนเดียวที่มีอิทธิพลต่อใจของเธอ“ขอบคุณค่ะ แต่หนู...”“มีอา..ต่อไปนี้ให้ตั้งโต๊ะอาหารเย็นเร็วขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง ไพลินจะต้องทานอาหารตรงเวลาทุกมื้อแล้วสั่งเชฟให้จัดของบำรุงครรภ์ด้วย เริ่มวันนี้” เสียงเข้มหันไปสั่งหัวหน้าแม่บ้านโดยไม่สนใจคำทัดทานที่กำลังออกจากปากของหญิงสาวแม้แต่น้อยมีอารับเสื้อสูทที่เจ้านายถอดยื่นให้พร้อมน้อมรับในคำสั่งใหม่แล้วรีบเดินไปแจ้งให้ในครัวทราบทันทีไพลินทำตัวไม่ถูกถึงแม้จะคุ้นเคยกับที่นี่ดีรวมถึงทุกคนในบ้าน แต่นั่นมันก่อนที่เธอและเมสันจะมีความสัมพันธ์กัน ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของเจ้าของบ้านและเธอที่เป็นผู้อาศัยกันหมดแล้วเธอจึงไมรู้จะทำตัวยังไงดี เมสันเดินตรงมาหาไพลินอย่างช้า ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกหวั่นกับท่าทีตึง ๆ ของเขาแต่เท้าของเธอกลับเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ไม่ยอมขยับไปไหน ไมร่าเดินถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ และไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้กำลังใจไพลินที่ตอนนี้ส่งสายตามาหาเช่นกันเหมือนจะบอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน“ยังมีอาการเวียนหัวอยู่หรือเปล่า” หน้าตา