ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่พนิตนันท์เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ตรงท้ายซอยในฐานะผู้ช่วยของลินิน
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีนับตั้งแต่หล่อนบอกกล่าวให้ผู้เป็นแม่รับรู้ว่าจะมาทำงานที่นี่ และต้องมานอนค้างกลับบ้านได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์
แรกนั้นพนิตนันท์คิดว่าแม่คงคัดค้าน เพราะวันที่ทะเลาะกันนั้นทีท่าของแม่คือยืนกรานให้หล่อนลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหางานทำเต็มตัว แต่กลับผิดคาดนอกจากไม่คัดค้านแล้ว แม่ยังเห็นดีเห็นงามเสียอีก
พนิตนันท์จึงค่อยโล่งใจไปเปลาะ เพราะหล่อนทำงานแถมยังได้เรียนหนังสือเหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุด
งานและหน้าที่ของหล่อนในฐานะผู้ช่วยนั้นก็มิได้มีอะไรหนักหนา นอกเหนือจากจัดการเรื่องธุรกรรมต่างๆ หล่อนยังได้รับมอบหมายให้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายประจำบ้านเพิ่มอีกอย่าง และก็คอยอยู่เป็
“เมื่อเช้าเธอบอกจะไปกับเพื่อน เพื่อนอยู่แถวนี้เหรอ” จู่ๆ คนตรงหัวโต๊ะก็ถามขึ้นมา น้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังซักไซ้ไล่ความเด็กในปกครอง “ค่ะ นันท์เพิ่งทราบว่าเขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง” คนฟังพยักหน้ารับรู้ “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” “ผู้ชายค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบาหวิวทีเดียวเมื่อจับกระแสเสียงเข้มในคำถามนั้นได้ “ทำอะไรก็ระวังเนื้อระวังตัวไว้ เธอน่ะเป็นผู้หญิง ไปไหนกับผู้ชายสองต่อสองมันไม่ดี” วูบหนึ่ง...พนิตนันท์นึกถึงวันก่อนนั้นที่เขารับหล่อนขึ้นรถไปส่งที่มหาวิทยาลัยแต่กลับแวะที่คอนโดมิเนียมให้หล่อนซักชุดนักศึกษาและรอจนแห้ง ถึงแม้ว่าเขาจะออกไปก่อนทิ้งให้หล่อนรอเพียงลำพังก็ตาม แต่มันก็เข้าค่ายเดียวกันไม่ใช่เหรอ? หากหล่อนเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ ก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานไปเงียบๆ “วันก่อนนั้นเป็นข้อยกเว้น ฉันโตแล้ว และเธอก็เหมือนเด็กในปกครอง แม่ก็เคยมาทำงานที่นี่ ตอนนี้ตัวเธอเองก็มาทำงานที่นี่เหมือนกัน” น้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นจี้ใจอย่างจัง “ค่ะ” พนิต
ฤทธิถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าผ้าซักใต้เคาน์เตอร์อ่างล่างหน้าในห้องน้ำภายในห้องนอนส่วนตัว แล้วยืนมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกเขาภูมิใจกับเรือนร่างกำยำล่ำสันที่แลกมาด้วยการมีวินัยในการดูแลตัวเองทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกายซึ่งเขาปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานหลายปีเขาไล่สายตาจากกล้ามหน้าอกผ่านกล้ามท้องที่เห็นซิกส์แพ็กชัดเจน มาหยุดที่ชั้นในผ้าคอตตอนสีขาวสะอาดตานั่นไง...ตัวปัญหา!วันนี้เขาเป็นอะไรถึงได้เกิด ‘อารมณ์’ ขึ้นมาแบบนี้ ปกติเขาก็หักห้ามตัวเองได้ ด้วยการเอาใจไปไว้ที่งาน ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนบ้างานมีเพียงเขา...และลินิน ผู้เป็นภรรยา ที่รู้เหตุผลของการบ้างานนี้ดีเขาบ้างานทำแต่งานเพื่อที่จะทำให้ตัวเองยุ่งตลอดเวลา พอยุ่งก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น โดยเฉพาะ...เรื่องเซ็กส์ระหว่างเขากับภรรยาฤทธิก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่ยังมีความต้องการทางกาย แต่เมื่อภรรยาป่วยกระเสาะกระแส เทียวเข้าออกโรงพยาบาลเพราะสุขภาพทรุดโทรม เขาก็ไม่อยากฝืนใจหล่อนสุดท้ายจึงแยกห้องนอนกันเพื่อตัดปัญหาความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ฤทธิปฏิเสธการมีสัมพันธ์ทั้งในแบบถาวรหรือชั่วคราวกับผู้หญิงอื่น ทั้งที่ลินินเคยเสนอทางเลือกใ
ฤทธิค่อยๆ พลิกร่างโปร่งบางของสาวน้อยให้ลงไปนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นตรงจุดที่มั่นใจว่าปลอดเศษกระเบื้อง เจ้าหล่อนยังหลับตาแน่นเช่นเดิม และค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่าไว้หลวมๆ ชายหนุ่มใช้สายตาสำรวจเร็วๆ จึงเห็นว่าเท้าซ้ายของหล่อนมีเลือดไหล“นั่งอยู่ตรงนั้นห้ามขยับ เธอเหยียบกระเบื้องเท้าเป็นแผล ให้ฉันดูก่อนว่ามีเศษกระเบื้องติดอยู่หรือเปล่า”ปากสั่ง ส่วนตัวก็ก้าวยาวๆ ข้ามไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันกายท่อนล่างเอาไว้ เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมา เขาคุกเข่าลงขางหนึ่งแล้วช้อนร่างสาวน้อยขึ้นมาไว้ในวงแขนอีกครั้ง“ว้าย!” เจ้าหล่อนร้องเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองลอยขึ้นจากพื้น ดวงตาที่ปิดสนิทเบิกโพลงด้วยความตกใจ สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอของเขาโดยอัตโนมัติใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่กี่คืบ ดวงตาสองคู่สานสบกันนิ่ง แวบหนึ่งฤทธิคล้ายเห็นแววตาบางอย่างฉายผ่านดวงตาคู่สวยของสาวน้อย ก่อนที่จะแปรเป็นแววตระหนกฤทธิเลื่อนสายตาจากดวงตาคู่นั้นลงมาที่ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบแล้วก็มิอาจถอนสายตาไปไหน...น่าจูบ...จู่ๆ ความคิดนั้นก็ผ่านเข้ามาในความคิด และเมื่อใจรับรู้ ร่างกายก
ฤทธินอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เขาง่วงนอนจนจะหลับอยู่รอมร่อ แต่ทุกครั้งที่หลับตาก็เห็นแต่ภาพสาวน้อยคนนั้นหลับตาพริ้มรับจูบหวานซ่านในอ้อมกอดของตนหากจินตนาการกลับไปไกลกว่านั้น...เมื่อระลึกถึงสัมผัสจากปลายมือยามได้โลมลูบไปบนเนื้อตัวเจ้าหล่อน ใจกลับเต้นระทึกจนแทบโลดออกมานอกอก กลางกายปวดหนึบจนเผลอเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา...เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย หยุดคิดแล้วหลับสักที!...แต่ยิ่งห้ามตัวเอง ใจก็ยิ่งเตลิด ภาพในมโนความคิดนั้นไปไกลแสนไกลจนเจ้าตัวได้แต่นอนดิ้นกระสับกระส่ายบนเตียงกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตอนห้าทุ่มเศษ มือคว้าสะเปะสะปะกระทั่งเจอโทรศัพท์มือถือ ปรือตาหนักอึ้งขึ้นมองชื่อของภรรยาที่ปรากฏบนหน้าจอ เมื่อรับเสียงปลายสายฟังดูสดใสไม่น้อย“ฤทธิคะ ลินินจะโทรมาบอกว่าคืนนี้ลินินจะกลับดึกหน่อยนะคะ หรือไม่ก็อาจจะค้างบ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”“อืม” เขาตอบได้แค่นั้น รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะตนเองกำลังจะดับในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว“ค่ะ ถ้างั้นแค่นี้นะคะ ฝันดีค่ะ”โชคดีที่ปลายสายไม่ต่อความยาว ทันทีที่ฝ่ายนั้นวางสาย เขาก็พ่นลมหายใจ
เย็นนั้นเมื่อฤทธิกลับมาถึงบ้าน เขาเดินหาภรรยาไปทั่ว ทั้งที่ห้องอเนกประสงค์ที่หล่อนมักใช้เวลาคลุกอยู่ในนั้นทำงานฝีมือจุกจิก ไม่ก็อ่านหนังสือ ทั้งที่เรือนกระจกสำหรับปลูกแค็คตัส แต่ก็หาไม่เจอกระทั่งเขาได้ยินเสียงหล่อนลอยมาจากชั้นบน เดินตามขึ้นไปจึงเจอว่าหล่อนกำลังกำกับคนรับใช้ให้ทำความสะอาดห้องพระอยู่นั่นเองก้าวแรกที่คนตัวโตสูงใหญ่ย่างเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางที่กำลังสาละวนเช็ดตู้โต๊ะอยู่ ฤทธิชะงัก ยืนนิ่งก่อนที่ความกรุ่นโกรธแล่นวูบขึ้นหน้าเมื่อภาพอันลางเลือนบางภาพผ่านเข้ามาในความนึกคิดภาพที่ไม่ควรหลงเหลืออยู่ในหัวเขาแม้แต่น้อย“ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้าเด็กคนนี้อีก” เสียงเข้มจัดของเขาทำให้คนที่กำลังเช็ดโต๊ะสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าจากผ้าในมือขึ้นมอง แวบหนึ่งนั้นเขาเห็นแววตาน้อยเนื้อต่ำใจฉายผ่านดวงตาโตคู่นั้น แต่ก็แค่แวบเดียว หลังจากนั้นเจ้าหล่อนก็ก้มหน้างุดซ่อนแววตาไว้“ใจเย็นก่อนสิคะฤทธิ” ลินินเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หล่อนลุกขึ้นเดินไปหาสามีพลางเกาะแขนเขาพาเดินออกจากห้องเพื่อคุยกันตามลำพังทั้งคู่เดินไปที่ห้องทำงานของฤทธิที่อย
เมื่อออกมาจากห้องทำงาน พนิตนันท์ก็แวะไปที่ห้องนอนของนายสาวเพื่อรายงานให้ทราบว่าหล่อนทำตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“คุณลินินคะ หนูเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่สั่งเรียบร้อยแล้วนะคะ”“ดีจ้ะ ขอบใจมาก ต่อไปนี้สี่ทุ่มทุกวัน นันท์เอากาแฟไปเสิร์ฟคุณฤทธิแทนฉันทีนะจ๊ะ”“เอ่อ...แต่...” เจ้าหล่อนอึกอักก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เจ้านายหนุ่มสั่งไว้ “คุณผู้ชายสั่งไม่ให้หนูไปค่ะ”ครั้นเห็นนายสาวนิ่งไม่พูดอะไร หล่อนก็ล่าถอยออกมา แล้วตรงกลับเข้าห้องของตนทันทีหญิงสาวเดินไปนั่งตรงขอบเตียงพลางก้มลงมองหน้าท้องของตนเองที่ยังแบนราบ จตนยลูบเบาๆ พลางนึก...ถ้าหล่อนท้องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นอย่างไร สำหรับเด็กสาวอายุสิบเก้าที่ชีวิตยังมีแค่เรื่องเรียนและเรื่องทำงานหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัว คำว่า ‘แม่’ จึงนับเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่ไม่เคยมีแฟน แต่พนิตนันท์ยังไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวแม้แต่น้อยหล่อนอาจจะมีใครบางคนซุกซ่อนไว้ในใจ เป็นคนที่แอบชอบแอบชื่นชมอยู่ลับๆ แต่มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เก็บไว้คนเดียว ไม่เคยคิดจะบอกใครหรือแม้แต่จะแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้หญิงสาวยกมื
“นันท์ ฉันฝากดูแลคุณฤทธิด้วยนะระหว่างที่ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านแม่”พนิตนันท์อ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากนายสาว ทุกอย่างดูปุบปับไปหมด เพิ่งเกิดเรื่องไปวันก่อน มาวันนี้นายสาวกลับบอกว่าจะไปอยู่บ้านแม่ แถมยังฝากฝังให้ดูแลสามีเสียอีกเด็กสาวยังไม่ตกปากรับคำในทันที แต่กลับอ้ำอึ้งราวมีอะไรอยากจะเอื้อนเอ่ย ลินินจับอาการนั้นได้จึงออกปากถามออกมา“มีอะไรหรือเปล่า?”“เอ่อ เมื่อคืน...หนูกลับไปคิดดูอีกที หนูขอไม่รับเงินที่คุณจะให้ได้ไหมคะ” ไม่น่ายากนี่ เพราะที่ตกลงกันก็ยังเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า หล่อนเองก็ยังไม่ได้รับเงินมาเสียหน่อย “แล้วหนูก็อยากขอกลับไปอยู่บ้าน ส่วนเรื่องท้องไม่ท้อง ถ้ารอบเดือนไม่มาหนูจะรีบมาบอกคุณทันทีเลยค่ะ ถึงตอนนั้นถ้าหนูท้องแล้วคุณอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่ หนูก็จะมาค่ะ”เมื่อได้ฟังลินินนิ่งงันไป เพราะไม่นึกว่าเด็กท่าทางหัวอ่อนอย่างพนิตนันท์จะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแบบนี้“นันท์อยู่ที่นี่ไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ...อย่างน้อย ก็รอจนรอบเดือนมาก็ได้นี่ หลังจากนี้ฉันคงเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล จะได้ไม่กังวลเรื่องนันท์ อยู่ที่นี่ฉันก็ยังฝาก
พนิตนันท์ร้องเตือนแล้วก็ยกมือขึ้นบังหน้าตามสัญชาตญาณ เสียงโครมดังสนั่นพร้อมแรงกระแทกจนกระเทือนเลือนลั่น ดีว่าทั้งพนิตนันท์และอาชว์คาดเข็มขัดนิรภัย จึงยังนั่งติดเบาะไม่ได้พุ่งทะยานทะลุกระจกออกไปตามแรงกระแทก ทว่าสายของเข็มขัดนิรภัยที่รั้งไว้ก็ทำให้เจ็บตัวไม่น้อย“โอ๊ย...” พนิตนันท์ร้องโอดโอยจากนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อรถคันหน้าที่อาชว์ขับไปชนท้ายเข้า เดินมาตบประตูรถด้วยท่าทางโมโหฉุนเฉียว เสียงก่นด่าดังลั่น“ขับไงวะ...แม่ง ไม่เห็นหรือไงว่ากูหยุดแล้ว เสือกมาชนท้ายได้ แล้วนี่กูยิ่งรีบๆ จะไปทำงาน”อาชว์ไม่สนใจเจ้าของรถคู่กรณี แต่กลับหันมาหาหล่อน ละล่ำละลักถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“นันท์เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”“ไม่ต้องห่วงเรา เราไม่เป็นไร” หล่อนบอกพลางชี้ให้ผู้เป็นเพื่อนสนใจคู่กรณี “อาชว์ลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า รถมีประกันไหม? เดี๋ยวเราโทรเรียกให้”“มี เอกสารอยู่คอนโซลตรงหน้านันท์แหละ เราฝากด้วยนะ” พูดจบอาชว์ก็ปลดล็อกประตูแล้วก้าวลงไปทันทีพนิตนันท์ยังไม่ทันจะเปิดคอนโซลหาเอกสารประกัน ประตูรถข้างที่หล่อนนั่งก็เปิดออกพร้อม
มันยากเหลือเกินที่จะยอมรับในสิ่งที่เพิ่งตระหนักแน่แก่ใจตนเอง นี่เขา...หึงหล่อน!เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงหึงหวงเด็กคนนั้นกับเพื่อนชายจนหน้ามืดตามัว แต่บทรักเมื่อเช้านั่น...ให้ตายเถอะ!ยิ่งกว่าสุดยอด!และนั่นก็ทำให้เขาเอ่ยปากบอกหล่อนขณะที่ต่างก็นอนหอบหายใจอยู่บนเตียงหลังบทรักเร่าร้อนผ่านไป‘เย็นนี้จะพาไปเที่ยว ทำรายงานเสร็จรีบกลับมานะ’พรุ่งนี้เขาต้องเดินทางไปภูเก็ตเพื่อเช็กความคืบหน้าของงานที่นั่น เลยคิดจะพาเด็กสาวไปด้วย แต่ไม่ได้บอกเจ้าหล่อนหรอกว่าจะพาไปต่างจังหวัด แค่บอกว่าจะพาไปเที่ยวเท่านั้นเมื่อไปถึงออฟฟิศเขาจึงเรียกหาเลขานุการส่วนตัวเพื่อให้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน แม้จะฉุกละหุกไปนิดแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ไม่ถึงสิบนาทีถัดมาเลขาฯ ก็พรินต์ตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ออกมาให้เขาสองใบ เป็นเที่ยวบินสุดท้ายของวันนี้ฤทธิมองตั๋วในมือแล้วยิ้มอย่างพอใจ เขาอยากพาเด็กสาวไปเปิดหูเปิดตา ส่วนเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศนั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้แล้วกันหลังจากนั้นชายหนุ่มก็ทำงานเคลียร์เอกสารที่เลขาฯ ใส่แฟ้มวางไว้บนโต๊ะทำงาน จนกระทั่
พอวางสาย เงยหน้าจากโทรศัพท์ สายตาพนิตนันท์ก็ปะทะกับสายตาคมดุที่จดจ้องมองนิ่ง“ยังติดต่อกับหมอนั่นอยู่เหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก็จริง แต่ทำไมคนฟังจึงใจเต้นโครมครามก็ไม่รู้“เอ่อ...ก็ ยังเรียนด้วยกันบางวิชา เลยต้องติดต่อกันอยู่ค่ะ แต่ก็เฉพาะเรื่องเรียน” ตอบไปแล้วก็นึกไปถึงวันที่อาชว์ตามไปห้องสมุดด้วย วันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องเรียนเหมือนกันใช่ไหม...“ยังจำที่บอกได้ใช่ไหม?”คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ...อะไรล่ะ เขาบอกตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา ใครจะไปจำได้ว่าหมายถึงเรื่องไหน...สีหน้าครุ่นคิดวุ่นวายเพราะนึกไม่ออกนั่นทำให้ฤทธิหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะออกไปทำงานแล้วแท้ๆ แต่หล่อนก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจชายหนุ่มย่างสามขุมกลับมาหาสาวน้อยที่ก้าวถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงการคุกคามจากอีกฝ่าย“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม...หนึ่ง...”“เอ่อ...เรื่องที่คุณคุยวันนี้ ว่าจะให้หนูท้อง...ใช่ไหมคะ?”เขาส่ายหน้า แต่คำตอบของหล่อนกำลังทำให้เขาเกิดความ ‘ต้องการ’ ขึ้นมาเนี่ยสิ“ไม่ใช่! แต่ในเมื่อเธอพ
เช้ารุ่งขึ้นหลังจากล่ำลาคนป่วยและบอกกล่าวเรื่องที่เขาจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงเสาร์อาทิตย์ ฤทธิก็ออกไปทำงาน ทว่าออฟฟิศไม่ใช่ที่แรกที่เขาไปเขาโทรศัพท์บอกพนิตนันท์ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะแวะมาหาหล่อนตอนเช้า และมีเรื่องจะคุยด้วย ที่จริงก็เป็นการบอกเจ้าหล่อนกลายๆ นั่นแหละว่าเขาจะไม่เข้าไปค้างที่นั่นหล่อนจะได้ไม่รอชายหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กสาวจะรอหรอก...หล่อนอาจจะดีใจก็ได้ที่เขาไม่ไปหาหลังจากเมื่อคืนเขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลินินดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากทุกข์โศกโรคภัยโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ยั้ง นี่คงเป็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ที่ทำให้หล่อนมีหวังเรื่องลูกขึ้นมาอีกครั้งนั่นทำให้ฤทธิตัดสินใจเด็ดขาด...เขาจะไม่ยื้อเวลาระหว่างตัวเองกับเด็กสาวออกไปอีกแล้ว เขาต้องทำให้หล่อนท้องโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ยุติความสัมพันธ์นี้ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เขาก้าวมาหยุดหน้าประตูพอดี มือที่เอื้อมแตะแป้นเพื่อจะกดรหัสเข้าประตูชะงักค้างก่อนจะดึงมือตัวเองกลับแล้วซุกลงกระเป๋ากางเกง แล้วมองประตูตรงหน้านิ่งนานด้วยสายตาครุ่นคิดไตร่ตรอง
ค่ำวันนั้นฤทธิแวะไปเยี่ยมภรรยาที่โรงพยาบาล แม่ยายของเขากลับไปแล้ว สองสามีภรรยาจึงมีเวลาอยู่กันตามลำพังท่าทางของลินินบ่งบอกว่าร้อนใจ เจ้าหล่อนคงเจอแรงกดดันจากผู้เป็นแม่ไม่น้อย เพราะคุณแพรพรรณนั้นขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดรอบคอบและเจ้ากี้เจ้าการ“ลินินไม่น่าเลย...ไม่น่าพลั้งปากออกไปเลยค่ะฤทธิ” หล่อนบ่นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผู้เป็นสามีได้แต่ปลุกปลอบด้วยการตบไหล่บอบบางของภรรยาเบาๆ“ช่างมันเถอะ มาคิดหาทางแก้กันดีกว่า นี่แม่คุณโทรบอกแม่ผมเรียบร้อย ตอนนี้แม่เลยรู้เรื่องไปด้วย แต่กับแม่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะแม่เคยเห็นและก็พอจะรู้จักนันท์”“ลินินขอโทษนะคะฤทธิ พลอยทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย แล้วคุณแม่ว่าอย่างไรบ้างคะ?”“ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...บ่นๆ ทำนองน้อยใจนั่นแหละ ว่าไม่เห็นหัวแม่ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่แม่กลับไม่รู้เรื่องเลย” ฤทธิเล่า...แต่เว้นเรื่องที่มารดารู้ว่าเขากับพนิตนันท์นอนด้วยกันไว้เสีย“แล้วนันท์รู้เรื่องหรือยังคะ?”“ยัง ผมยังไม่ได้บอกอะไรเด็กนั่น”“ยังไม่ต้องบอกหรอกค่ะ เดี๋ยวเรื่องคุณแม่ลินินจะหาทางจัด
คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมขมวดเข้าหากันทันทีหลังฟังปลายสายบอกเล่าความประสงค์ของผู้เป็นแม่ยายให้ฟัง แม้ลินินจะไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรเท่าไร แต่เขาก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ภรรยาซุกซ่อนความกังวลใจบางอย่างเอาไว้ฤทธิพอจะรู้จักผู้เป็นแม่ยายอยู่บ้างว่ารายนั้นรักและห่วงลูกสาวอย่างมาก เพราะเป็นลูกคนเดียวความห่วงใยนี่แหละที่ทำให้บางครั้งก็เจ้ากี้เจ้าการโดยไม่รู้ตัว ส่วนภรรยาของเขาก็คงอยากปฏิเสธ แต่ก็น้ำท่วมปาก ไม่รู้จะปฏิเสธแม่อย่างไร...ก็ประสาลูกสาวหัวอ่อนที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกับแม่นั่นแหละแต่ประเด็นอยู่ที่...ฤทธิคิดว่าพนิตนันท์ก็ไม่พร้อมที่จะพบเจอผู้ใหญ่ทางฝ่ายลินิน กับมารดาของเขานั้นเจ้าหล่อนคุ้นเคยเพราะเคยเจอมาตั้งแต่เด็กๆ และแม่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอุ้มบุญอะไรนี่ด้วยแต่คุณแพรพรรณซึ่งรู้เรื่องจากปากลูกสาวแล้ว ย่อมต้องมองพนิตนันท์ด้วยสายตาอีกแบบที่ฤทธิมั่นใจว่า เด็กสาวคงเกิดความรู้สึกประหม่าทีเดียวเหมือนตอนที่เขาจีบลินินใหม่ๆ และต้องไปพบเจอพ่อแม่ของหล่อนครั้งแรกนั่นแหละครั้งนั้นคุณแพรพรรณก็มองเขาด้วยสายตาพิเคราะห์และจับผิดจนเขาแทบไม่เป็นตัวขอ
ร่างผ่ายผอมบนเตียงคนไข้นั้น นับวันก็ยิ่งผอมลงจนหนังแทบจะหุ้มกระดูก โรคร้ายที่รุมเร้าพรากความสดใสและสวยงามไปจากหญิงสาวไปจนแทบจะไม่เหลือคุณแพรพรรณผู้เป็นมารดาซึ่งแวะมาเฝ้าลูกสาวเป็นประจำทุกวันถึงกับถอนใจออกมาเบาๆ“ยายหนู...กินอะไรสักหน่อยไหมลูก เดี๋ยวแม่ไปชงอาหารเสริมมาให้ไหม ถ้ากินข้าวไม่ลง” นางเสนอ...เมื่อสำรับอาหารที่พยาบาลนำมาเสิร์ฟ ยังมิได้รับการแตะต้อง“ค่ะ แม่”ได้ยินดังนั้นคุณแพรพรรณจึงกุลีกุจอไปชงอาหารเสริมมาให้คนที่นอนบนเตียง ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทำให้นางสะท้อนใจไม่น้อยเมื่อต้องมาเห็นลูกเจ็บป่วยแบบนี้ นับแต่รู้ว่าลูกสาวป่วย นางแทบไม่เคยนอนหลับอย่างเป็นสุขด้วยหวงห่วงสารพัด“พอออกจากโรงพยาบาล แม่ว่าหนูกลับไปอยู่บ้านเราก็ดีเหมือนกันนะ อยู่ใกล้ๆ แม่ก็หายห่วง จะได้ดูแลกันได้ถนัดถนี่”ริมฝีปากแห้งผากของคนป่วยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เปรย“ไหนตอนแรกแม่ไม่เห็นด้วย หาว่าหนูทิ้งฤทธิไว้คนเดียว”“ก็ตอนแรกแม่ก็ห่วงนายฤทธิเขา ผัวเมียกันน่ะลูก อยู่ห่างกันมากก็ไม่ดี แต่พอเห็นหนูเป็นแบบนี้แล้ว ถ้านายฤทธิเขายังมีแ
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง