ยามที่โม่ชิงเยว่ได้รับข่าวการสิ้นชีวิตของสุ่ยอี้หรงนางก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงว่าสกุลบัณฑิตอย่างสกุลเหยียนย่อมไม่อาจจะรับสะใภ้ที่แปดเปื้อนกลับสกุลได้อยู่แล้วนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ซื่อจื่อกั๋วกงเหยียนเซียวผู้นี้ก่อนที่นางจะแต่งงานนางเคยได้พบกับเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งดูสูงส่งภูมิฐานสง่างามและเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากเขาอยู่ในสกุลบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ส่วนนางอยู่ในสกุลของแม่ทัพที่หยาบกระด้างย่อมไม่มีเรื่องใดให้ข้องแวะกันได้อยู่แล้ว
“อยากจะเข้าก็เข้ามา จะยืนอยู่ด้านนอกนั่นให้ยามจับได้หรือไร ข้ายังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าลักลอบนัดแนะให้บุรุษเข้ามาหาตอนที่สามีไม่อยู่หรอกนะ” เสียงของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนจ้องมองนางอยู่ตรงระเบียงทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เดินเข้ามาในห้องผ่านประตูระเบียง
“ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การเชื้อเชิญให้บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเจ้าหรอกหรือ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขานางชี้ไปที่ประตูระเบียงแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ถ้าเช่นนั้นท่านเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้นได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ยิ้มออกมาแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างเก้าอี้ตัวที่นางกำลังนั่งอยู่
“เหตุใดข้าจึงไม่เคยรู้เลยว่าเจ้ามีความเชี่ยวชาญทางด้านอื่นนอกจากการใช้กระบี่และยิงธนู” เมื่อเขาเอ่ยถามเช่นนี้นางก็จ้องมองเขาด้วยสีหน้าอึมครึม
“แล้วเหตุใดข้าจึงไม่รู้เลยเล่าว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าข้าเชี่ยวชาญทางด้านการใช้กระบี่และยิงธนู ตอนที่ข้าบอกกับท่านว่าข้าไม่ได้สนใจเรื่องวิชายุทธ์ท่านคงจะแอบหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจแล้วสินะ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ไม่เลยๆ หากเจ้าอยากจะเป็นเช่นไรข้าล้วนตามใจเจ้าอยู่แล้ว เจ้าอยากจะเป็นกุลสตรีที่ไม่สนใจเรื่องวรยุทธ์ข้าก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้า หากเจ้าอยากจะทำการค้าข้าก็จะช่วยเหลือเจ้าเช่นกัน” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หันไปมองเขาแล้วเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากข้าอยากทำการค้าท่านก็จะไม่ห้ามข้าหรือ” คำถามของนางทำให้เขายิ้มออกมา
“ข้าจะห้ามเจ้าทำไม ขอแค่เจ้าได้ทำในสิ่งที่เจ้าชอบและเจ้าพอใจข้าก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้าทุกเรื่อง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวก็คือเรื่องที่เจ้าคิดอยากจะหย่าขาดจากข้า ชิงเยว่เจ้าดูสิยามนี้จวนทั้งจวนล้วนอยู่ในความดูแลของเจ้าแล้ว ส่วนท่านแม่ของข้ายามนี้ข้าสั่งให้คนคอยช่วยดูแลนางแล้วและต่อไปข้าจะไม่ปล่อยให้นางมารบกวนเจ้าอีก ส่วนเหวินหนิงหลังจากนางพ้นโทษจากกรมอาญาแล้วข้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะส่งนางไปสำนึกตนที่สำนักนางชีและไม่คิดจะอนุญาตให้นางกลับมาที่จวนแห่งนี้” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว
“ข้าไม่อยากจะพึ่งพาผู้ใดอีกแล้ว ชีวิตนี้ข้าต้องการพึ่งพาแค่ตนเอง”
“ได้เจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ขอเพียงอย่างเดียวอย่าได้ไปจากข้าอย่าได้ไปจากจวนแห่งนี้เลย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หันไปจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถามเขาตามตรง
“ท่านชอบข้าหรือ” คำถามของนางทำให้เขานิ่งงันไป นางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“ถ้าไม่ได้ชอบข้าแล้วจะรั้งข้าเอาไว้ทำไมกัน ข้าเองเมื่อก่อนก็เคยชอบท่านนะ ข้าจำได้ว่าตอนที่ได้รับราชโองการพระราชทานสมรสกับท่านข้าเคยมาดักรอแอบดูท่านที่หน้าจวนโหวแห่งนี้ด้วย” คำพูดของนางทำให้เขาจ้องมองนางด้วยความตกตะลึง
“ท่านหน้าตาหล่อเหลาและองอาจ พอข้าได้ยินว่าท่านไม่มีสาวใช้อุ่นเตียงและไม่มีอนุข้างกายก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง พอรู้ว่าท่านแม่ของท่าชอบสตรีสูงศักดิ์ที่มีความเป็นกุลสตรีข้าก็พยายามปรับเปลี่ยนตนเองเพื่อจะได้เป็นลูกสะใภ้ในแบบที่นางชอบ แต่น่าเสียดายที่พอแต่งเข้ามาแล้วกลับพบว่าท่านเองก็แต่งอนุเข้ามาในวันเดียวกันกับข้า แถมคืนเข้าหอยังไปอยู่กับนางทั้งคืน ยามนั้นในใจของข้าทั้งอึดอัดและคับข้องใจแต่ก็ยังพยายามฝืนทนบากหน้าไปรอรับการโขกสับจากมารดาของท่านและน้องสาวของท่านเพื่อหวังจะประจบเอาใจพวกนาง แถมยังต้องทนมองอนุของท่านได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือกว่าข้า โดยที่ท่านลอยตัวอยู่เหนือปัญหาไม่เคยรับรู้ว่าข้าต้องเผชิญกับอะไรที่จวนบ้างเลย” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งได้แต่เอ่ยแก้ตัวออกมา
“ข้าไม่มีเวลา แค่จะหาเวลากลับมาหาเจ้าที่จวนก็ยังยากเลย ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบเจ้าหากข้าไม่ชอบเจ้ายามที่ฝ่าบาททรงคิดจะพระราชทานสมรสเจ้าให้แก่ผู้อื่นข้าจะออกหน้าคัดค้านไปทำไม” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาในทันที
“แต่ท่านไม่เคยสนใจข้า แทบจะไม่เคยได้พูดคุยกับข้าเลยสักครั้ง ที่พวกเรามีลูกด้วยกันข้าก็พึ่งจะรู้ว่าเป็นเพราะท่านได้รับพิษราคะกำจายมา” โม่ชิงเยว่เอยออกมาด้วยความสะเทือนใจ หากตอนนั้นนางรู้ว่าเขาได้รับพิษนางแค่ปรุงยาแก้พิษให้เขาก็ได้แล้ว แต่เพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ของภรรยานางจึงไม่ได้ปฏิเสธเขา คิดไม่ถึงว่าพอเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็รีบเข้าวังไปรับราชโองการนำทัพไปชายแดนแล้ว
“เจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิดไป จริงๆ แล้วข้าชอบเจ้ามาก ข้าเคยเป็นลูกน้องในสังกัดของพ่อเจ้า เคยฝึกซ้อมวรยุทธ์ในลานฝึกยุทธ์เดียวกันกับเจ้าด้วย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะจดจำข้าไม่ได้ เรื่องนั้นก็ช่างเถิด แต่สาเหตุที่ข้าไม่มีเวลามาคอยดูแลเจ้าล้วนเป็นเพราะว่าข้าต้องพิสูจน์ตนเองให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเห็น การที่ข้าขอพระราชทานสมรสกับเจ้าทั้งที่ข้ามีกองกำลังอยู่ในมือเหนือกว่าฝ่าบาทแล้วทำให้พระองค์ทรงหวาดระแวงกลัวว่าข้าจะคิดการใหญ่ ท่านพ่อของเจ้าตายไปแล้วก็จริงและลูกน้องที่อยู่ภายใต้อาณัติของเขานั้นมีมากมาย ข้าต้องพยายามทำงานพิสูจน์ตนเองอย่างหนักเพื่อทำให้ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยว่าข้านั้นอยากจะแต่งกับเจ้าด้วยใจจริงไม่ใช่เพื่อซื้อใจบรรดาแม่ทัพนายกองของท่านพ่อของเจ้า การที่ข้าต้องยกทัพไปชายแดนเพื่อกำจัดหม่าป๋อซางทั้งที่เป็นเรื่องที่หนักหนาและอันตรายก็เพื่อเป็นการแสดงความภักดีต่อฝ่าบาท”
ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยอธิบายโดยไม่ได้พูดถึงการที่มารดาของเขาแต่งสุ่ยอี้โหรวเข้ามาแล้วทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ ด้วยทรงคิดว่าเขากล้าขอพระราชทานสมรสกับบุตรสาวแม่ทัพสกุลโม่ แล้วยังกล้าแต่งบุตรสาวของเจ้ากรมพิธีการในวันเดียวกันอีก ทำให้ในสายพระเนตรของฝ่าบาทเขาที่มีกองทัพอยู่ในมือมากถึงเพียงนี้อาจจะกำลังคิดการใหญ่อยู่ ทำให้เขาต้องอาสากำจัดบรรดาคนให้ฝ่าบาททั้งในที่ลับและที่แจ้ง สุ่มเสี่ยงจะสูญเสียชีวิตก็ตั้งหลายครั้ง ความยากลำบากเหล่านี้เขาไม่กล้าโทษผู้ใด ได้แต่คิดว่าเป็นความผิดของตนเองที่ไม่สามารถอธิบายให้มารดาของเขาเข้าใจในเรื่องนี้ได้
“ความยากลำบากของเจ้าล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอโทษที่ไม่ได้เอาใจใส่เจ้าให้มากกว่านี้ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าตอนที่เจ้าตั้งครรภ์ และต้องขอโทษแทนมารดาและน้องสาวของข้าด้วยที่พวกนางรังแกเจ้าทำให้เจ้าได้รับความยากลำบาก ข้ารู้ว่าคำขอโทษเหล่านี้มันไม่ได้มีค่าอันใดเลยสำหรับเจ้า แต่ข้าก็อยากจะขอให้เจ้าให้โอกาสข้าขอให้ข้าได้ดูแลเจ้ากับลูกๆ ได้หรือไม่” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่นิ่งงันไปเขาจึงได้เอ่ยออกมาเสียงเบา
“ยังไม่ต้องให้คำตอบข้าตอนนี้หรอก ข้าจะพยายามพิสูจน์ได้เห็นเองว่าข้าจะพยายามปรับปรุงตัวจะคอยดูแลเจ้าและลูกไม่ทำให้พวกเจ้าต้องได้รับความทุกข์ยากและความลำบากอย่างที่แล้วมาอีก” เขาเอ่ยพลางจ้องมองนางเมื่อเห็นว่านางไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาเขาก็ขยับกายลุกขึ้น
“เรื่องการค้าข้าไม่ค่อยจะมีหัวสักเท่าไหร่ แต่เรื่องเงินลงทุนข้ามีมากมายพอสมควร ตั๋วเงินเหล่านี้เป็นเงินส่วนตัวที่ข้าเก็บสะสมเอาไว้ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเงินกองกลางของจวนโหว เจ้าเอาไปใช้ลงทุนได้ตามแต่ใจของเจ้าเลย” เขาเอ่ยพลางวางตั๋วเงินจำนวนหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะข้างกายของนาง
“อีกไม่นานข่าวการศึกที่ชายแดนก็จะประกาศออกมา ของรางวัลและเงินปูนบำเหน็จเหล่านั้นเจ้าสามารถจัดการได้ตามใจชอบไม่ต้องกังวลว่าข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นภรรยาของข้าเงินที่เป็นของข้าก็ล้วนเป็นเงินของเจ้าเช่นกัน ข้าต้องไปแล้วหากมีเรื่องใดก็ให้สาวใช้ของเจ้าไปบอกกับจ้าวหรงและจ้าวรุ่ย พวกเขาคือคนที่ข้าไว้วางใจ ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้าจดหมายของเจ้าจึงส่งไปไม่ถึงมือข้านั้น ข้าสืบพบแล้วว่าเป็นฝีมือของผู้ใด เอาไว้ให้เหตุการณ์ความวุ่นวายของการแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวงจบสิ้นเสียก่อนข้าจะเอาโทษคนที่กล้าทำให้เจ้าติดต่อข้าไม่ได้เอง” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจึงได้เดินหันหลังจากไปทิ้งให้โม่ชิงเยว่นั่งจ้องมองตั๋วเงินเหล่านั้นด้วยสีหน้าสับสน
ยามที่ขบวนแห่โลงศพของสุ่ยอี้หรงเคลื่อนผ่านไปแล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันมาทางบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับขบวนแห่เช่นนี้พวกเขาจึงได้จ้องมองด้วยความสนใจ“อย่าได้มองอีกเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียอ่อนโยน ซึ่งเด็กๆ ก็พยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับของเล่นในร้านค้าอีกครั้ง“เขาคือคนที่สังหารสุ่ยอี้หรงเองกับมือ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเหยียนเซียวไม่ใช่คนที่เจ้าควรจะข้องแวะด้วย” เสียงกระซิบของคนที่มายืนข้างหลังทำให้โม่ชิงเยว่กะพริบตาแล้วจึงได้ยิ้มออกมา“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าจึงได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้” คำถามของนางทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากโลหะบนใบหน้าย่อมจะดูแปลกตาในสายตาของผู้อื่น“ข้ามาทำงานแต่บังเอิญเห็นฮูหยินเข้าก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจ้องมองบุตรสาวและบุตรชายที่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ฉายความสนใจ เขาจึงได้ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเด็กๆ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน“คุณหนูและคุณชายอยากได้ของชิ้นไหนบอกข้าได้เลยนะ อืม หุ่นไม้ตัวนั้นดีไ
แม้ว่าในใจจะกล่าวโทษตนเองที่ก่อนหน้านี้ทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ แต่ส่วนลึกของใจโม่ชิงเยว่ก็ยังอดรู้สึกกล่าวโทษซ่งเหวินจิ้งไม่ได้ ดังนั้นการนิ่งเฉยของนางอาจจะดูเหมือนว่านางให้โอกาสเขาแต่โม่ชิงเยว่ก็ยังคงไม่อาจจะให้อภัยเขาได้ดังที่ซ่งเหวินจิ้งต้องการ นางจึงไม่ได้ละทิ้งเป้าหมายของตนเอง นางไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใดและไม่ต้องการที่จะเฝ้ารอคอยและร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สะสางธุระภายในจวนเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงได้เตรียมตัวที่จะออกไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง“ท่านแม่ให้ข้าสองคนติดตามไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยเตรียมตัวที่จะออกจากจวนเสร็จแล้ว“ท่านแม่พวกข้าสองคนไม่ค่อยจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาภายนอกสักเท่าไหร่ ท่านให้ข้าและพี่หญิงติดตามท่านออกไปด้วยได้ไหมขอรับ” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นิ่วหน้า แต่เมื่อคิดได้ว่านางไม่ค่อยจะได้พาลูกๆ ออกไปเที่ยวข้างนอกเลยสักครั้งนางจึงได้ยินยอมพยักหน้าแล้วตอบตกลงลูกทั้งสองไป“พวกเจ้าจะติดตามแม่ไปด้วยก็ได้แต่จงจำเอาไว้ว่าถ้าหากพวกเจ้าดื้อรั้นไม่ฟังคำของแม่ แม่จะส่งพวกเ
ยามที่โม่ชิงเยว่ได้รับข่าวการสิ้นชีวิตของสุ่ยอี้หรงนางก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงว่าสกุลบัณฑิตอย่างสกุลเหยียนย่อมไม่อาจจะรับสะใภ้ที่แปดเปื้อนกลับสกุลได้อยู่แล้วนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ซื่อจื่อกั๋วกงเหยียนเซียวผู้นี้ก่อนที่นางจะแต่งงานนางเคยได้พบกับเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งดูสูงส่งภูมิฐานสง่างามและเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากเขาอยู่ในสกุลบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ส่วนนางอยู่ในสกุลของแม่ทัพที่หยาบกระด้างย่อมไม่มีเรื่องใดให้ข้องแวะกันได้อยู่แล้ว“อยากจะเข้าก็เข้ามา จะยืนอยู่ด้านนอกนั่นให้ยามจับได้หรือไร ข้ายังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าลักลอบนัดแนะให้บุรุษเข้ามาหาตอนที่สามีไม่อยู่หรอกนะ” เสียงของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนจ้องมองนางอยู่ตรงระเบียงทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เดินเข้ามาในห้องผ่านประตูระเบียง“ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การเชื้อเชิญให้บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเจ้าหรอกหรือ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขานางชี้ไปที่ประตูระเบียงแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ถ้าเช่นนั้นท่านเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้นได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช
เสียงขยับไหว เสียงหอบหายใจและเสียงร้องครวญครางที่ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านในของรถม้า ทำให้เสี่ยวเหยาผู้เป็นสาวใช้ของสุ่ยอี้หรงวุ่นวายใจจนต้องเดินไปเดินมารอบๆ รถม้า ส่วนคนขับรถม้าและผู้ติดตามคนอื่นๆ ยามนี้ได้พากันถอยออกไปเพื่อเว้นระยะห่างจากรถม้าแล้ว แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ทุกสายตาที่จ้องมองมาที่รถม้ากลับเต็มไปด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนทั้งสิ้น ยามนี้เสี่ยวเหยาได้แต่คิดว่าเจ้านายของนางจะต้องถูกคนเล่นงานแล้วแน่ๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้แล้วแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดียามนี้นางจึงได้แต่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบๆ รถม้า เพื่อรอให้เจ้านายของนางได้สติกลับคืนมาเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวที่ถูกควบขี่มาทางด้านนี้ทำให้เสี่ยวเหยารีบหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ที่ยืนห่างออกไปให้รีบไปปิดทางเอาไว้ไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามา องครักษ์เหล่านั้นก็รีบไปดำเนินการตามคำสั่งของนางในทันที แต่เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังมาเป็นผู้ใดทุกคนก็ต่างมีสีหน้าลนลานจนคนบนหลังม้ารีบเร่งรุดมายังจุดที่รถม้าที่จอดเอาไว้ในทันที“ฮูหยินเป็นอะไร เหตุใดจึงได้มาจอดรถม้าอยู่แถวนี้” คำถามของซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกงเหยียนเซียวทำให้เสี่ยวเหยาตัวสั่นงันงกด้วยความหว
หลังจากเกิดเรื่องที่งานเลี้ยงน้ำชาในจวนสกุลสุ่ย สุ่ยเม่าเจ้ากรมพิธีการของแคว้นเหลียนก็ถูกตามตัวกลับมาที่จวนอย่างเร่งด่วน เมื่อเขาเข้าไปในโถงหลักของสกุลก็เห็นว่าในยามนี้ฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองของเขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาของเขาเพื่อแสดงออกถึงความสำนึกผิดในทันที“ท่านพ่อเรื่องในวันนี้พวกนางล้วนทำเต็มที่แล้ว แต่เพราะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นทำให้แผนการที่วางเอาไว้เสียหาย” คำแก้ตัวของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยตวาดออกมาในทันที“เหตุสุดวิสัยหรือเจ้าลองสอบถามบุตรสาวและภรรยาของเจ้าให้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความโง่เขลาของพวกนาง หากบุตรสาวของเจ้าไม่โง่เขลาจนทำแผนการที่วางเอาไว้ของข้าแตกป่านนี้ข้าก็คงจะสามารถทำให้ชื่อเสียงขององค์ชายรองด่างพร้อยได้ดังที่ข้าเคยรับปากกับองค์ชายใหญ่เอาไว้แล้ว ถึงยามนั้นเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของเจ้าก็คงจะสามารถคว้าตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ดังที่ข้าหมายมั่นปั้นมือเอาไว้” คำพูดของนายท่านผู้เฒ่าทำให้สุ่ยเม่าก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอง“ท่านพ่
เมื่อสุ่ยฮูหยินเห็นว่าโม่ชิงเยว่ทรุดลงไปเช่นนี้ก็ได้แต่คิดในใจว่ายาคงจะออกฤทธิ์แล้ว เพียงแต่การที่พิษออกฤทธิ์ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือว่าผลเสียต่อสกุลสุ่ยของนางกันแน่ นางจึงได้เอ่ยแก้ตัวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังแม้ว่าในใจจะสั่นไหวมากเพียงใดก็ตาม“นิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิด ชาถ้วยนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอันใดส่วนสาเหตุที่ท่านสิ้นไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะไม่คุ้นชินต่อการออกมาข้างนอกจวนหรือเปล่า” คำพูดของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่แสร้งลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการกล่าวหา“ข้าหาใช่คนร่างกายอ่อนแอเช่นนั้น สุ่ยฮูหยินเสียทีที่ข้าไว้ใจจึงได้ยินดีมาที่นี่ตามคำเชิญของท่าน คิดไม่ถึงว่าสกุลสุ่ยของพวกท่านจะข้างนอกสุกใสแต่ภายในเน่าเหม็น เมื่อก่อนข้าก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี๋เหนียงในจวนข้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจึงได้มีพฤติกรรมต่ำช้าเลวทรามเช่นนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะจวนแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่ต่ำตมเช่นนี้นี่เอง ชุ่ยเหมยเก็บชาถ้วยนั้นมาข้าจะนำไปให้กรมอาญาตรวจสอบ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สาวใช้ของสุ่ยฮูหยินก็รีบขัดขวางชุ่ยเหมยในทันที แต่กลับ
สายตาที่ปิดบังอารมณ์เอาไว้ไม่มิดของสุ่ยอี้หรงทำให้โม่ชิงเยว่ลอบสังเกตสีหน้าของสุ่ยฮูหยินในทันที นางแอบเห็นว่าสาวใช้สองนางที่อยู่ข้างกายของสุ่ยฮูหยินหายไปจึงได้หันไปส่งสายตาให้ชุ่ยเหมยซึ่งชุ่ยเหมยก็พยักหน้ารับเพื่อส่งสัญญาณว่านางรับรู้แล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันไปส่งมอบรอยยิ้มให้กับบรรดาสตรีที่อยู่ในบริเวณงาน สาวใช้ที่ติดตามติดตามนางมาต่างก็แยกย้ายกันไปมอบถุงหอมให้แก่บรรดาสตรีที่มาเป็นแขกภายในงาน ชุ่ยเหมยจึงใช้จังหวะที่เดินไปมอบถุงหอมเร้นกายไปยังทิศที่สาวใช้ข้างกายของสุ่ยฮูหยินเดินจากไป“ถุงหอมเหล่านี้ล้วนได้รับการปักลวดลายจากช่างปักที่มากฝีมือของสกุลเจียง ส่วนเครื่องหอมที่อยู่ด้านในเป็นเครื่องหอมที่ข้าลงมือปรุงเองกับมือ หวังว่าทุกท่านคงจะไม่รังเกียจของขวัญชิ้นนี้ของข้า” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมาซึ่งบรรดาสตรีที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็ลังเลที่จะรับถุงหอมจากสาวใช้ของนางแต่เมื่อท่านหญิงเจียหลีรับเอาไปแล้วเอ่ยชื่นชมออกมาทำให้สตรีหลายคนรับเอาไว้ มีเพียงคนของสกุลสุ่ยและบรรดาที่สตรีที่สนิทสนมกับสกุลสุ่ยเพียงเท่านั้นที่ไม่กล้ารับถุงหอมเอาไว้ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้โม่ชิงเยว่ลอบยิ้มออกมา ด้วยนาง
จวนสกุลสุ่ยสมแล้วที่เป็นจวนสกุลเดิมของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ไม่เพียงกว้างขวางและใหญ่โตภายในจวนยังได้รับการตกแต่งอย่างดี สวนหินและสวนไม้ดอกสามารถโอ้อวดผู้คนได้อย่างภาคภูมิใจ โม่ชิงเยว่ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในยังอดรู้สึกชื่นชมการตกแต่งจวนของจวนสกุลสุ่ยไม่ได้ยามนี้สิ่งที่ในใจของนางกำลังคิดอยู่ก็คือนางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี้โหรวจึงได้คิดว่าตนเองสูงส่งถึงเพียงนั้น จวนของนางหรูหราถึงขั้นนี้แล้วจวนโหวที่ได้รับการดูแลโดยคนแกคร่ำครึอย่างแม่สามีของนางจะสามารถเทียบเคียงกับสกุลสุ่ยได้อย่างไรกันเล่า การที่บุตรสาวที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกเช่นสุ่ยอี้โหรวยอมลดตัวแต่งออกจากจวนไปเป็นอนุ หากไม่ใช่เพราะความรักอันโง่เขลาก็คงเป็นเพราะสกุลสุ่ยมีแผนการที่ไม่ค่อยจะดีนักต่อจวนโหวแล้ว เพราะต่อให้สุ่ยอี้โหรวมีใจต่อซ่งเหวินจิ้งจริงหากผู้อาวุโสในสกุลสุ่ยไม่พยักหน้าแล้วสุ่ยอี้โหรวจะแต่งเข้าไปเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหวได้อย่างไร“คารวะนิ่งอันโหวฮูหยิน เชิญท่านติดตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ” เด็กสาวรูปร่างอรชร ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับสุ่ยอี้โหรวถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ความอ่อนเยาว์และรอยยิ้มอันสดใสของนางทำให้ความงามของ
ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข