"แขนขวากระดูกร้าว แขนซ้ายหัก ขาทั้งสองข้างหัก ด้านหลังมีรอยดาบลากยาวต้องรีบเย็บ อกขวาก็ต้องรีบเย็บเหมือนกัน มิเช่นนั้นเจ้าคงได้ตาย เพราะมีเลือดไหลออกหมดตัวเป็นแน่ เฮ้ออออ......ข้าอยากจะรู้เสียจริง เจ้าไปขวางทางผู้ใหญ่ที่ใดเข้า ถึงได้มีชะตากรรมเยี่ยงนี้ พวกเขาช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริง ดูท่าเจ้าคงสู้พวกเขาไม่ได้ พวกเขาคงจะแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก เจ้าถึงมีสภาพยับเยินเช่นนี้...?
"พวกเขาคงอิจฉาใบหน้าของข้า....?
*.....*
หรงหรงถึงกับพูดไม่ออก เมื่อได้ยินเช่นนั้น...
"หึ...เจ้าช่างหลงตัวเองเสียจริง.." หรงหรงเบะปากมองบน
"งั้นก็เป็นโชคดีของแม่นาง....?
"ปากเจ้านี้ไม่น่ารอดมาได้ น่าจะโดนฟันทิ้งเสีย....? หรงหรงเผลอยิ้มอย่างหมั่นไส้ออกมา
ถึงแม้หรงหรงได้ตายจากโลกเดิมไปแล้ว แต่โลกนี้ก็ยังมีหนุ่มหล่อหลงเหลืออยู่ แม้ตอนนี้ร่างกายของเขาจะยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน แต่นางก็ไม่รู้จักใครเลยในโลกใหม่ นอกจากบุรุษตรงหน้าผู้นี้
"ข้าชอบเวลาแม่นางยิ้ม....?
หรงหรงรีบหุบยิ้มลงทันทีเมื่อได้ยิน
"เจ้านี้นะ อย่าได้คิดจะยั่วยวนข้าเชียว...รอข้าอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา"
"แต่ว่า...? บุรุษตรงหน้าเหมือนลังเลที่จะพูด
"ข้าไม่หนีไปก่อนหรอกน่า ข้าแค่จะรีบไปตัดไม้ไผ่ ร่างกายบอบบางเช่นข้า คงไม่มีแรงแบกเจ้าลงเขาไปหรอก..."
"แม่นาง....โปรดระวังตัวด้วย...?
"อืม..." หรงหรงยกยิ้มที่มุมปาก แทนที่เขาจะห่วงตัวเอง แต่กลับทำเป็นมาห่วงนางสะงั้น
หรงหรงเดินกลับมาพร้อมกับไม้ไผ่หนึ่งลำ นางนั่งลงผ่าออกสานสลับกันไปมาคล้ายเปลสนาม ไม่เสียแรงเป็นถึงแม่ทัพภาคสนาม จะให้เสียชื่อเสียงที่ได้รับมาไม่ได้ หลังจากลงมือสานเปลด้วยไม้ไผ่ ไม่นานก็สำเร็จเสร็จสิ้น....
สตรีร่างบางรีบวิ่งไปหอบเอาใบไม้ใบใหญ่มาหลายใบ นางนำมาวางเรียงกันหลายๆชั้น เผื่ออเวลาวางผู้ป่วยลง จะได้ไม่กระทบกระเทือนต่อบาดแผลของเขามากจนเกินไป
"เรียบร้อย" หรงหรงปาดเหงื่อบนใบหน้าตนเองออกอย่างภาคภูมิใจ
"แม่นาง...จักทำอันใดต่อ....?
"กลับบ้านไง..." หรงหรงตอบกลับอย่างไม่คิด
"กลับบ้านรึ...?
"ใช่ ไม่กลับบ้านจะให้ข้าไปที่ใด...? หรงหรงมองมาที่บุรุษตรงหน้าอย่างสงสัย
"ข้า....จะทำให้แม่นางเดือดร้อนหรือไม่...?
"นอกจากไปกับข้า..เจ้าจะยังมีที่ใดให้ไปได้อีก.....? หรงหรงมองไปที่บุรุษตรงหน้า นางได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา เขาพึ่งจะคิดได้ตอนนี้เนี่ยน่ะ
"ข้า..ไม่มีที่ไป..แต่ถ้าคนในหมู่บ้านถาม...?
"ข้า..ก็แค่บอกว่าเจ้าเป็นสามีของข้าก็แค่นั้น"
"แม่นาง..ไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง...?
"ข้า..ยังมีสิ่งใดให้ต้องกลัว เจ้าบอกข้าเองมิใช่รึ ชีวิตนี้...เจ้าเป็นของข้า แล้วข้ายังจะกลัวสิ่งใดอีก หรือว่าเจ้ากลัว....?
"ข้าไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัวเช่นกัน"
"ว่าแต่.....เจ้าชื่อกระไร...ข้าชื่อว่าหรงหรง"
"ข้ามีนามว่า..โม่เฉิน..เรียกข้าว่า..เสี่ยวเฉิน..ก็ได้"
"งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า..อาเฉินก็แล้วกัน ฟังดูสนิทสนมดี...เจ้าก็เรียกข้าว่า..หรงหรงนั้นแหละ"
"หรงหรง..เป็นชื่อที่ไพเราะเสียจริง แต่ข้าขอเรียกแม่นางว่า..หรงเอ๋อร์..ได้หรือไม่....?
"ตามใจ...อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ" สตรีร่างบางหันไปคลี่ยิ้มให้บุรุษตรงหน้าทันที
"หรงเอ๋อร์ ที่ทำอยู่นั้น.....เรียกว่าสิ่งใด....?
"มันเรียกว่าเปลฉุกเฉิน.....คล้ายกับเตียงนอนนี้แหละ แต่มีไว้สำหรับผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวตัวลำบาก หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่นท่านในตอนนี้อย่างไรเล่า"
"เปลฉุกเฉิน...ชื่อแปลกจริง...เป็นเช่นนี้นี่เอง..."
"ประเดี่ยวข้าจะลากท่านขึ้นบนเปลสนามอันนี้ ท่านจะรู้สึกเจ็บตอนข้าลาก แต่ไม่ถึงกลับเจ็บมาก ท่านอดทนได้หรือไม่....?
"อืม..ข้าทนได้... "โม่เฉินพยักหน้าให้สตรีตรงหน้า
หรงหรงลากโม่เฉินมายังเปลที่นางเตรียมไว้ ร่างกายของเขารู้สึกชาจนไม่รู้สึกเจ็บ แต่ยังคงรับรู้ถึงเเรงสั่นสะเทือน
"ท่านนี้ก็ตัวหนักเหมือนกันนะ แต่ไม่เป็นไร หนักกว่านี้ข้าก็แบกมาแล้ว เรารีบกลับบ้านกันเถอะ" หรงหรงหันข้างกลับไปบอกโม่เฉินที่กำลังนอนอยู่บนเปล นางถูกฝึกมาในกองทัพหนักกว่านี้เป็นร้อยเท่า แค่นี้ถือเป็นเรื่องจิบจ่อยสำหรับนาง
"อืม..." ในใจโม่เฉินพลันคิด เขาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะต้องมาได้รับการช่วยเหลือจากสตรีบอบบางในเวลาเฉียดเป็นเฉียดตาย นี้คงเป็นวาสนาของเขากับนาง ที่ได้มาพบเจอแม่นางคนนี้เข้าแล้วกระมั้ง ถึงนางจะตัวเล็กแต่มีความรู้รอบด้าน นางทำให้เขาได้มองโลกในมุมใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
หรงหรง ค่อยๆ หอบหายใจขึ้นมาเป็นครั้งคราวด้วยความเหนื่อยล้า นางยังไม่ค่อยชินกับร่างที่อ่อนแอ เหงื่อเม็ดเล็กๆค่อยๆผุดขึ้นมาไหลอาบแก้มเนียน นางหยุดชะงักเป็นครั้งคราว ก่อนจะเอามือปาดเหงื่อที่ไหล จากนั้นก็ลากเปลต่อไปจนถึงหมู่บ้านในเวลาไม่นาน
ยามนี้เป็นยามซวี (19.00-21.00)...
โชคดีที่คนในหมู่บ้านทยอยเข้าเรือนกันหมดแล้ว หรงหรงจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมาเห็นนางเข้ากับบุรุษแปลกหน้า หรือต่อให้เห็น นางก็ไม่สนใจอยู่ดี ในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม นางเดินเลี้ยวขวาไปข้างหน้าก็น่าจะถึงเรือนนางแล้ว หรงหรงยังคงลากเปลต่อไปจนมาหยุดที่หน้าเรือนหลังหนึ่ง เพราะความทรงจำของนางมาหยุดอยู่ที่เรือนหลังนี้
"น่าจะเป็นเรือนหลังนี้แหละมั้ง...." หรงหรงบ่นพึมพำเสียงเบา
"หรงเอ๋อร์ว่ากระไรนะ....?
"เปล่าๆ ไม่มีอะไร ถึงแล้วนี้แหละเรือนของข้า" หรงหรงก็ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ นางยังมีท่าทางที่ไม่ค่อยคุ้นชิน
เมื่อมองเข้าไปผ่านรั้วบ้าน เห็นเพียงเรือนหลังเล็กที่มุงด้วยฟางข้าว ดีที่มีรั้วล้อมรอบบ้าน ทำให้ไม่มีผู้ใดมองเห็นด้านใน
หรงหรงค่อยๆเปิดประตูเข้าไปภายในเรือนอย่างเบามือ แต่เพราะประตูไม้เก่ามาก ถึงจะเปิดเบาเพียงใด ก็ยังได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านอยู่ดี
"แอ้ดดด!!!"
"แค้ก...แค้ก หรงเอ๋อร์ ลูกกลับมาแล้วรึ...? เสียงหญิงชราเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
"เอ่อ....เจ้าคะข้าเอง..."
เมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวตอบกลับ นางเมิงก็เบาใจหายกังวล
บุตรสาวมักจะกลับเรือนมาในยามนี้เสมอ นางเมิงจึงไม่ผิดสังเกตุอันใด
"หรงเอ๋อร์ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน รีบอาบน้ำเข้านอนเสีย แม่จะนอนแล้ว...แค่ก...แค่ก"
"เจ้าคะ ท่านแม่นอนก่อนได้เลย ข้าขอไปอาบน้ำก่อน ท่านแม่ไม่ต้องรอข้านะเจ้าคะ"
หรงหรงรีบวิ่งออกไปอุ้มโม่เฉินเข้ามาภายในลานบ้าน นางรีบวิ่งไปเอาเข็มกับด้าย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ ว่าในครัวยังมีเหล้าเก็บเอาไว้ไหเล็กหนึ่งไห
สตรีร่างเล็กรีบวิ่งเยาะๆเสียงเบา ย้อนกลับไปเอาเหล้า พอได้ของที่ต้องการใช้ครบแล้ว นางก็มานั่งลงตรงหน้าโม่เฉินในทันที
"อาเฉิน....อาจจะเจ็บสักหน่อย แต่ตอนนี้ข้าต้องรีบเย็บแผล เพื่อห้ามเลือดไว้ให้ท่านอย่างเร่งด่วน"
"ได้..." โม่เฉินพยักหน้า เหตุใดเขาถึงรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่กับนาง เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
สตรีร่างเล็กค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกให้เขาอย่างเบามือ
กล้ามแน่นๆเผยให้เห็นเป็นมัดๆ หรงหรงแอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะสลัดความคิดโสมมทิ้งไป นางรีบเทเหล้าฆ่าเชื้อใส่แผ่นหลังให้บุรุษตรงหน้าทันที
"อึก...." โม่เฉินกัดฟันทนอย่างเด็ดเดี่ยว
โม่เฉินอดทนได้เป็นอย่างดี ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของเขาแม้แต่น้อย บุรุษผู้นี้ช่างมีความอดทนสูงเอามากๆ หรงหรงครุ่นคิด
"ถ้าเจ็บ ก็เปล่งเสียงร้องออกมาเถิด เวลานี้ข้าหายาชาไม่ได้ จำเป็นต้องเย็บแผลสด เจ้าอดทนเพียงไม่นาน ข้าจะรีบเย็บแผลให้เจ้าอย่างรวดเร็ว "
หรงหรงเตรียมจะเริ่มเย็บแผล นางสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อยู่ในแขนเสื้อ ก่อนจะหยิบออกมาดูอย่างเร็วพลัน
"นี้คือ.....?