การแบ่งอาหารให้ปัญญาชนในครั้งแรก ที่มาถึงยังค่ายชนบทก็เริ่มต้นขึ้น เดิมทีจะมีการแบ่งอาหารช่วงสิ้นเดือนของทุกๆ เดือน
แต่เกิดเรื่องขึ้นในบ้านพักของพวกหลี่เล่อเยียนซะก่อนทางคณะกรรมการจึงประชุมกันว่าจะแบ่งส่วนแบ่งให้ก่อนครึ่งหนึ่งในกลางเดือนนี้
เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ 15 เดือนกรกฎาคม ปี 1956 ช่วงนี้ฝนมักจะเริ่มตกหนัก ทางการแจ้งเตือนมาว่าให้อยู่แต่ในบ้านอย่าได้ออกเดินทางไปไหนไกล อีกทั้งสถานการณ์ไม่สู้ดีนักมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเลยล่ะ
ในเมืองใหญ่ๆ จะเห็นทหารแดงเดินลาดตระเวนราวกับเดินจับจ่ายใช้สอย แต่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย
ช่วงเช้าหลี่เล่อเยียนรวมถึงปัญญาชนคนอื่น ๆ ได้รับส่วนแบ่งจำนวนจำกัดนั่นก็คือคือ
ข้าวสาร จำนวน 5 ชั่ง
แป้ง จำนวน 2 ชั่ง
เบี้ยเลี้ยงคนละ 2 หยวน
หากจะมองว่ามากก็มาก มองว่าน้อยก็น้อยแต่นี่คือปริมาณที่ถูกกำหนดมาแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ บางคนดีใจจนน้ำตาไหลเพราะได้จับเงินเป็นครั้งแรก
ใช้เวลาไม่นานก็แจกจ่ายปันผลกันเสร็จ จึงมีเวลาเหลือเฟือ หลี่เล่อเยียนเลยชวนสองสาวเข้าเมืองอีกครั้ง นี่เป็นโอกาสอันดีที่เธอจะต้องหาทางระบายของ และหาลู่ทางเพื่อหาเงิน
หลี่เล่อเยียนนึกเสียดายที่ตัวเองลืมนำจักรยานเข้ามายังมิติด้วย ไม่อย่างนั้นการเดินทางคงสะดวกสบายมากกว่านี้ แต่วันนี้ถือว่าพวกเธอมีโชคไม่น้อยที่ทางคณะกรรมการจะต้องเข้าเมืองเพื่อซื้อของบางอย่างจึงติดรถไปด้วยได้
เมื่อเข้าเมืองมาได้ก็นัดแนะเวลาที่จะกลับกันให้ชัดเจน แต่รอบนี้หลี่เล่อเยียนปลีกตัวออกมาคนเดียวโดยให้เหตุผลว่าเธอจะมาเจอญาติคนหนึ่งไม่สะดวกให้เหอหมี่เมี่ยนและหม่ายวี่ไท่ไปด้วย
แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่าคนที่หลี่เล่อเยียนนัดเจอนั้นเป็นใคร นัดกันตอนไหน แต่พวกเธอก็ไม่ได้เซ้าซี้เพราะหากเธออยากเล่าคงจะเล่าเอง หากเธอไม่สะดวกใจ ก็ไม่ควรถามทำให้เธอลำบากใจ คนเราต้องมีเรื่องส่วนตัวกันบ้าง
ทางด้านหลี่เล่อเยียนเมื่อทางสะดวกเธอก็เดินไปยังตลาดมืดที่เดิมที่เธอเคยมาเมื่อครั้งที่แล้ว หลังจากมาถึง เธอมองหากลุ่มแม่บ้านก่อน เพื่อที่จะเสนอขายพวกเครื่องปรุงต่างๆ
ก่อนจะไปยังตลาด เธอได้เดินไปสำรวจราคาข้าวของเครื่องใช้ที่ร้านค้าสหกรณ์มาบ้างแล้ว สินค้าแต่ละอย่างถือว่าราคาสูงมาก อีกทั้งต้องใช้คูปองในการซื้ออีกด้วย เล่อเยียนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมราคาของในตลาดมืดถึงสูงลิ่วเพียงนี้
เมื่อรู้ราคาคร่าวๆ หลี่เล่อเยียนเลือกเหยื่อที่จะขายซึ่งไม่ใช่ว่าจะขายได้ทุกคน หลังจากสังเกตสักพักก็เจอ เธอจึงเดินไปข้างๆ หญิงสาวแต่งตัวดีคนหนึ่งดูจากท่าทางเธอน่าจะยังไม่ชินกับสถานที่แห่งนี้เท่าไหร่นัก
" สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ต้องการให้ช่วยอะไรไหมคะ ฉันเห็นคุณมองหาอะไรสักอย่างมาสักพักแล้วน่ะค่ะ " หลี่เล่อเยียนถามหญิงสาวที่ดูด้วยตายังรู้ว่าน่าจะมาจากครอบครัวมีฐานะ ดูจากการแต่งตัวและเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่
" เอ่อคือพอดีว่าฉันต้องการเนื้อน่ะค่ะ ที่บ้านกำลังจะมีงานเลี้ยง แต่วันนี้ฉันไม่ได้จองไว้เลยไม่ได้รับโควตาน่ะค่ะ" เธอพูดกระซิบเสียงเบา จริง ๆ แล้วใช่ว่าเธอจะไว้ใจคนง่ายแต่พอเห็นหน้าตาสะสวยของหลี่เล่อเยียนก็แอบรู้สึกดีไม่น้อย
"ถ้าอย่างนั้นคุณถามถูกคนแล้วล่ะค่ะ ฉันมีเนื้อชั้นดีที่คุณต้องการพอดี”
แต่ต้องบอกก่อนนะคะว่าราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นเนื้อคุณภาพดีฉันรับรองได้ว่าคุณไม่เคยกินเนื้อที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อนแน่นอนค่ะ" หลี่เล่อเยียนพูดถึงคุณภาพของเนื้อที่เธอจะขาย
" จริงหรือคะ ขอฉันดูของก่อนได้ไหมคะ ถ้าหากว่าดีจริงฉันไม่เกี่ยงราคาเลยค่ะ " หญิงสาวคนนั้นได้ยินก็ตาเป็นประกาย
เนื่องจากว่าสามีของเธอได้เชิญนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มาปฏิบัติหน้าที่แถบนี้มากินเลี้ยงที่บ้านเพื่ออำนวยความสะดวกในหลายๆ อย่าง
สามีของเธอก็คือท่านนายอำเภอแห่งเมืองนี้ ดูจากหน้าตาของเธอแล้วน่าจะอายุห่างจากเล่อเยียนไม่กี่ปี
"ฉันพอมีเนื้อตัวอย่างให้คุณดูค่ะ นอกจากนั้นยังมีซี่โครงแล้วก็สามชั้นด้วยนะคะ " หลี่เล่อเยียนทำทีเป็นหยิบของออกจากกระเป๋าแต่จริงๆแล้วเธอเอามันออกมาจากในมิตินั้นต่างหากล่ะ
" ดีเยี่ยมจริง ๆ เลยค่ะ คุณขายราคาเท่าไหร่คะ " คุณนายท่านอำเภอตาลุกวาว เมื่อหล่อนเห็นเนื้อคุณภาพดีของหลี่เล่อเยียน มันช่างดูสมบูรณ์แบบมากจริง ๆ
" เนื้อชั้นดีฉันขายอยู่ที่ชั่งละ 12 หยวนค่ะ ส่วนเนื้อซี่โครงขายชั่งละ 15 หยวน และสามชั้นขายชั่งละ 13 หยวนค่ะ "
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก