บทที่ 9
เจ้าตัวเล็กเรียกแม่ได้แล้ว
ตอนที่อาเหยาอายุ 3 เดือน ฉินหรูเข้าเมืองมาสอบถามข่าวของเสิ่นหยาง แต่ถูกท่านพ่อท่านแม่ห้ามไว้ พอรบเร้าถามพวกท่านว่ามีเรื่องอันใด ท่านพ่อก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ
‘พ่อเคยมาถามข่าวของลูกเขยครั้งหนึ่งแล้ว แต่บ้านเสิ่นบอกว่าเขาหายสาบสูญก่อนจะถึงสนามรบ เกรงว่าจะหนีทหาร ถึงมีชีวิตรอดกลับมา เกรงว่าจะถูกทางการตามล่าแล้ว’
ฉินหรูไม่เชื่อ นางรู้แก่ใจว่าเสิ่นหยางไม่ได้ตาย ทั้งไม่ได้หนีทหาร ในอีกสามปีข้างหน้า เขาจะกลับมาปรากฏตัวตรงหน้านาง
แต่เพราะไม่มีเหตุผลดีๆ มาปกป้องเสิ่นหยาง นางจึงเม้มปากเงียบๆ
ท่านแม่เห็นว่าบุตรสาวนิ่งเงียบไป คิดว่านางกำลังเศร้าเสียใจกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน นางเดินเข้ามากอดบุตรสาวเป็นการปลอบโยน
‘ไม่เป็นไร เสี่ยวหรู หากเสียใจก็ร้องไห้ออกมา เจ้ายังมีอาเหยา ยังมีพ่อกับแม่’
อ้อมกอดของท่านแม่เกือบทำให้ฉินหรูร้องไห้ออกมาจริงๆ
ชาติก่อน นางทิ้งพ่อแม่แสนดีแบบนี้ได้อย่างไร…
ในใจของฉินหรูยามนี้เพียงแค่สงสัย หากเสิ่นหยางกลับมารู้เรื่องนี้เข้า เขาจะจัดการบ้านเสิ่นที่แสนเส็งเคร็งนี้อย่างไร
…..
กลับมาที่ปัจจุบัน
ใต้ต้นไม้ลานหลังบ้านสกุลเซวียเงียบเฉียบ
เสิ่นหยางตายแล้ว!
คำบอกเล่านี้ทำเอาฉินหรูเงียบไปพักใหญ่ แต่กระนั้น นางกลับไม่ได้สิ้นหวัง
นางรอเสิ่นหยางมาได้ถึง 2 ปี รอต่ออีก 2 ปี ไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่เดิม นางกับเขาไม่ได้ผูกพันรักใคร่ ถึงข่าวนี้เป็นความจริง นางก็ไม่ได้รู้สึกรู้สา
“ฉินหรู เจ้าอย่าเสียใจเลยนะ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้ แต่เพราะเห็นเจ้าเป็นเพื่อน เลยไม่อยากให้เจ้ามานั่งเสียใจทีหลัง” เสี่ยวจินปลอบใจฉินหรูหลังจากลังเลไปพักหนึ่ง
“ขอบคุณความหวังดีของพี่เสี่ยวจิน แต่ข้ายังเชื่อว่าเขามีชีวิตอยู่”
ความเชื่อมั่นของฉินหรูปลุกไฟในตัวของไป๋เหิง จู่ๆ นางก็โพล่งออกมา
“ในเมื่อฉินหรูเชื่อในตัวสามี เช่นนั้นข้าก็เชื่อ...เชื่อว่าคุณชายใหญ่ไม่เป็นอะไร”
“โถ ทั้งสองคน ได้ฟังที่ข้าพูดหรือไม่”
ใช่ว่าเสี่ยวจินมองโลกแง่ร้าย แต่คนรู้จักที่ถูกเกณฑ์เข้าสนามรบส่วนใหญ่ไม่เคยได้กลับมา นางจึงไม่อยากให้สหายทั้งสองวาดฝันลมๆ แล้งๆ
แต่ก็คาดไม่ถึงว่าสามีของฉินหรูจะเป็นคุณชายใหญ่ผู้อาภัพเสิ่นหยาง
ทันใดนั้น เสี่ยวจินก็ขมวดคิ้วเหมือนนึกบางอย่างออก
“พูดไปก็แปลกจริงๆ ลูกชายคนโตเพิ่งออกไปรับใช้ชาติไม่ทันครบปี เจ้าบ้านเสิ่นก็มาแจ้งให้นายอำเภอตัดชื่อลูกออกจากวงศ์ตระกูล ยืนกรานว่าที่หายสาบสูญ อาจเพราะหนีทหาร หากทางการตรวจสอบและรับรองว่าเป็นเรื่องจริง บ้านเสิ่นจะเดือดร้อนกันหมด ต้องจำใจนำชื่อลูกชายคนโตออกไป เพื่อปกป้องคนที่เหลือในบ้าน”
“จริงหรือ เจ้าบ้านเสิ่นพูดอย่างนั้นจริงหรือ” ฉินหรูถามย้ำ
“ข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไร เพราะว่าฟังจากคุณชายรองมาอีกทีน่ะ” เสี่ยวจิน
“แต่นิสัยคุณชายรองไม่ใช่คนโกหก อาจเป็นความจริงก็ได้” ไป๋เหิงยืนยัน
“แล้วนายอำเภอเซวียได้ตัดชื่อของเสิ่นหยางออกไปหรือไม่”
เสี่ยวจินผงกศีรษะ และทำหน้าเห็นใจ
ฉินหรูไม่พอใจ พ่อแท้ๆ ทำกับลูกชายได้ขนาดนี้เชียวหรือ แม่เลี้ยงสารเลวคนนั้นใช้วิธีไหนยุยงเสิ่นเทากันแน่!
หลังจากสูดหายใจลึกๆ หลายครั้ง ฉินหรูที่สงบใจลงแล้วก็ถามต่อ “ทำไมคุณชายรองถึงเล่าเรื่องงานของนายท่านพี่เสี่ยวจินฟังหรือ”
“ข้ากับคุณชายรองอายุเท่ากัน ถึงคุณชายรองไม่ค่อยฉลาดเท่ากับคุณชายใหญ่ แต่เขาเป็นคนขี้เล่น นิสัยเป็นมิตร ไม่ถือตัว ไม่ใช่แค่ข้า แต่คุณชายรองสนิทกับบ่าวทุกคนในบ้าน ทุกครั้งที่คุณชายรองเรียนเรื่องต่างๆ จากนายท่าน พอได้ฟังได้เห็นอะไรก็จะมาเล่าให้บ่าวอย่างข้าฟัง” เสี่ยวจินบอก
ฉินหรูพยักหน้า ทั้งยังชมคุณชายทั้งสองว่าช่างเป็นคนดีกันจริงๆ
ช่วงบ่าย หัวหน้าพ่อครัวบอกให้ฉินหรูลองทำของว่างจากวัตถุดิบที่มีในห้องครัวมาสองสามอย่าง
ฉินหรูใช้ประสบการณ์จากชาติก่อน ทำขนมแป้งทอดหน้างา เต้าหู้ทอด และต้มรากบัวแปะก๊วย
หลังจากชิมของว่างทั้งสามอย่าง หัวหน้าพ่อครัวก็สั่งให้บ่าวเตรียมของทั้งหมดขึ้นโต๊ะให้กับเหล่านายท่าน ทั้งยังชมฉินหรูว่าขนมของนางอร่อยกว่าร้านข้างนอกเสียอีก
ฉินหรูยิ้มรับด้วยความปลื้มใจ
ตกเย็น นางนั่งรถเทียมวัวกลับหมู่บ้าน พร้อมกับขนมแป้งทอดหน้างที่หัวหน้าพ่อครัวแบ่งไว้ให้
ระหว่างเดินทาง เรื่องของเสิ่นหยางที่ได้ฟังมาวันนี้ผุดเข้าหัวฉินหรูทีละเรื่อง
ผู้ชายคนนั้นถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งเพราะอิจฉายังเข้าใจได้ แต่พ่อแท้ๆ ยังเห็นดีเห็นงามกับแม่เลี้ยง เสิ่นหยางต้องโชคร้ายขนาดไหนที่มีพ่องี่เง่าแบบนี้
เสี่ยวจินยังเล่าว่า หลังจากแม่แท้ๆ คลอดเขาออกมา นางก็เสียชีวิตทันที
ภรรยารองที่กำลังท้องแก่ใช้โอกาสนั้นตีโพยตีพาย ร้องร่ำๆ ว่าเสิ่นหยางเป็นผีจากนรกมาเกิด ทำให้แม่ของตัวเองต้องตาย ในอนาคตคงทำให้บ้านเสิ่นล่มจมไปด้วย
เสิ่นเทาฟังแล้วก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ ถึงเสิ่นหยางเป็นคุณชายใหญ่ แต่กลับปล่อยให้บ่าวรับใช้เลี้ยงดู
ตอนบุตรชายทั้งสองเข้าเรียนในสถานศึกษา เสิ่นหยางไม่มีของดีๆ ใช้เหมือนกับเสิ่นเซียวอวี้ที่เป็นน้องชาย ครั้นยังถูกเพื่อนในห้องล้อและกลั่นแกล้ง มีเพียงคุณชายรองบ้านเซวียผู้อัธยาศัยดีที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ให้ยืมกระดาษ น้ำหมึกและพู่กันใช้
ตอนนี้บ้านเสิ่นยังตัดเสิ่นหยางออกจากวงศ์ตระกูล
ผู้ชายคนนั้นถูกครอบครัวตัวเองเล่นงานหนักไม่น้อย ฉินหรูกับลูกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็รับเคาระห์ไปด้วย
เฮ้อ…
ฉินหรูถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
ชาติก่อนนางทิ้งเขาไปหาคนอื่น ถูกเขาแค้นก็ไม่แปลก
สักครู่ใหญ่ รถเทียมวัวก็จอดหน้าหมู่บ้านหน่านหลี่ นางจ่ายเงินแล้วเดินกลับบ้าน
เปิดประตูเข้าบ้านมา ฉินหรูมองหาเจ้าตัวเล็กเป็นอย่างแรก
เจ้าก้อนแป้งเดินเตาะแตะ พอเดินมาถึงฉินหรู สองแขนเล็กป้อมกอดขาของนางหมับ
ฉินหรูก้มมองเจ้าตัวน้อย ตอนกำลังจะโค้งตัวลงไปอุ้มเขาขึ้นมา อาเหยาเบะปากน้ำตาล่วงแหมะ
“ฮึก ฮือ...”
หญิงสาวเลิ่กลั่ก มองท่านแม่และมองอาเหยา
ท่านแม่ยิ้มอย่างจนใจ “อาเหยาคิดถึงเจ้า ตอนเช้าตื่นมาไม่เจอเจ้าก็ร้องไห้ใหญ่เลย”
“อาเหยาของแม่ มานี่มา” ฉินหรูก้มตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมากอด ลูบแผ่นหลังนุ่มนิ่มพร้อมกับปลอบ “โอ๋ๆ อย่าร้อง แม่ออกไปทำงานหาเงินมาซื้อของให้เจ้ายังไงล่ะ นี่ไง มีขนมมาด้วย”
เด็กน้อยหนึ่งขวบไหนเลยจะฟังเข้าใจ อาเหยาสะอื้นฮักๆ
“โอ๋ๆ”
ยิ่งโอ๋เจ้าตัวน้อยก็ยิ่งน้ำตาร่วงเผาะ
“ฮือ...มะ...มะ”
“จ้าๆ รู้แล้ว แม่กลับมาแล้ว”
“มะ มา...ม้า”
“หือ ลูกพูดอะไรนะ”
จะใช่คำว่า ‘มาม้า’ หรือเปล่านะ
ฉินหรูคิดอย่างไม่มั่นใจ
เสียงเล็กๆ ดังจากปากเจ้าหนูน้อยอีกครา
“มามา...มาม้า”
คราวนี้คำว่า ‘มาม้า’ หลุดจากปากอาเหยาชัดเจนมาก ฉินหรูสูดหายใจลึกอย่างอึ้งๆ
“...ม้า”
อาเหยาขยับปากพูดอีกครั้ง น้ำตาเม็ดโตยังคงขังคลอที่เบ้าตา
เซียงซือที่กำลังนั่งเย็บผ้าได้ยินหลานชายพูดแล้วก็ลุกพรวด วางผ้าในมือลง รีบวิ่งออกไปเรียกฉินเจี๋ยที่แล่เนื้อปลาหลังบ้านด้วยความตื่นเต้น
“ตาเอ๊ย มานี่เร็ว หลานชายของเราเรียกมาม้าได้แล้ว!”
ฉินเจี๋ยได้ยินเสียงตะโกนของภรรยา รีบวิ่งมาทั้งที่มือหนึ่งถือปลามือหนึ่งถือมีด
“อะไรนะ อาเหยาพูดแล้วรึ!”
“อาเหยาเรียกมาม้าได้แล้ว” เซียงซือบอกสามีด้วยความตื่นเต้น
“อาเหยา ลูกลองเรียกมาม้าอีกครั้งสิ” ฉินหรูพูดกับเจ้าตัวเล็ก
คราวนี้ ศีรษะเล็กๆ ของอาเหยาส่ายไปมา ก่อนจะซบแก้มนุ่มนิ่มกับบ่าของคนเป็นแม่พลางส่งเสียง “ฮือๆ” เพราะยังเสียใจที่ท่านแม่ของเขาทิ้งเขาไปทั้งวัน!
บทพิเศษมิตรภาพ หลังจากเฟิงหยางออกบ้านไปได้สักพัก เสี่ยวจินกับไป๋เหิงก็มาเยือน หญิงสาวทั้งสามยังคงสนิทสนมกันดี แม้ภายหลังต่างแยกย้ายไปมีเส้นทางของตนเอง แต่พวกนางมักมารวมตัวกันบ้านเฟิงบ่อยๆ ไป๋เหิงกับคุณชายใหญ่เซวียเยี่ยนจื่อ คุยกำหนดการและวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าพธีแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า เสี่ยวจินลงเอยกับเฉินต้านเมื่อไม่นานมานี้ แม้ไม่ได้จัดงานแต่งงานใหญ่โตเหมือนกับไป๋เหิง แต่อย่างน้อย นางได้กราบไหว้ฟ้าดินและทำพิธีคารวะญาติผู้ใหญ่ “เสี่ยวหรู สามีเจ้าเพิ่งออกไปค่ายทหารหรือ ระหว่างทางพวกข้าเห็นเขาควบม้าออกไปพอดี นี่ๆ เจ้ากับสามีหักโหมเกินไปหรือไม่ ทำเขาไปสายแล้ว” เสี่ยวจินเปิดประเด็น ท้ายประโยคยังแซวสหายพลางหัวเราะคิก “ใช่ๆ ไปค่ายเวลานี้ ไม่นับว่าสายไปหรือ” ไป๋เหิงยิ้มแย้ม เอ่อออกับเสี่ยวจิน ฉินหรูแกล้งทำหน้ามุ่ย โบกมือแล้วกล่าวตัดบทพวกนางทั้งสอง “ช่างเรื่องของสามีเถอะ ข้าสนใจเรื่องของพวกพี่สาวมากกว่า พี่เสี่ยวจิน วันนี้ปักปิ่นมาสวยเชียว ไม่คิดเลยว่าเฉินต้านจะเป็นสามีที่เอาอกเอ
บทพิเศษเป็นวันที่ดี รุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์สีทองทอประกายเข้ามาทางหน้าต่าง ทันทีที่เฟิงหยางลืมตาตื่นขึ้น พลันพลิกตัวนอนตะแคง มุมปากยกยิ้มขณะมองภรรยาที่ยังหลับใหลบนที่นอน เมื่อคืนเขาคงรังแกนางมากไปหน่อย ทำให้นางอ่อนเพลียต้องตื่นสายแล้ว คิดจบ เฟิงหยางก็ยื่นมือออกไปลูบไล้แก้มเนียนของภรรยาแผ่วเบา ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด เขารู้สึกถึงความสุขและอุ่นหัวใจเมื่อเห็นว่านางยังอยู่เคียงข้าง ครู่ต่อมา ขนตาหนาเป็นแพรของหญิงสาวขยับไหวราวกับปีกผีเสื้อ ก่อนดวงตาคู่สวยจะเปิดปรือขึ้น ฉินหรูค่อยๆ ลืมตาตื่น ทันใดนั้นก็เห็นว่าสามีกำลังยิ้มมองนางอยู่ ริมฝีปากของนางพลันคลี่ยิ้มให้เขาด้วยความอ่อนเพลีย ขณะเดียวกัน ดวงตาคู่สวยก็เต็มไปด้วยความรักที่ไม่มีวันหมด “ท่านพี่...” ริมฝีปากของฉินหรูขยับเรียกสามีแผ่วเบา “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ” แม้เฟิงหยางจะถามเช่นนั้น หากนิ้วมือกลับเลื่อนลงมาลูบไล้กลีบปากอิ่มสวย ราวกับไม่อาจหักห้ามใจให้ปล่อยมือจากนาง “ปกติข้าตื่นเช้ากว่
บทพิเศษอุ่นรัก(อีกครั้ง) กลิ่นอาหารที่กำลังปรุงใหม่ๆ ลอยมาจากโต๊ะกลางห้อง กลิ่นนั้นหอมมาก ทั้งยังทำให้กระเพาะของเฟิงหยางถึงกับร้องระงม ตั้งแต่รับนางกับลูกกลับมาอยู่ด้วยกัน ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แม้นานๆ ครั้งนางจะเข้าครัวสักที แต่เฟิงหยางย่อมรู้ถึงความอร่อยในรสมือของฉินหรู นอกจากนี้ยังทำให้เขาคลั่งไคล้อย่างที่สุด เช้านี้เฟิงหยางครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษ เพราะไม่มีเรื่องใดให้เขาต้องปวดหัวหรือเป็นกังวลอีกแล้ว เหนืออื่นใด คนงามของเขาเป็นยอดภรรยาหาผู้ใดเทียบไม่ได้ หัวใจเขามอบให้นางไปจนหมดสิ้น สิ่งที่ทั้งคู่ยังขาดคือการเติมความหวานละมุนละไมให้แก่กัน อีกอย่างหนึ่ง ช่วงนี้อาเหยาอ้อนไปอยู่บ้านท่านตาเพราะกำลังเห่อน้องสาว นับว่าทางสะดวก! หลังจากจบคดีความของเสิ่นเทา ผ่านมาแล้วสองเดือน เขากับนางไม่ได้ร่วมเตียงกันอีกเลย เขาเองก็เป็นบุรุษ ย่อมมีความใคร่ อยากกอดภรรยาใจจะขาดอยู่รอมร่อ ตั้งแต่กลับมาอยู่ด้วยกัน เขาเพิ่งจะกอดนางไปแค่คืนเดียวก็ตอนที่อาเหยาไปอยู่กับท่านตาท่านยาย! เวลานี้ เฟิงหยางกำลังแช่ตัวอยู่ใน
บทที่ 45บทสรุป ย้อนกลับมา ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองฉาง หลังจากหัวหน้ามือปราบยกหีบเก็บเงิน เอกสารรายรับรายจ่ายและสมุดรายชื่อเข้ามาในที่ว่าการ เสิ่นเทาก็ทรุดลงกับพื้นทันที คร่ำครวญว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ หีบเงินและสมุดรายชื่อเหล่านี้เป็นของผู้อื่น ตนถูกคนใส่ความ แน่นอนว่า คำพูดของเสิ่นเทาโกหกอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่หัวหน้ามือปราบไปยังห้องลับนั้น หนิงลี่กำลังสั่งให้พวกบ่าวขนย้ายข้าวของออกไปพอดี เรียกได้ว่าจับได้แบบคาหนังคาเขา ในเมื่อหลักฐานแน่นหนาถึงเพียงนี้ เหล่าขุนนางกังฉินยังประทับลายนิ้วมือ สารภาพผิดกันหมดแล้ว เสิ่นเทาก็ไร้หนทางรอดเช่นกัน วันต่อมา เสิ่นเทายอมรับสารภาพ ทั้งยังขอร้องให้ละเว้นชีวิตของเสิ่นเซียวอวี้และหลานที่กำลังจะคลอด นายอำเภอเซวียไม่ได้ตอบทันที แต่ใช้เวลาพิจารณคดีสองวันสองคืน ในที่สุด การตัดสินคดีก็ถูกติดบนป้ายประกาศ ขุนนางกังฉินและเสิ่นเทาเกี่ยวข้องกับคดีมากมาย ทั้งคดีฆาตกรรมทั้งหาเงินมาอย่างมิชอบ ได้รับโทษประหารในอีกเจ็ดวันให้หลัง เสิ่นเซียวอวี้ผู้เป็น
บทที่ 44ชะตากรรมของบ้านเสิ่น ตั้งแต่เสิ่นเทาถูกทางการเรียกตัว หนิงลี่ร้อนรนเหมือนไฟลนก้น เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถง หารือว่าจะช่วยเสิ่นเทาอย่างไร เพียงไม่นาน เสิ่นเซียวอวี้กับจางเหมยเหมยก็มาถึง พ่อบ้านเสิ่นกับไฉ่ไฉ่มารอก่อนแล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลานาน หนิงลี่นั่งไม่ติดเก้าอี้ เดินกลับไปกลับมาพลางว่า “สามีข้าถูกทางการเรียกตัว ไต่สวนคดีปล่อยกู้และติดสินบน พวกเจ้าช่วยคิดหาวิธีช่วยเขาออกมาหน่อย” พ่อบ้านเสิ่นครุ่นคิด ก่อนจะเสนอให้ยัดเงินนายอำเภอเซวีย ไฉ่ไฉ่นั้นจนปัญญา ไม่มีความคิดดีๆ เนื่องจากยังตรอมใจที่คนรักทอดทิ้งนางไป ด้านจางเหมยเหมยกลุ้มใจยิ่งกว่า เป็นแค่สะใภ้ที่แต่งเข้า ไม่คิดว่าจะต้องมาติดร่างแหไปด้วย ทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ในขณะที่ทุกคนร้อนใจจะเป็นจะตายเรื่องที่เสิ่นเทาถูกจับ กลับมีเพียงคนคนเดียวที่ไม่ทุกข์ร้อน นั่งหัวเราะคิกคักราวกับเห็นเป็นเรื่องตลก คนคนนั้นก็คือเสิ่นเซียวอวี้! เสิ่นเซียวอวี้กวาดสายตามองสีหน้าเป็นทุกข์ของทุกคนในห้องโถง ชี้หน้าเรียงตัวพร้อ
บทที่ 43ไต่สวน คดีขุนนางทุจริตเกี่ยวโยงกับคดีปล่อยกู้ของเสิ่นเทา นอกจากนี้ พบว่าวิธีการทวงหนี้ของเสิ่นเทานั้นยังโหดร้ายทารุณ ถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตไม่น้อย ในเมื่อมีผู้เสียชีวิตย่อมเป็นคดีฆาตกรรม แต่เสิ่นเทารอดพ้นความผิดมาได้เพราะความช่วยเหลือจากขุนนางกังฉิน อย่างไรก็ตาม การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ย่อมมีหลักฐาน บัดนี้ หลักฐานและพยานบุคคลครบเรียบร้อย นายอำเภอเซวียจึงเรียกขุนนางกังฉินเหล่านั้นสอบสวนทีละคน สุดท้ายถึงค่อยเป็นเสิ่นเทา หลายวันต่อมา เสิ่นเทาถูกเรียกตัวมายังที่ว่าการอำเภอ จากนั้นผู้ช่วยนายอำเภออ่านสรุปสำนวนคดี เสิ่นเทาเบื้องหน้าทำธุรกิจค้าขาย แต่เบื้องหลังปล่อยกู้ มอบเงินสินบนแก่ขุนนาง และยังชุบเลี้ยงโจรกลุ่มหนึ่ง หากลูกหนี้ใช้หนี้คืนไม่ตรงตามกำหนด เสิ่นเทาจะใช้วิธีทวงเงินอย่างโหดเหี้ยมทารุณ กังขังหน่วงเหนี่ยว ทรมานจนถึงแก่ชีวิตก็มี ญาติของลูกหนี้ที่เป็นผู้หญิง จะถูกจับไปขายให้กับหอคณิกา อ้างว่าเพื่อขัดดอก... ทั้งที่เสิ่นเทาทำการอุกอาจ แต่ยังลอยนวลม