ก่อนการประลองสามเดือน เจ้าสำนักหวังเฉิงเย่ประกาศให้ทุกคนได้รู้ทั่วกันว่า ผู้ที่ผ่านการประลองวิชาจะได้รับการตกรางวัลอย่างงาม ฉะนั้นแล้วการแข่งขันอย่างลับ ๆ จึงเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้น
สุดท้ายแล้วผู้ที่ยืดหยัดผ่านสารพัดมาได้จนตอนนี้ก็คือคุณชายรองและคุณชายสาม คนหนึ่งมั่นใจเสียเต็มประดาว่ารางวัลต้องเป็นของตนอย่างแน่นอน ส่วนอีกคนต้องเอาชนะให้ได้เท่านั้น สายตาของพี่รองนั้นดูร้ายไม่เบา อาจคิดกำจัดเขาอย่างเงียบ ๆ ให้ดูเหมือนว่าตัวเขาเองพ่ายแพ้ตามกฎการประลอง
“เจ้าดิ้นรนมากเกินไปแล้วน้องสาม ถึงจะเอาชนะข้าขึ้นมา เจ้าก็ไม่มีทางได้ตำราวิชาลับของมารดาหรอก” เสียงของคุณชายรองดังก้องอยู่ในความคิดของหวังเยี่ยนหลง “รู้หรือไม่ว่าเพราะอันใด”
หวังเยี่ยนหลงพยายามสลัดสิ่งที่ก่อกวนจิตใจเขาออกไป แต่กลับถูกพี่ชายจับความคิดได้ตลอด หากเป็นช่วงปกติแล้ว เขาสามารถปิดกั้นความคิดของตนเองได้ แต่ร่างกายที่เหนื่อยล้า ทำให้พลังปราณไม่คงที่ สมาธิไม่อาจรวมอยู่ที่จุดศูนย์กลาง
“ข้าจะบอกเจ้าอย่างหนึ่งก็แล้วกัน ตำร
หลายวันต่อมา “เหลียนเฟิน ข้าขอจับมือเจ้าได้หรือไม่” หวังเยี่ยนหลงมาหาเขาที่เรือนต้นสนแต่เช้าตรู่ อ้างว่าปราณมารในตัวผิดปกติจนต้องมาขอความช่วยเหลือ “ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า แต่ว่า...” เหลียนเฟินส่ายหน้าแต่ก็ยื่นมือให้เขาจับโดยดี เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยปราณมารควบคุมร่างหวังเยี่ยนหลงได้เมื่อใด คงจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเหมือนครานั้น หวังเยี่ยนหลงกุมมือเหลียนเฟินเอาไว้อย่างรวดเร็วพลางลูบสร้อยข้อมือที่ซื้อให้อย่างแผ่วเบา
เรือนบุปผาของจ้งซูหนี่ว์ ซือหยางนำสำรับอาหารและยามาให้นางเพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดจากโลหิตมาร หลายวันที่ผ่านมา จ้งซูหนี่ว์สังเกตได้ว่านิสัยใจคอของคนผู้นี้เปลี่ยนไปมากนัก เดิมทีเขาเป็นคนของจ้งซูเม่ยที่ถูกส่งมาให้จับตาดูนาง จึงไม่เคยแสดงอาการใด ๆ ให้นางเห็นนอกจากสีหน้าเย็นชา แววตาเหี้ยมโหด ยามอยู่กับเขาต้องคิดระแวงอยู่ร่ำไป นั่นก็เป็นเพราะจ้งซูเม่ยกำชับเขามาเช่นนั้น แต่เวลานี้ ซือหยางคอยดูแลนางเป็นอย่างดี สีหน้าแววตาต่างไปจากเดิมจนนางอดแปลกใจไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่เขาหายไป เขาพบเจอกับสิ่งใดมา
หวังเยี่ยนหลงได้ยินเหลียนเฟินเรียกเขาเช่นนั้นจึงหยุดทุกสิ่งทุกอย่างใจร้อนรนเมื่อครู่กำลังสงบลงช้า ๆ เขาจึงหันมาหาเหลียนเฟินอยากจะกอดร่างบางไว้ ทว่า เหลียนเฟินถอยหลังห่างไม่ยอมให้เขาแตะต้อง ไม่ว่าหวังเยี่ยนหลงจะพยายามก้าวไปหาเท่าใด อีกคนก็ยิ่งรักษาระยะห่างของเขาไว้ “เหลียนเฟิน มาหาข้า... ได้หรือไม่” เขายื่นมือออกไปหา น้ำเสียงบีบบังคับกลายเป็นขอร้อง “...” เหลียนเฟินไม่พูดสิ่งใด ส่ายหน้าปฏิเสธ
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่เหลียนเฟินกำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของหวังเยี่ยนหลง เขาได้ยินเพลงบางอย่างกล่อมขับขาน จังหวะเอื่อยล่องลอยมาพร้อมกับสายลมยามค่ำคืน เขาจมลงสู่ภวังค์ที่ถูกใครบางคนปิดบังเอาไว้ ภาพในวัยเด็กของเหลียนเฟินในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไหนสักแห่ง วันหนึ่งมีสตรีในชุดสีขาวน้ำเงินเดินเข้ามาลูบเรือนผมของเขา รอยยิ้มนางทำให้รู้สึกราวกับได้เห็นเซียนสวรรค์ จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นยามที่เขาได้วิ่งเล่นกับใครหลายคนบนลานน้ำแข็ง ความสุขที่ได้อยู่ใกล้คนเหล่านั้นทำให้เหลียนเฟินเผลออมยิ้มออกมาทั้งที่ยังหลับสนิท
หลายวันต่อมา สตรีที่อยู่ในเรือนดอกโบตั๋นเรียกชายลึกลับเข้าพบเป็นการส่วนตัว นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่จะไม่ได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสองตาของนาง แต่หากมันทำให้เขาเจ็บปวดได้มากเท่าใดก็พอจะหยวน ๆ ไปได้บ้าง “ขอรับ” ชายลึกลับโค้งคำนับเตรียมตัวออกเดินทาง “อื้ม” รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้น ริมฝีปากแดงแสยะยิ้มรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว หลังจากรอจนเหลียนเฟินหายดีแล้ว หวังเยี่ยนหลงตัดสินใจพาเขากลับมาอยู่ที่สำนักตระกูลหวังตามเดิม อย่างน้อยที่แห่งนั้นก็ห่างไกลจากพรรคมารและสำนักเซียนอื่น ๆ
สองสามวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงเริ่มจัดการงานทุกอย่างด้วยตัวเองเขาสั่งให้ซวงและหลุนคอยเฝ้าเหลียนเฟินที่เรือน ห้ามให้ผู้ใดเข้ามาก้าวก่าย ส่วนตัวเขาออกไปสะสางพยัคฆ์ดำที่รอดชีวิต แม้ว่าจะสั่งการลูกน้องไปทำเรื่องแทนตัวเองได้ แต่คงไม่อาจดับความโกรธแค้นที่ทำให้เขาควบคุมปราณมารไม่ได้จนคนของเขาหลายคนต้องบาดเจ็บล้มตาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียนเฟิน กระนั้นก็กลัวว่าเหลียนเฟินจะรู้ว่าเขาแอบไปทำเรื่องไม่ดีอีกจึงสั่งให้ลูกน้องทั้งสองคนช่วยปิดบังไว้