เสียงทุ้มน่ากังขากังวานมาตามลม มธุรสพยายามหันรีหันขวางเพื่อมองหาต้นตอของสุรเสียงดังกล่าว แต่หาได้พบเจอใคร มีเพียงความมืดโอบรอบกาย ตรงหน้าเป็นเพียงภาพจอมอนิเตอร์อันสว่างโร่เท่านั้น
ภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพของหญิงสาวนามว่าเจ้าจันทร์ที่เธออยู่ในร่างของนาง สวมสไบงดงาม แต่นางท้องโตโยเย และลูบท้องกลมอย่างรักใคร่
นั่นคืออะไร...!
“เฮือก!”
สิ้นภาพนั้น มธุรสก็ลืมตาตื่นขึ้นในห้องบรรทมห้องเดิมกับครั้งที่เธอเสร็จสมใจกับยักษ์ที่มีนามว่าสุวรรณราพณ์ตนนั้น ดวงตากลมโตกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง
แปลว่าเมื่อสักครู่นี้คือฝัน แต่เป็นฝันที่ซ้อนฝันอีกที เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนยังอยู่ในความฝันก่อนจะสลบไสลไป แสดงว่านี่ก็คือความจริง
ว่าแล้วก็ก้มลงมองร่างกายของตัวเองที่บัดนี้เปลือยเปล่าล้อนจ้อน
“คุณพระ!” ยกมือทาบอก ฮะหรือ ฮะหรือ ฮะหรือว่า
เธอจะเสร็จสมดั่งใจหมายกับยักษ์ตนนั้นเสียแล้ว!
“มิต้องหวั่นเกรงไปดอก เจ้ายังมิได้ตกเป็นเมียข้า” สุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินครั้งแรกก็ไม่รู้ลืมว่าเป็นใครดังขึ้นแกมรู้ทัน สาวเจ้ารีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกาย หันไปป้องสายตาเข้ากับแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยอักขระขอมโบราณ มัดกล้ามที่แค่มองเพียงด้านหลังก็ทราบได้ว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทานแค่ไหน ผมหยักโศกยาวระแผ่นหลังถูกรวบครึ่งศีรษะเป็นมวยหลวมๆ ตามประสาชายชาตรี “เจ้าหมดสติไปในระหว่างบทรักของเรา จำได้หรือไม่?”
พอได้ฟังแบบนั้นมธุรสก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมา หมายความว่ายังไม่ได้ตกเป็นเมียของเขาสินะ
“... คุณไม่ควรล่วงละเมิดหนูแบบนั้นนะคะ นี่ไม่ต่างกับการขืนใจเลยสักนิด” ว่ากันว่าอมนุษย์นั้นมีอายุเป็นอมตะ แถมดูจากหญิงสาวในร่างก็น่าจะเด็กกว่าเขามากสักร้อยปี ก็เลยเรียกแทนตัวเองว่าหนู แต่มธุรสคือสาวเวอร์จิ้นผู้แอนตี้นิยายพระเอกขืนใจนางเอกมากที่สุด ไม่อยากได้ผัวคนแรกที่เกิดจากการขืนใจในแบบที่ไม่ชอบธรรมหรอกนะ “ไม่เหมาะสมเลยนะคะ แบบนี้ผิดกฎหมายมาตรา ๒๗๖๑ ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท”
สาวเจ้าร่ายกฎหมายตามคณะนิติศาสตร์สี่ปีที่เรียนจบมา (ถึงสุดท้ายจะทำงานไม่ตรงสายที่เรียนก็ตาม) เสียยาวเหยียด โดยลืมไปว่าตนเองอยู่ในเมืองที่เป็นของอีกฝ่าย
“ที่นี่คือกรุงยักษา มิมีกฎหมายใดใหญ่ไปกว่าข้า” ดวงหน้าคมกร้าวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ สาวเจ้าหวงแหนกายตนทั้งๆ ที่เมื่อคืนเกือบตกเป็นดอกบัวงามในกำมือของเขาไปแล้ว ช่างเป็นการดิ้นรนที่น่าเอ็นดูซะจริง “เป็นแค่เพียงเชลย ก็ตกเป็นเมียข้าในเร็ววันเถิด”
“มะ... ไม่นึกเลยนะคะว่าทั้งที่พร่ำพูดว่าชอบหนูถึงขนาดนั้น แต่กลับมาบังคับขู่ใจกันถึงขนาดนี้”
มธุรสคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะอสุราตนนี้พร่ำบอกตลอดทางจนถึงกรุงแห่งนี้ว่าหลงใหลเจ้าจันทร์มากมาย แต่เมื่อมาถึงที่หมาย ก็ข่มเหงรังแกเธอ (ที่สสิงอยู่ในร่าง อย่างน้อยก็คิดว่างั้นนะ) ราวกับว่าผู้หญิงเป็นเพศที่จะสามารถใช้วิธีใดเพื่อพิชิตใจก็ได้ เป็นวิถีชายเป็นใหญ่อย่างที่สมัย ๒o๒๒ พยายามรณรงค์กันเสียจริงๆ
“มิว่าที่ใดก็ทำกันอย่างนี้มิใช่รึ” หากแต่ยักษากายาใหญ่กลับคิดว่าสิ่งที่ตนเรียนรู้มาจากมนุษย์นั้นถูกต้องแล้ว เท่าที่สังเกตการณ์ ถ้าต้องการเมีย ก็แค่บุกไปชิงตีเมืองของอีกฝ่าย แล้วใช้โอกาสนั้นดึงพวกนางมาเป็นสนมก็พอไม่ใช่หรือ
“คุณเป็นถึงพระราชา แต่ทำไมตกยุคแบบนี้อ่ะ” มธุรสเองก็ไม่มีอะไรจะเสีย คิดว่าถ้าเผลอหลับไปสักครั้งละก็ เธออาจจักตื่นจากฝัน แต่ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นโลกฝั่งไหนก็เลวร้ายพอๆ กัน อย่างน้อยก็ขอดำรงอยู่ในร่างที่สวย และตกผู้ได้แค่เพียงปรายตากลมโตน่ารักนั้นแลแค่เพียงหางตาก็พอ อีกอย่างเพราะในโลกอนาคตเป็นผู้หญิงที่ปรับตัวเข้ากับอะไรได้เร็ว และคงความช่างแม่งไว้สูงมาก “สมัยก่อนมีการเกี้ยวพาราสีไม่ใช่เหรอคะ อย่างน้อยก็ควรจะทำอย่างนั้นกับหนูก่อนสิ”
“ข้ามิถนัดการเกี้ยวพาราสีเท่าใดนัก” มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาลูบปลายคางของตนแสดงอาการครุ่นคิด สุวรรณราพณ์กำลังสำรวจอีกฝ่าย เจ้าจันทร์คนนี้ช่างพิกลนัก ปกติแล้วเมื่ออยู่ที่วังต่อหน้าพระบิดาของนาง จะเป็นสาวพูดน้อย เรียบร้อยราวกับกุลสตรีไม่ใช่หรือ แต่บัดนี้กลับพูดเจื้อยแจ้วไม่กลัวตาย ทั้งที่อีกฝ่ายที่ต่อฝีปากด้วยเป็นถึงกษัตริย์อสุราผู้เกรียงไกร “ปกติเมื่อพามาที่นี่ คืนแรกจักต้องเป็นคืนเข้าหอเสียทันใด”
หากแต่สุวรรณราพณ์ก็พอใจที่นางเป็นเช่นนี้ บางครั้งการเป็นกุลสตรีที่มิมีปากเสียงต่อผู้เป็นผัว ก็เป็นขนบที่ออกจะเก่าคร่ำครึจนเกินไป ต้องดูเป็นหญิงสาวปากแจ๋วเช่นนี้สิถึงจะดี
คนตัวเล็กยกมือขึ้นมานวดขมับ ให้พูดตามตรงก็คืออีกฝ่ายเป็นชายเจ้าสำราญผู้ไม่รู้จักการจีบ รู้จักเช่นเดียวคือถูกใจก็พาไปร่วมหอกันเลยสินะ
ท่าจะลำบากซะแล้วค่ะสาว
“งั้นได้โปรดอย่าเพิ่งลึกซึ้งกับหนูจนกว่าหนูจะให้สัญญาณว่าจะเป็นของคุณได้มั้ย?” สาวเจ้ารู้จักใช้สรรพนามแบบเด็กสาวและสายตากลมโตราวกับลูกแก้วสุกใสจ้องมองยักษ์หนุ่มอย่างใสซื่อ นางกระพริบตาสองสามทีเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่กษัตริย์อสุราเช่นเขาต้องรอที่จะเสพสังวาสกับหญิงสาวที่ลักมาเป็นสนม “... นะคะ”
วาจาอ่อนหวาน เป็นการเว้าวอนแบบเด็กสาว ที่ไม่รู้ทำไมสุวรรณราพณ์ถึงฉีกยิ้มพรายออกมา
“ข้ามิให้คำมั่นดอก”
“...”
“เจ้าก็รู้ดี... นี่ก็เป็นเพียงแค่การยื้อเพลาไว้ชั่วขณะหนึ่ง” มือใหญ่เอื้อมมาแตะที่เส้นผมยาวสีดำขลับที่ยุ่งเหยิงยามเพิ่งตื่นจากหลับฝันอันยาวนานของเธอ ก่อนที่จะดึงเส้นผมนั้นขึ้นมาจรดริมฝีปาก “มิมีภมรตัวใดจักทนกับกลิ่นหอมหวานจากเกสรของเจ้าได้ และหนึ่งในนั้นคือข้า”
คนตัวเล็กเม้มริมฝีปาก นั่นทำให้สาวเจ้าดูน่าเอ็นดูเหลือเกิน แก้มนวลนั้นแดงปลั่งราวกับมะเดื่อสุกเมื่อสะเทิ้นอายจากคำหยอด ยักษ์หนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายอย่างหลงใหล ก่อนที่จะหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง
“ไปทำความรู้จักกับสนมทั้งสิบของข้าเสียหน่อยก็แล้วกัน”
“...”
“เผื่อพวกนางจักเล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟังบ้าง เนื่องจากข้ามิมีเพลาที่จะเล่าเรื่องของตนนัก”
มธุรสเบ้ปาก จักให้ไปทำความรู้จักกับหญิงสาวที่ทำท่าเขม่นเธอราวกับกำลังจะแย่งความรักจากสุวรรณราพณ์ของพวกเธอไปน่ะหรือ ไม่มีทางซะหรอก ดีไม่ดีอาจจักโดนหมายหัวเอาซะเปล่าๆ
อีกอย่าง... ไม่ได้อยากรู้จักเขาเสียหน่อย!
หลังจากที่จันทร์ดาได้พบกับแม่ที่แท้จริงของตนเอง แถมกรรณิกาอัปสรกับพระสุวรรณราพณ์ก็คิดจะจับมือกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ต่อลูกอีก ต้องยอมรับว่าเธอมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว “จันทร์ดา เจ้านี่ฝีมือดีจริงหนา” หญิงสาวยิ้มเขินเมื่อมารดาของตนยกผ้าทอมือที่ถูกปักจากขนของครุฑขึ้นมาเชยชม แค่สอนการเย็บปักถักร้อยไม่กี่เดือน นับว่าลูกสาวของเธอหัวไวมากทีเดียว ถึงกับเย็บชุดสไบทรงเครื่องมาให้เลย แถมยังงามจับตาเสียด้วย “เจ้านี่มีพรสวรรค์น่าดู ข้าละภาคภูมิใจเสียจริงๆ” “เป็นเพราะท่านแม่สอนสั่งข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ฝ่ายจันทร์ดาเองก็ถ่อมตัวและยกย่องความดีความชอบไปให้แม่ของตนเองแทน กรรณิกาอัปสรที่นั่งอยู่ร่วมกันที่ศาลาริมบึงบัวอดไม่ได้ที่จักแย้มยิ้มปิติยินดี เพราะตอนนี้แม่ลูกได้เข้าใจกันโดยสมบูรณ์ แถมยังสนิทสนมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีกด้วย ดูเหมือนจันทร์ดาเองก็ค่อยๆ เปิดใจให้เธอแล้วเช่นเดียวกัน บางคราหญิงสาวก็มองมาราวกับจะสื่อความขอบคุณ ตั้งแต่วันนั้น พระสุวรรณราพณ์ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกกิจกรรมของลูกโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องบอก ในตอนนี้เหลือเพียงแค่จันทร์ดาที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้ เขาจึงพยายามเข้าหาล
กว่าจักรู้สึกตัวก็โน้มดวงหน้าลงไป คุกเข่าลงเพื่อให้ร่างใหญ่ได้พอดีกับร่างกายเล็กๆ ของนาง ริมฝีปากของหญิงชายใกล้กันจนเอื้อมถึง แต่น้องคนดีกลับเบี่ยงหน้าหนีในทันใด“ข้าบอกพี่แล้วนะ ว่าข้ามีสามีแล้ว” นางยังคงใจแข็งแม้นดวงใจจักเต้นรัวราวกับกลองทับ ดวงหน้าคมคายจึงผละออกไป พระสุวรรณราพณ์ไม่คิดบังคับใจหล่อน หากพร้อมกลับมาคืนใจเมื่อใด เขาจักรออยู่ที่นี่เสมอ “ข้าอยากมาพูดคุยเรื่องอินทร์มุก... ข้ารู้มาว่าบุตรชายของเจ้าพี่หายตัวไป”“ข้าเองก็จนปัญญาที่จักอบรมบ่มสันดานไอ้ลูกชายคนนี้แล้ว ในคุกหลวงก็เหมือนกับว่าจักลักพาพระสนมเนตรเกล้าไปด้วย มันอาจหลงรักนางเข้าจริงๆ” กรรณิกาอัปสรนึกครุ่นคิดถึงชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนา เนตรเกล้า... คงเป็นผู้หญิงปากเสียที่จักเข้ามาทำร้ายเธอในตอนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายเราหลงรักผู้หญิงร้ายกาจตนนั้น “นางถูกคุมขังเพราะเล่นชู้กับพระโอรส พี่กลัดกลุ้มใจเหลือเกิน”อัปสรสาวนึกตกใจ ไม่คิดว่าลูกชายที่เคยตัวเล็กน่ารักเพียงครึ่งข้อขาคนนั้นจักเติบโตมาเกเรอาจหาญเล่นชู้กับผู้หญิงได้ แถมยังเป็นพระสนมของพ่อตนเอง ดูท่าว่าการเอาใจใส่ของเขานั้นจักมีปัญหา ลูกจึงเสียนิสัยไปได้ไกลเช่นน
หากแต่เด็กหนุ่มที่มองจ้องมาทางหล่อนนั้น ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ราวกับเขาจ้องมองมาด้วยความใคร่อยากจักรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย แลไม่ได้ไว้ใจในตัวของหญิงสาวชาวมนุษย์นักไกรสรไม่ได้รับรู้เรื่องราวได้ชัดเจนสักเท่าไร เนื่องจากเจอแม่อีกทีก็ตอนที่พระสุวรรณราพณ์เล่าเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รู้แค่เพียงว่ามารดาพานางมาเพื่อต้องการชดเชยความผิดจากอดีตที่ทำต่ออีกฝ่าย เขาไม่ได้มาในตอนที่กรรณิกาเสกดวงตาที่ชิงมากลับไปให้เจ้าจันทร์ หรือแม้แต่เห็นตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในฐานะที่น่าอดสู จึงยังคงมีความคลางแคลงในตัวของเจ้าจันทร์อยู่พอสมควรเมื่อนึกถึงอดีต... ภาพของจันทร์ดาก็หวนคืนกลับมา ชวนให้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่เล็กน้อย ที่ถึงแม้มารดาของตนจักเป็นฝ่ายเจรจาให้เอง แต่ชายผู้นั้นคือบิดาของจันทร์ดา เขาคงไม่มีวันให้อภัยอสุราตนนั้นที่เคยทำร้ายแม่ เหมือนที่แม่ให้อภัยเขาได้หรอกไกรสรคงไม่กล้าอาจหาญครองรักกับจันทร์ดา ในขณะที่มองดูแม่ที่เคยผิดหวังจากความรักต่ออสุราผู้นั้นได้ หากมีแม่กับผู้หญิงที่สมควรจะรัก เขาคงเลือกแม่ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะแม่คือทุกอย่างของเขา แม่ผู้ให้กำเนิด แม่ที่ทำให้เขาเติบใหญ่มาอย่างดีที่สุ
ณ เมืองจันทร์ในเวลานั้น“เจ้าหญิงงั้นรึ! ที่พระราชวังมิมีองค์หญิงอีกต่อไปแล้ว นางโดนราชายักษ์จับกินจนมิเหลือแม้แต่กระดูก แลเจ้าเองก็มิใช่องค์หญิง เจ้าตาบอด นำนังคนบ้านี่ออกไปนอกอาณาเขตราชวัง นี่เป็นรับสั่งจากกษัตริย์!”กว่าจักใช้ปีกน้อยๆ นั้นบินฝ่าเมฆหมอกมาสู่เมืองที่เคยจากมา จำต้องใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูง เจ้าจันทร์ในร่างนกการเวกตาบอดโผบินแลกลายเป็นร่างหญิงสาวในชุดไทยวิจิตร หากแต่ดวงตาที่บอดสนิททั้งสองข้างนั้น พร้อมทั้งท่าทางที่ราวกับคนไม่สมประกอบ ทำให้ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ต่างพากันเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนบ้าใบ้สติไม่ดี เจ้าจันทร์นั้นเดินโซเซด้วยตีนเปล่ามาจนถึงหน้าประตูวังตามกลิ่นลมรอบตัว แต่กลับถูกนายทหารไล่ตะเพิดออกมาดูเหมือนว่าเมืองจักถูกซ่อมแซม เกณฑ์ประชาชนที่ยังมีชีวิตรอดมาสร้างเมืองใหม่ แม้จักทุลักทุเลแต่ก็กลับมาแทบจะเหมือนเก่า เพราะกษัตริย์ยักษ์ตนนั้นมิได้คิดจักทำลายไปทั้งเมือง คงต้องขอบใจในวาสนาของลูกสาวที่เป็นตัวตายตัวแทน แลนางคงไม่มีวันกลับมา ว่ากันว่ายักษ์นั้นดุร้าย ป่านนี้คงไม่เหลือแม้แต่ซากเป็นแน่เอาเถอะ ขอแค่เมืองแลพระราชารอดพ้นวิกฤตนี้ไปก็พอใช่ เสด็จพ่อที่ดู
“มธุรสวดี งั้นเจ้ายินดีจักกลับไปอยู่กับพี่ใช่หรือไม่ เจ้ารู้ความในใจของพี่แล้ว แลพี่เองก็มิรู้ว่าจักชดเชยความรู้สึกที่เสียไปของเจ้าเช่นไร พี่โป้ปดเจ้า พี่ทำให้เจ้าช้ำอุรา พี่รู้ดี...”“พี่สุวรรณราพณ์ ข้าเคยมีความรักอันดีต่อพี่ ข้ามอบใจให้พี่ แลตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ท้าวไกรสิงห์สยายปีกสีชาดด้วยสีหน้าขุ่นหมองราวกับไม่อยากรับฟังสิ่งใดต่อจากนั้นอีกต่อไปแล้ว เขารู้ดีว่านางยังคงมอบดวงใจเฝ้ารักไอ้อสุราตนนั้น แลไม่มีเหตุผลที่จักไม่กลับไป ตลอดมาเขาทำได้เพียงรักแลถนอมนางให้ดีที่สุด“...”“แต่ข้าคงมิอาจตอบตกลงเพื่อกลับไปหาพี่ได้ ข้าค้นพบสถานที่ที่ข้าต้องอยู่แล้ว”“...”“แม้นจักไม่เทียบเท่าที่เคยมอบให้พี่ แต่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจที่จักมอบชีวิตให้พี่ไกรสิงห์ แลข้าเอง... ก็มีลูกชายที่ต้องดูแลในฐานะมารดาต่อจากนี้”“...!!”“หากพี่เข้าใจแลกลับไปแต่โดยดี ข้าอาจจักขอมากไป แต่ข้าขอฝากอินทร์มุกแลจันทร์ดาไว้กับพี่ด้วย ข้าอยากให้พี่ดูแล มอบความรักให้พวกเขาราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของเรา... ถึงแม้ว่าข้าจักมิได้ตั้งท้องพวกเขามาก็ตาม”“...”“แต่ถ้าหากพี่ยังดึงดันจักฆ่าพี่ไกรสิงห์ ก็เอาชีวิตของข้าไปแท
ความมืดที่กลืนกินสุวรรณราพณ์นั้นทำให้เมื่อครบวันตามกำหนด เขาจึงเคลื่อนทัพด้วยตัวคนเดียว ฝ่ามือกุมดาบทมิฬไว้แน่น ดวงตาวาวโรจน์ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจนเห็นเป็นเพียงเรือนกายสีทมิฬ เขาเหาะเหินเดินอากาศไปตามนภา ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมความพยาบาท บีบเค้นอัปสรบนท้องฟ้าเพียงถามหาทางไปวิมานฉิมพลี ด้วยความกลัวเพราะพญายักษ์นั้นเสียสติไปแล้ว เหล่าอัปสรชี้ไปทางเมฆที่เกาะกลุ่มแน่นหนาที่สุด เพียงขว้างศาสตราวุธไปทางกลุ่มเมฆเหล่านั้น ก็เกิดอัสนีบาตรจนกลุ่มเมฆเผยเส้นทางภายในที่เต็มไปด้วยแผ่นดินลอยฟ้า ปกคลุมไปด้วยต้นงิ้วออกดอกสีแดงฉานห้อยระย้าดูงดงามตระการตา แต่บัดนั้นสีแดงจักเป็นสีของโลหิตเหล่าประชาชนเมืองครุฑให้สาสมใจเขาเคลื่อนตัวออกจากเมืองยักษาโดยมิได้แจ้งจักษ์แก่ผู้ใดในเมือง มิว่าจักเป็นราชครูผู้สนิท หรือแม้แต่เหล่าอำมาตย์ผู้ภักดี เมื่อใช้เพลาจนสังวรีราพณ์สามารถกัดกินจิตใจได้เกินครึ่ง เขาจึงใช้แรงอสุรกายทมิฬขับเคลื่อนท่องคาถาเหาะเหินเดินอากาศหวังเพียงได้ฆ่าเผ่าพันธุ์ครุฑให้เหี้ยนแลพาอัปสรสุดที่รักกลับมาแลถ้าหากนางมิกลับมาที่นี่ เขาจักยอมดับดิ้นไปพร้อมกับคำสัตย์สาบานที่ว่ามิว่าชาติไหน ก็จ