หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ กนกก็มีเวลาผ่อนคลายมากขึ้น เขากลับมาหาเพื่อนเก่าที่เขารัก นั่นคือหนังสือนิยาย เย็นวันนั้น ฝนโปรยปรายลงมาบางเบา กลิ่นดินหลังฝนอบอวลอยู่ในอากาศ ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ทำให้ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวไปตามจังหวะลม กนกนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ผ้าห่มนุ่มคลุมกาย เขาหยิบหนังสือเรื่อง ลิขิตรักจากฟากฟ้า มาอ่านอีกครั้ง
แสงไฟจากโคมข้างเตียงส่องกระทบตัวอักษร สะท้อนเป็นเงาจาง ๆ บนหน้ากระดาษ เรื่องราวความรักที่เศร้าและซับซ้อนในเล่มเหมือนพาเขาหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของเจ้าหญิงและองครักษ์ซึ่งเปรียบเสมือนตนเองเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ เสียงฝนที่ตกกระทบกลายเป็นท่วงทำนองแผ่วเบา คลอเคล้าไปกับเสียงหัวใจที่เต้นตามจังหวะของเนื้อเรื่อง
ดอกเยอบีร่าและความรักที่เบ่งบาน
''องค์หญิงดูนี่สิพะยะค่ะ'' ซาเลล องค์รักษ์หนุ่มคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ริมลำธาร ก่อนเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงเอมม่า ผู้เป็นองค์หญิงน้องสุดท้องของอาณาจักร บัดนี้พระองค์ทรงก้าวเข้าสู่วัยสาวแล้ว พระบิดาจึงเข้มงวดกับทุกเรื่องราวรอบตัว กระทั่งการออกไปสูดอากาศนอกพระราชวังก็ต้องได้รับการควบคุม
วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่พระองค์ได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินเล่นพักผ่อน ซาเลลจึงอาสาพาองค์หญิงมาเปลี่ยนบรรยากาศให้ต่างจากวันปกติ และสิ่งที่เขาหยิบขึ้นมาเสนอพระองค์ ก็คือดอกเยอบีร่าสีสดที่ไหวเอนตามสายลม
''ดอกไม้...''
''ดอกเยอบีร่าขอรับ'' องค์หญิงมองมันด้วยความสนใจ “เราเคยเห็นมันในวัง แต่ไม่เคยเห็นมันในป่าแห่งนี้”
ซาเลลยิ้มบางกับคำตอบขององค์หญิงน้อยของเขา ''เพราะแต่ก่อนมันอาจจะเล็กจนองค์หญิงมองไม่เห็น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มันก็เติบโตขึ้น องค์หญิงจึงได้เห็นความงามและสดใสของมันขอรับ"
"เหมือนเจ้า..."
"หากองค์หญิงจะมองเห็นกระหม่อมบ้าง ก็เป็นพระคุณของกระหม่อมยิ่งนัก"
องค์หญิงเอมม่าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มสรวลออกมาอย่างอ่อนโยน "เรามองเห็นท่านเสมอ ซาเลล"
แววตาขององค์รักษ์หนุ่มสั่นไหวเพียงชั่วขณะ ก่อนจะหลุบมองดอกไม้ในมืออีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม "สำหรับดอกเยอบีร่า มันเป็นตัวแทนของความไร้เดียงสาที่แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง กระหม่อมขออวยพรให้องค์หญิง จงอ่อนโยน แต่อย่าอ่อนแอ"
"เราขอบใจ"
"กระหม่อมขอนำดอกไม้นี้ปักผมองค์หญิงได้หรือไม่พะยะค่ะ" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพ แต่แฝงความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
"ถึงแม้ดอกเยอบีร่าจะงดงามเพียงใด แต่ก็มิอาจเทียบเคียงพระสิริโฉมขององค์หญิงได้ แต่อย่างน้อย...มันก็เป็นตัวแทนของกระหม่อม ข้าทาสผู้ภักดี ผู้ที่อยากดูแลองค์หญิงตลอดชั่วชีวิต"
องค์หญิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า "ได้สิ...ท่านปักให้เราหน่อย"
ซาเลลบรรจงนำดอกเยอบีร่าป่าขึ้นปักลงบนเกศาขององค์หญิงอย่างนุ่มนวล ลมหายใจของเขาแผ่วเบาเมื่ออยู่ใกล้พระองค์ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ลอยมาจากองค์หญิงทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น
"งามเหลือเกินพะยะค่ะ"
องค์หญิงยกมือแตะดอกไม้ "ดอกเยอบีร่าป่างามจริง ๆ ป่าแห่งนี้บรรยากาศดีมาก ครั้งหน้าเจ้าพาข้ามาอีกได้ไหม"
"กระหม่อมหมายถึง..."
"องค์หญิง..."
แววตาของเขาจับจ้องอยู่ที่พระบาทเล็กที่โผล่พ้นรองเท้าสีขาวออกมาเล็กน้อย รอยแดงเรื่อบ่งบอกชัดว่าพระองค์ทรงใส่รองเท้าผิดคู่มาทั้งวัน
"องค์หญิง... เท้าของพระองค์"
องค์หญิงเอมม่าก้มลงมอง "สงสัยเราเลือกรองเท้ามาผิดคู่"
"ขอกระหม่อมดูให้พะยะค่ะ"
"มะ-ไม่เป็นไร..."
ยังไม่ทันที่องค์หญิงจะห้าม ซาเลลก็คุกเข่าลงตรงหน้า ประคองพระบาทเล็กขึ้นมาไว้บนหน้าตักของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อย ๆ ถอดรองเท้าออก เผยให้เห็นรอยช้ำที่เกิดจากรองเท้ากัด
"เราไม่ได้เจ็บขนาดนั้น"
ซาเลลไม่พูดอะไร เพียงโน้มศีรษะลงแล้วจุมพิตเบา ๆ ที่รอยช้ำบนพระบาทของพระองค์ ประหนึ่งต้องการปลอบประโลมแทนคำพูด
"อ่ะ..."
"ขอความเจ็บปวดขององค์หญิง...ถ่ายทอดมาที่กระหม่อมเถิด" แล้วจึงก็จุมพิตเบา ๆ ลงไปอีกหลายครั้งอย่างอ่อนโยน
องค์หญิงเอมม่ารู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่แล่นวาบไปทั่วร่าง ทั้งจากสัมผัสอ่อนโยนที่เท้า และจากหัวใจของพระองค์เองที่เต้นแรงจนแทบควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นผ่านร่างไปพร้อม ๆ กับสัมผัสขององค์รักษ์หนุ่ม
แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ค่อย ๆ พัฒนา จนความรักของทั้งสองเบ่งบาน...
ซาเลลอุ้มองค์หญิงที่เขารักและหวงแหนเข้าไว้ในอ้อมแขน ประคองพระองค์อย่างทะนุถนอม ริมฝีปากของทั้งสองแทบไม่ห่างกันเลย ยังคงแลกเปลี่ยนสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนหวานและลึกซึ้ง ความอบอุ่นจากร่างของเขาแผ่ซ่านมาถึงเธอ หัวใจเต้นเป็นจังหวะเดียวกันราวกับโอบกอดกันด้วยความรู้สึกที่มากกว่าคำพูด ซาเลลสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวในดวงตาขององค์หญิง ไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความไว้วางใจที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอดชีวิตของเขาเอง
"ซะ... ซาเลล..."
"ขอรับองค์หญิง"
ลมหายใจของทั้งสองรดรินอยู่ใกล้ จนแทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน องค์หญิงเอมม่าหลุบตาลงเล็กน้อย ดวงหน้าร้อนผ่าวจากความเขินอาย แต่หัวใจกลับเต้นระรัวจนไม่อาจซ่อนเร้นได้
"ระ... เรา..."
"กระผมจะทะนุถนอมองค์หญิงยิ่งกว่าสิ่งใด ขอรับ"
สัมผัสที่แผ่วเบาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและมั่นคง ดั่งดอกเยอบีร่าป่าที่เติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งท่ามกลางสายลมและแสงแดดแห่งธรรมชาติ แต่ในความอ่อนโยนนั้นกลับมีความมุ่งมั่นและสัตย์ซื่อ แววตาของซาเลลเต็มไปด้วยคำสาบานที่ไร้เสียง ว่าจะปกป้องและเฝ้าดูแลองค์หญิงตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเขาเอง
ความรู้สึกวาบหวามในใจทำให้ขนลุกชูชัน และความรู้สึกนี้... มันช่างคล้ายกับวันนั้น วันที่ใครคนหนึ่งในความฝันได้มาหาเขา และมอบรสสัมผัสบางอย่างที่เขาไม่เคยได้รับ
"หรือเขาจะเป็นเจ้าหญิงในเรื่องนี้กันแน่?" กนกคิดพลางหัวเราะเบา ๆ ให้กับตัวเอง เมื่อเงยหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าเพลิดเพลินกับหนังสือจนเกือบตีสอง จึงรีบเดินไปอาบน้ำ
ขณะที่ออกมาจากห้องน้ำ เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เสียงฝีเท้าจาง ๆ ดังขึ้น... และเมื่อเขาชะโงกมองไปที่ประตู ก็พบเงาร่างหนึ่งกำลังเปิดเข้ามา ชายคนนั้นสวมหมวกและหน้ากากปิดบังใบหน้า ดวงตาของทั้งสองประสานกันด้วยความตกใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบหันหลังและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หัวใจของกนกเต้นระรัวด้วยความตื่นตระหนก เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาหมายจะโทรหาเพื่อน แต่เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยเกือบตีสามแล้ว จึงตัดสินใจคลุมโปงนอน... หรืออย่างน้อยก็พยายามข่มตาหลับ
เช้าวันถัดมา กนกเดินเข้าห้องเรียนด้วยสภาพอิดโรยราวกับคนไม่ได้นอน ดวงตาหม่นหมองและมีรอยคล้ำจาง ๆ จากการข่มตาหลับไม่ลงตลอดทั้งคืน เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เพื่อนฟังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและยังคงสั่นเครือเล็กน้อย
"เวลาดึกขนาดนั้น ใครจะกล้าไปปล้น? หอก็ปลอดภัยนะ แต่ก็ไม่แน่..." มิวพูดพลางขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง
"แล้วแกยังบอกว่า มีคนคอยจ้องมองแกอีก?"
"อืม... มันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีใครเฝ้าดูเราอยู่ตลอดเวลา"
"หรือจะเป็น... ผี?" พราวแซวพร้อมหัวเราะเบา ๆ
"ก็ไม่แน่..." กนกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ในนิยายที่เราอ่าน คนที่คอยเฝ้ามองเจ้าหญิงก็คือทาสที่เสียชีวิตไปแล้ว"
พราวหัวเราะหนักกว่าเดิม "แกเริ่มเพ้อเจ้อแล้วล่ะ อ่านนิยายเยอะเกินไปชัวร์!"
แต่กนกไม่ได้หัวเราะตาม ความรู้สึกไม่สบายใจจากเมื่อคืนยังคงอยู่ และยิ่งเมื่อมีสายตาลึกลับที่เหมือนจะคอยจับจ้องเขา... ความกลัวก็เริ่มแทรกซึมเข้ามา
"เรากลัวจริง ๆ นะ..."
"โอเค ๆ ช่วงนี้เราจะอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ แล้วกัน" พราวตบบ่าเขาเบา ๆ หันไปพยักหน้าให้มิว "เดี๋ยวพวกเราจะไปส่งแกถึงหน้าหอเลยนะ!"
"อืม... ขอบใจนะ" กนกพยายามยิ้มออกมา แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
แต่ถึงแม้จะมีเพื่อนอยู่ด้วย ความรู้สึกแปลก ๆ ในใจเขาก็ยังไม่จางหายไป...
หน้าบ้านหลังเล็กที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นปะปนกับเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ปล่อยให้มีเพียงสองร่างในอ้อมกอดกันแน่นอยู่กลางห้วงเวลาอันแสนเจ็บปวด ภพกอดร่างของกนกแน่น รู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากการร้องไห้ที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่าย ๆ น้ำตาของคนน้องเปียกเสื้อเขาจนชื้น และแรงกอดของกนกก็เหมือนเป็นการยึดเหนี่ยวสุดท้ายไว้กับความจริง“ฮึก… พี่ภพ… มันเจ็บ…” เสียงสะอื้นแผ่วเบารอดออกจากริมฝีปากสั่น“ไม่เป็นไรแล้ว…” ภพกระซิบเบา ๆ มือใหญ่ลูบหลังคนน้องอย่างอ่อนโยน“พี่อยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้วนะ…”กนกส่ายหน้าเล็กน้อย ซุกหน้าลงที่ไหล่กว้าง เสียงร้องไห้เปลี่ยนเป็นสะอื้นอย่างทรมาน“มันย้อนกลับมา… ภาพพวกนั้น… ตอนเด็ก… ทำไมถึงลืมมันไปได้ ฮึก… ทำไมถึงเพิ่งจำได้ตอนนี้…”“ไม่ต้องโทษตัวเองนะคนเก่ง…” ภพก้มลงจูบผมนิ่ม ๆ ซับน้ำตาที่เปื้อนแก้มเนียนด้วยความอดทนที
วันนี้พี่ภพชวนผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้า อากาศสดชื่นกว่าทุกวัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้พี่ภพอยู่ข้าง ๆเราไปเดินชมสวนดอกไม้ด้วยกัน แสงแดดอ่อน ๆ ทาบลงบนทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ที่กำลังผลิบาน นี่เป็นครั้งแรกที่เราถ่ายรูปคู่กัน พี่ภพยิ้มให้กล้อง ผมเองก็ยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัวแปลกดีนะ… ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่ภพเป็นเหมือนบ้านช่วงบ่าย พี่ภพบอกว่าจะพาผมไปในสถานที่แห่งหนึ่ง "สถานที่แห่งความทรงจำ"ผมไม่ได้ถามว่ามันคือที่ไหน เพราะสิ่งเดียวที่พี่ภพบอกผมก็คือ—"จับมือพี่ไว้แน่น ๆ นะ"และช่วงนี้ ผมกล้าจับมือพี่ภพแล้วด้วยเรานั่งรถมาด้วยกัน ข้างทางเริ่มคุ้นตาขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับไปที่บ้านพี่ภพแต่พอรถเลี้ยวเข้าเส้นทางเล็ก ๆ ผมกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาดมันไม่ใช่บ้านของพี่ภพ แต่เป็นบ้านเก่าหลังนึงที่สภาพดี แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว เมื่อก้าวลงจากรถ ผมรู้สึกเหมือนถูกสายลมที่มองไม่เห็นกระแทกเข้ามาเต็มแรงลมพัดเอื่อย
ในห้วงเวลาอบอุ่นช่วงปิดเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็ว กนกอยู่บ้านมาหลายสัปดาห์แล้ว พี่ภพเองก็ติดโปรเจกต์ปีสุดท้ายและกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ทำให้เราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ส่งหากันเป็นระยะจนกระทั่งวันนี้พี่ภพมาหาน้าแป้น และทักมาหาเขา"วันนี้มาหาพี่หน่อย อยู่เป็นเพื่อนตอนทำงานได้ไหม?"กนกอ่านข้อความแล้วบอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกกับพี่ภพ เมื่อเจอกัน เราทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ก่อนที่พี่ภพจะขับรถพาเขาไปยังห้องพักบรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเพลงบรรเลงคลอแผ่วเบา อากาศเย็นกำลังดีทำให้รู้สึกสบายใจ กนกไม่ได้ถามว่าทำไมพี่ภพถึงพาเขามาที่ห้องพัก—เขาแค่ไว้ใจคอนโดของพี่ภพอยู่ไม่ไกลจากหอในของเขานัก เป็นห้องขนาดกว้าง แบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่ครัวเล็กๆ อยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนเชื่อมกับพื้นที่ทำงาน เตียงกว้างและดูนุ่มมาก"เราจะนั่งอ่านหนังสือที่เตียงพี่ก็ได้นะ ถ้าง่วงก็นอนได้เลย""ครับ"กนกตอบรับโดยไม่ถามอะไร เขาหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาเปิด แต่ในใจก็แอบสงสัยว่าพี่ภพให้มาอยู่เป็นเพื่อน หรือแค่ต้
"อ้อมกอดของแม่"คืนนี้เงียบสงบกว่าทุกคืน ลมหายใจของกนกอุ่นขึ้นเมื่อนอนอยู่ข้างแม่ อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้ง"วันนี้แม่ขอนอนกับลูกชายคนโปรดได้ไหมครับ?""ได้ครับแม่"กนกขยับตัวให้แม่เข้ามาใต้ผ้าห่มอุ่นๆ พอเพชรล้มตัวลงนอน กนกก็รีบซุกตัวเข้าหาแม่ทันที โอบกอดแน่นราวกับไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเพชรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกชายอย่างอ่อนโยน "เป็นยังไงบ้างลูก ปีแรกในมหาวิทยาลัย เหนื่อยไหม?""เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกมากด้วย""เรียนยากไหม?""ก็ยากนิดหน่อยครับ แต่ยังดีที่มีมิวช่วยติวให้ มิวเก่งมากเลยครับแม่""ดีจังเลย แม่จำได้ว่าลูกเล่าเรื่องมิวให้ฟังบ่อยๆ แล้วหนูพราวล่ะ เป็นไงบ้าง?""พราวก็ยังตลกเหมือนเดิมเลยครับแม่ ถ้าผมเครียดๆ เบื่อๆ พราวนี่แหละที่ทำให้ผมยิ้มได้""ดีแล้วล่ะลูก มีเพื่อนดีก็ช่วยกันประคองไปนะ มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว"กนกพยักหน้ารับ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งเพชรมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะถามสิ่งที่ค้างคาใจ "แล้วพี่ภ
หลังจากนั้นพบรักก็พากนกกลับบ้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าบ้านพร้อมความรู้สึกที่อบอุ่น แม้จะมีความหวาดกลัวและกังวลบางอย่างยังค้างอยู่ในใจ แต่การมีพี่ภพอยู่เคียงข้าง คอยโอบกอด คอยปลอบโยน ทำให้เขารู้สึกว่า… ไม่ได้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังและยิ่งรู้สึก… ชอบพี่ภพมากขึ้นทุกวันวันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะใช้พลังไปเยอะ ทั้งร่างกายและหัวใจเลยเหนื่อยล้าเต็มที กนกหยิบหนังสือนิยายขึ้นมา หวังว่าจะอ่านเล่นสักหน่อยก่อนจะหลับไปแต่ก่อนที่เปลือกตาจะหนักอึ้ง มือถือก็สั่นเบา ๆ แจ้งเตือนข้อความจาก LINEพี่ภพ: “นอนหรือยังครับ”กนก: “กนกจะอ่านหนังสือนิยายสักหน่อย แล้วก็คงจะนอนแล้วครับ”พี่ภพ: “นอนไวจัง เพิ่งสามทุ่มเอง”กนกหลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับกนก: “พี่ภพมีอะไรหรือเปล่าครับ”พี่ภพ: “พี่เหนื่อยนิดหน่อย พอดีส่งงานให้ลูกค้าอยู่ กำลังปั่นงานเลย”กนก: “วันนี้พี่ภพกลับไปในเมืองหรอครับ”
เพชรมองหน้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มกับโทรศัพท์ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงออกมา“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกันครับ คุณกนกของแม่?”กนกสะดุ้งเงยหน้าขึ้น ก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้ม “ยิ้มอะไรกันล่ะครับ แม่คิดไปเอง กนกไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”เพชรหัวเราะเบา ๆ “ก็เห็นยิ้มกับโทรศัพท์ไง”เด็กหนุ่มเม้มปาก หันไปมองหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะยอมรับเสียงเบา “ก็...พี่ภพ LINE มาบอกนะครับว่าอยู่บ้านตัวเองแล้ว”“อ้อ”“แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน กนกก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน” เจ้าตัวพูดต่อ “แต่ว่าพี่เขาบอกว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านเราตรงนี้นี่เอง”เพชรพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตายังคงมองสำรวจลูกชายของตัวเอง“วันนี้เขาจะมาหาหรือเปล่า?”“พี่ภพเหรอครับ?”“จ้ะ”“เห็นบอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวสวนมะพร้าวเล็ก ๆ”เพชรเลิกคิ้วเล็กน้อย “สวนมะพร้าว?”กนกพยักหน