เช้าวันใหม่ แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดม่านเข้ามาในห้อง เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแผ่วเบา เขื่อนลืมตาตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้า แขนยังโอบร่างบางของขุนเขาไว้แน่น คนในอ้อมแขนยังคงหลับสนิท ใบหน้าซุกอยู่กับแผ่นอกกว้างของเขา เขื่อนก้มลงมองเสี้ยวหน้าคนรักก่อนจะค่อยๆ ผละตัวออกอย่างแผ่วเบา เขาแต่งตัวเรียบร้อยและเดินออกจากห้องไปยังห้องรับรองเพื่อประชุมกับเพื่อน วันนี้ เพื่อนสนิททั้งสามคน — เจริญชัย ทิวา และศักดิ์ รวมถึงแม็กซ์ มารออยู่แล้ว เอกสารสัมปทานรังนกที่เตรียมไว้ถูกวางกระจายเต็มโต๊ะ เงื่อนไขใหม่จากกรมทรัพยากรธรรมชาติที่เพิ่งส่งมายังเกาะเมื่อคืนนี้ ถูกเปิดอ่านอย่างเคร่งเครียด “เขื่อน เอกสารนี้มันไม่ชอบมาพากลว่ะ” ศักดิ์พูดเสียงเข้ม เขาผลักแฟ้มเอกสารไปตรงหน้าเพื่อน เขื่อนเลื่อนเอกสารมาตรวจดูอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “สัมปทานชุดใหม่นี้เพิ่มข้อบังคับเรื่องเขตกันชนจากฝั่งเกาะ 15 กิโล ถ้าเรายอมเซ็น… พื้นที่รังนกเราจะหายไปครึ่งหนึ่ง” เจริญชัยอธิบายต่อ น้ำเสียงจริงจัง “มันจงใจบีบเรา” ทิวาเสริม “พวกมันรู้ว่าเราถือหุ้นใหญ่ที่สุด ถ้าถูกบีบแบบนี้ อีกไม่นานราคาสัมปทานจะตก แล้วพวกมันจะย
เขื่อนก้มตัวหลบหลังแผงไม้ไผ่ เสียงกระสุนเฉียดผ่านหูวูบวาบ กลิ่นดินและควันปืนคละคลุ้งเต็มบรรยากาศ ลูกน้องของเขากระจายกำลังตามจุดที่เตรียมไว้ สาดกระสุนโต้กลับอย่างแม่นยำ เรือสปี๊ดโบ้ทของแก๊งประจิมจอดเทียบท่าเร็วราวสายฟ้า พวกมันสวมชุดดำสนิท ใบหน้าโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยอาวุธหนัก “ยิง! อย่าให้มันขึ้นฝั่ง!” เขื่อนตะโกนสั่ง เสียงดังฝ่ากระสุน เขาไถลตัวออกจากที่กำบัง เปลี่ยนแม็กกระสุนอย่างรวดเร็ว ก่อนสาดกระสุนชุดใหญ่ใส่ศัตรูที่กำลังพยายามวิ่งขึ้นฝั่ง กระสุนปืนลูกซองจากพวกเขื่อนกระแทกเข้ากับเกราะกันกระสุนของฝ่ายตรงข้าม เสียงโลหะกระทบดังสนั่น เขื่อนกรามแน่น ใจเย็นอย่างเหลือเชื่อ เขารู้ดีว่าสถานการณ์นี้มันต้องเกิด แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งของเขื่อนพุ่งเข้ามา “เฮีย! ขุนเขาปลอดภัยครับ ชัยพาไปหลบหลังเกาะแล้ว!” เขื่อนพยักหน้าก่อนตะโกนสั่งเสียงแข็ง “จัดการให้จบเร็วที่สุด! มันจะต้องไม่เหยียบเข้ามาถึงบ้านเราเด็ดขาด!” เสียงปืนดังต่อเนื่อง กลิ่นดินปนควันปืนและไอเค็มของทะเลหลอมรวมเป็นสนามรบเต็มรูปแบบ เขื่อนกราดสายตามองคู่ต่อสู้ ไม่มีความลังเลในแววตาแม
ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศ ที่ซึ่งท้องทะเลเป็นสีครามลึกและเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังก้องสะท้อนกับผาหิน — นั่นคือที่ตั้งของอาณาจักร “สัมปทานรังนก” ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และชายผู้ควบคุมทุกเกาะ ทุกนก และทุกเส้นทางการค้าคือ เขื่อน สหัสวรรษ บดินทร์ขุนทศ ชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆ เจ้าของสัมปทานรังนกทั้งหมดสามเกาะใหญ่ และยังเป็นเจ้าของรีสอร์ตบนเกาะเล็กเกาะน้อยที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เขื่อนสูงถึง 190 เซนติเมตร ผิวแทนเข้มจากการใช้ชีวิตกลางแดด ใบหน้าคมเข้มดุดันจนบางคนไม่กล้าสบตา กล้ามเนื้อแน่นตึงบ่งบอกถึงความแข็งแรงและวินัยในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งความผูกพันกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ “แมว” ที่เขาเลี้ยงไว้ถึงสองตัวบนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า “เกาะปันรัก” แห่งนี้ เกาะซึ่งแม่ของเขาทิ้งไว้ก่อนจะเสียชีวิตจากโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้งยังวัยรุ่น เขื่อนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เรียนหนังสือและทำงานในบริษัทของพ่อ ตนทำทุกวิธีเพื่อรักษาแม่ แต่สุดท้ายเมื่อแม่จากไป เขาก็เลือกกลับมายังบ้านเกิด สานต่อกิจการและดูแลเกาะที่แม่รักที่สุด
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ้าม่านลงมาแตะต้องใบหน้าเรียวบาง ทำให้ร่างบนเตียงขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงขยับนิดเดียวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั้งร่าง เปลือกตาที่ปกคลุมด้วยแพขนตาหนาค่อย ๆ กระพริบ ก่อนที่ดวงตาสุกใสจะเปิดขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพดานสีขาวสะอาดตาไม่ใช่ภาพที่เจ้าตัวคุ้นเคย—นี่…ยังไม่ตายงั้นเหรอ? หัวกลม ๆ หันซ้ายหันขวาไปรอบห้องเพื่อมองหาใครบางคนแต่กลับไม่พบใครเลย “ขุนเขา ปลายขอบฟ้า”—ชื่อที่คนคนหนึ่งเคยตั้งให้ด้วยความรัก ชื่อนี้สะท้อนอยู่ในใจเมื่อเขานึกถึงเจ้าของเสียงหัวใจ ขุนเขานอนมองเพดานต่ออีกครู่ ก่อนจะได้ยินเสียงประตูระเบียงเปิดออก เขาหันไปตามเสียงแล้วต้องเบิกตากว้าง ชายแปลกหน้ารูปร่างสูงใหญ่ในเสื้อกล้ามสีขาวเดินเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาคมกริบทำให้ขุนเขารู้สึกตื่นตะลึง ไหนจะกล้ามแขนและแผงอกที่เห็นชัดผ่านเนื้อผ้านั่นอีก ชายคนนั้นเดินมาตรงข้างเตียง พร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้ม “ชื่อ?” ขุนเขาเบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มพลางก้มหน้ามองมือตัวเอง “ข…ขุนเขา…” อีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตจากราวมาสวม ก่อนจะคว้าถุงเสื้อผ้าที่ดูเหมือนเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แล้วยื่นให้
หลายวันผ่านไป ความเคยชินค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขื่อนกับขุนเขา ทั้งสองต่างไม่ได้มีบทสนทนาหวานซึ้งหรือใกล้ชิดแบบคู่รัก แต่กลับอยู่ร่วมบ้านกันได้อย่างแนบเนียนราวกับเป็นเรื่องปกติ เหมือนคนสองคนที่เคยมีชีวิตคู่มาก่อน แล้วกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งอย่างเงียบงัน ทุกเช้าเขื่อนออกจากบ้านโดยไม่ลืมทิ้งคำสั่งหรือคำเตือนบางอย่างไว้ให้ขุนเขาเสมอ แล้วขึ้นสปีดโบ๊ทลำเดิมในเวลา 10 โมงตรง กลับมาอีกทีราวบ่ายสาม ขุนเขาที่เริ่มจำเวลาเหล่านี้ได้ขึ้นใจ เริ่มสังเกตและตั้งคำถาม—แบบที่ไม่เคยกล้าถามออกไปตรง ๆ ประมง? เขาไม่เคยเห็นตาข่าย ไม่เคยเห็นปลา ไม่เคยได้กลิ่นคาวทะเลสักครั้ง… หรือเขาแค่ไม่รู้ว่าประมงในที่แห่งนี้ มันไม่ใช่แค่การหาปลา บ่ายวันนี้ ขุนเขาออกมานั่งหน้าบ้าน อากาศเย็นสบาย ลมทะเลพัดอ่อน ๆ ผ่านผิวกาย เสื้อยืดสีขาวบางแนบเนื้อโชว์ไหล่ลาดและช่วงคอขาวเนียน กางเกงผ้าลื่นสีฟ้าอ่อนแนบเรียวขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่เพียงพอจะดึงดูดสายตาคนงานละแวกนั้นให้เผลอเหลือบมองเป็นระยะ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มผ้าใบข้างบ้าน เปลถักใกล้กันแกว่งเบา ๆ ไปตามลม หน้าบ้านที่ปูด้วยหินกรวดสีขาวสะอาดยิ่งทำให้ร่างบางของเ
ริมฝีปากเขื่อนสัมผัสกับของขุนเขาอีกครั้ง—อ่อนโยนเหมือนสายลมยามเช้า ละมุนละไมจนแทบทำให้ร่างบางละลายอยู่ตรงนั้น จูบนั้นเริ่มจากเพียงแค่แตะเบาๆ กลายเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ… เสียงจูบเปียกชื้น,ลิ้นร้อนตวัดหาความหวานของกันและกัน น้ำรักที่เปรอะออกมาจากริมฝีปากของขุนเขา สหัสวรรษดูดเม้มราวกับว่านี่คือน้ำผึ้งเดือนห้า สลับกับลมหายใจที่ถี่กระชั้นทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม เสียงเบาๆ จากห้องข้างๆ ดังลอดมาเป็นจังหวะที่ไม่ควรได้ยิน… กลับยิ่งกระตุ้นให้ทุกการสัมผัสของเขื่อนทวีความรุนแรงในแบบทนุถนอม ร่างสูงคร่อมเหนือคนตัวเล็ก มือหนาที่เคยจับพวงมาลัยเรือ แกร่งแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนโยน ลูบผ่านแผ่นหลังบางจนเจ้าของร่างสะดุ้งเล็กน้อย ลูบไล้ผ่านเอวบาง สหัสวรรษคิดว่าอีกคนว่าเอวเล็กแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเล็กถึงขนาดที่ตนรวบมือเดียวยังได้ “ตรงนี้…ได้ไหม” เขื่อนกระซิบเบา มือข้างหนึ่งลูบไล้ทั่วร่างขาวไปจนหยุดตรงตุ่มไตสีสวยบนอก ปากก็ว่ามือก็ลูบไล้ เสียงแหบพร่าข้างใบหู ทำเอาร่างใต้ร่างใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ขุนเขาพยักหน้าเบาๆ แม้อีกคนจะขออนุญาตเขาหลังจากที่มือนั้นไปหยุดอยู่ตรงเนินเล็กของขุนเขา ดวงตาฉ่
เสียงประตูห้องปิดลงเบาๆ แต่ภายในใจของขุนเขากลับดังก้องไปด้วยความรู้สึกมากมายจนแทบกลั้นไม่อยู่ เขาทรุดตัวลงบนเตียงกว้างที่ยังมีกลิ่นของเขื่อนอวลอยู่บนหมอน ดวงตากลมมองออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่น รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรคิดมาก ไม่ควรรู้สึกอะไรแบบนี้ เพราะคนคนนั้นก็คงเป็นแค่ ‘อดีต’ แต่… ทำไมมันหน่วงไปหมดแบบนี้นะ “ก็แค่คนของเขาเอง” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ พยายามไล่ความรู้สึกเจ็บออกไปจากอก แต่ภาพที่อีกฝ่ายยืนอยู่หน้าบ้าน ยิ้มให้เขื่อนแบบนั้น มือที่แตะไหล่เขื่อนเหมือนเจ้าของ ไม่สิ…เหมือนคนที่เคยมีสิทธิ์ในตัวเขื่อนมาก่อน—มันทำให้ขุนเขาเจ็บจุกยังไงไม่รู้ เขาไม่อยากยอมรับหรอกว่ากำลังหึง กำลังน้อยใจ หรือกลัว… กลัวว่าจะมีใครบางคนที่เขื่อนเคยรัก มาก่อนเขา และอาจจะยังมีผลอยู่ เสียงประตูเปิดดังขึ้นเบาๆ ขุนเขาหันไปมอง เห็นร่างสูงของเขื่อนเดินเข้ามาช้าๆ มือถือแก้วน้ำกับนมอุ่นหนึ่งแก้ว “นมอุ่น จะไ
หลังจากวันนั้น ทุกๆ วันก็เหมือนมีภาพซ้ำที่ขุนเขาต้องทนเห็น — ปานวาดเข้ามาเล่น พูดคุย และนั่งทานข้าวกับเขื่อนแทบทุกมื้อ สหัสวรรษเพียงอธิบายสั้นๆ ว่า “คนนี้รู้จักกันมานานแล้ว พึ่งกลับจากเรียนต่อในเมืองหลวง” ขุนเขาไม่เคยปริปากถามอะไรอีก แค่ยิ้มรับเงียบๆ แม้ในใจจะเจ็บทุกครั้งที่เห็นภาพสองคนนั้นหัวเราะกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปานวาดจะโผล่มาเฉพาะเวลาที่เขื่อนอยู่บ้านเท่านั้น หากเขื่อนไม่อยู่ เธอก็จะไม่เข้ามา กระทั่งวันหนึ่ง — ขุนเขากำลังกวาดพื้นและทำความสะอาดอยู่ที่ห้องครัวอย่างเงียบเชียบ มือเล็กๆ กำลังจับไม้กวาด ปัดฝุ่นที่เกาะตามพื้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงสั่งการก็ดังขึ้นจากโซฟา “นี่! เอาน้ำมานี่ที หิวจะแย่แล้ว!” ขุนเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบปานวาดนั่งหันหลังให้ ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว “นี่!! ฉันบอกให้หยิบน้ำมา!!” เสียงตะคอกดังขึ้นอีกครั้ง ขุนเขาขบกรามแน่น ก่อนจะวางไม้กวาดกับที่ตักขยะลงแรงๆ จนมันล้มดัง กึก ร่างบางเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไปหยิบเหยือกน้ำและแก้ว ก่อนจะเดินกลับมาวางมันลงบนโต๊ะไม้หน้าสุดของโซฟา อย่างแรง จนน้ำในเหยือกกระเพื่อม ปานวาดกำมือแน่น สีหน้าเร
เขื่อนก้มตัวหลบหลังแผงไม้ไผ่ เสียงกระสุนเฉียดผ่านหูวูบวาบ กลิ่นดินและควันปืนคละคลุ้งเต็มบรรยากาศ ลูกน้องของเขากระจายกำลังตามจุดที่เตรียมไว้ สาดกระสุนโต้กลับอย่างแม่นยำ เรือสปี๊ดโบ้ทของแก๊งประจิมจอดเทียบท่าเร็วราวสายฟ้า พวกมันสวมชุดดำสนิท ใบหน้าโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยอาวุธหนัก “ยิง! อย่าให้มันขึ้นฝั่ง!” เขื่อนตะโกนสั่ง เสียงดังฝ่ากระสุน เขาไถลตัวออกจากที่กำบัง เปลี่ยนแม็กกระสุนอย่างรวดเร็ว ก่อนสาดกระสุนชุดใหญ่ใส่ศัตรูที่กำลังพยายามวิ่งขึ้นฝั่ง กระสุนปืนลูกซองจากพวกเขื่อนกระแทกเข้ากับเกราะกันกระสุนของฝ่ายตรงข้าม เสียงโลหะกระทบดังสนั่น เขื่อนกรามแน่น ใจเย็นอย่างเหลือเชื่อ เขารู้ดีว่าสถานการณ์นี้มันต้องเกิด แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งของเขื่อนพุ่งเข้ามา “เฮีย! ขุนเขาปลอดภัยครับ ชัยพาไปหลบหลังเกาะแล้ว!” เขื่อนพยักหน้าก่อนตะโกนสั่งเสียงแข็ง “จัดการให้จบเร็วที่สุด! มันจะต้องไม่เหยียบเข้ามาถึงบ้านเราเด็ดขาด!” เสียงปืนดังต่อเนื่อง กลิ่นดินปนควันปืนและไอเค็มของทะเลหลอมรวมเป็นสนามรบเต็มรูปแบบ เขื่อนกราดสายตามองคู่ต่อสู้ ไม่มีความลังเลในแววตาแม
เช้าวันใหม่ แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดม่านเข้ามาในห้อง เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแผ่วเบา เขื่อนลืมตาตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้า แขนยังโอบร่างบางของขุนเขาไว้แน่น คนในอ้อมแขนยังคงหลับสนิท ใบหน้าซุกอยู่กับแผ่นอกกว้างของเขา เขื่อนก้มลงมองเสี้ยวหน้าคนรักก่อนจะค่อยๆ ผละตัวออกอย่างแผ่วเบา เขาแต่งตัวเรียบร้อยและเดินออกจากห้องไปยังห้องรับรองเพื่อประชุมกับเพื่อน วันนี้ เพื่อนสนิททั้งสามคน — เจริญชัย ทิวา และศักดิ์ รวมถึงแม็กซ์ มารออยู่แล้ว เอกสารสัมปทานรังนกที่เตรียมไว้ถูกวางกระจายเต็มโต๊ะ เงื่อนไขใหม่จากกรมทรัพยากรธรรมชาติที่เพิ่งส่งมายังเกาะเมื่อคืนนี้ ถูกเปิดอ่านอย่างเคร่งเครียด “เขื่อน เอกสารนี้มันไม่ชอบมาพากลว่ะ” ศักดิ์พูดเสียงเข้ม เขาผลักแฟ้มเอกสารไปตรงหน้าเพื่อน เขื่อนเลื่อนเอกสารมาตรวจดูอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “สัมปทานชุดใหม่นี้เพิ่มข้อบังคับเรื่องเขตกันชนจากฝั่งเกาะ 15 กิโล ถ้าเรายอมเซ็น… พื้นที่รังนกเราจะหายไปครึ่งหนึ่ง” เจริญชัยอธิบายต่อ น้ำเสียงจริงจัง “มันจงใจบีบเรา” ทิวาเสริม “พวกมันรู้ว่าเราถือหุ้นใหญ่ที่สุด ถ้าถูกบีบแบบนี้ อีกไม่นานราคาสัมปทานจะตก แล้วพวกมันจะย
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ทั้งคู่ก็พากันมานั่งที่โซฟาเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ยามนี้จะดึกมากเพียงใดก็ตาม ย้อนกลับไปเมื่อตอนเช้า ก่อนที่เขื่อนจะออกไปข้างนอก เขาโทรนัดเพื่อนให้มาที่เกาะเพื่อคุยเรื่องสัมปทาน แม้เพื่อนของเขาจะไม่ได้ทำธุรกิจนี้โดยตรง แต่พวกเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ร่วมกับเขาอยู่ โชคยังดีที่พวกเขามาทันเวลา หากมาไม่ทัน ร่างขาวตรงหน้าเขาอาจถูกจับตัวไปแล้วก็เป็นได้ เขื่อนหันไปมองคนข้างกายที่ตาปรือเต็มทนแต่ยังไม่ยอมไปนอน มือของทั้งคู่ยังคงประสานกันแน่น สหัสวรรษได้สายตาล้อเลียนจากทิวา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก “ตรวจหน่อยไหม” แม็กซ์ที่นั่งเงียบฟังอยู่นานโพล่งขึ้นมา เสียงของเขาทำให้เจริญชัย ทิวา ศักดิ์ และเขื่อนหันไปมอง “ตรวจอะไร ร่องรอยลายนิ้วมือพวกมันหรือไง?” ทิวาเอ่ยขึ้น พลางยกน้ำดื่มขึ้นจิบแก้กระหาย แม็กซ์จ้องไปที่ท้องของคนรักเพื่อน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ มีเพียงสายตาของเขื่อนที่เริ่มสงสัยและเหลือบมองไปยังท้องของร่างบาง ทว่าก่อนจะทันได้เอ่ยปากถาม ลูกน้องคนสนิทสองคน ชัยและหนึ่ง ก็วิ่งเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนกจนคนเป็นนายรอฟังคำตอบแทบไม่ไหว “นายครับ” ชัยพูดขึ้นพลางหอบห
หลายวันผ่านไป อากาศบนเกาะยังคงอบอุ่นและสดชื่นเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความสัมพันธ์ระหว่างเขื่อนกับขุนเขา มันเริ่มมีเส้นสายที่ชัดเจนมากขึ้น… ไม่ใช่แค่คนรู้จักหรือคนที่มาเยี่ยมเยือนกันอีกต่อไป เย็นวันหนึ่ง เขื่อนนั่งอยู่ริมระเบียงกับขุนเขา สายลมพัดอ่อน ๆ กลิ่นเกลือทะเลลอยมาตามลม ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงจริงจังแผ่วต่ำ “หนู… พี่มีอะไรจะบอก” ขุนเขาหันมามอง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสนใจ “พี่… ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเดินเรือกับค้าสินค้าต่างประเทศ มันมีทั้งถูกกฎหมายแล้วก็บางอย่างที่… เสี่ยงนิดหน่อย” เขื่อนพูดตรง ๆ ไม่มีเลี่ยงหลบสายตา “พี่อยากให้หนูระวังตัวไว้บ้าง ช่วงนี้พวกมันเริ่มไหวตัว มันอาจจะไม่ชอบใจที่พี่เอาหนูมาอยู่ใกล้ตัวแบบนี้” ขุนเขานิ่งฟัง ก่อนจะพยักหน้า “อืม… เข้าใจ หนูจะระวังตัว” เขื่อนยิ้มบาง ๆ อย่างโล่งใจ ยกมือขึ้นลูบผมนิ่มของอีกฝ่ายเบา ๆ “เด็กดีของพี่” เช้าวันต่อมา เขื่อนออกเรือตามปกติ ทิ้งให้ขุนเขาอยู่บ้านบนเกาะเพียงลำพัง แต่ไม่นานก็มีเพื่อนใหม่เดินเข้ามาในชีวิต “ชื่อปริมจ้ะ ลูกสาวพ่อตันที่ดูแลรีสอร์ตฝั่งเหนือเกาะ” หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันยิ้
เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเบา ๆ อยู่ไกล ๆ เมื่อสหัสวรรษยืนพิงราวระเบียง มองออกไปยังห้องนอนผ่านกระจกบานใส มือหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู อีกมือวางแนบชายโครงอย่างเงียบงัน แสงจากหลอดไฟนวลตาในห้องนอนลอดผ้าม่านออกมาแผ่วเบา “กูก็บอกแล้วไงว่ากูรู้สึกผิดแล้ว มึงยังจะด่ากูอีก” เสียงเขาแหบพร่ากึ่งหงุดหงิด เมื่อเอ่ยกับปลายสาย “กูไม่รู้ว่ะ ปานวาดเขาเข้ามากระทันหันจนกูตั้งหลักไม่ทัน” เขื่อนตอบเสียงพูดของเขาแทรกด้วยเสียงจุดไฟแช็ก แล้วตามด้วยกลิ่นควันบุหรี่จาง ๆ ในลมหายใจของอีกฝ่าย ‘มันไม่ใช่ข้ออ้างสักนิดไอสัด’ เสียงของเจริญชัยพูดสวนขึ้นมาทางปลายสาย ‘มึงไปคิดเองเหอะ เว้นระยะห่างกับปานวาดเขาบ้าง มึงก็มีคนของมึงอยู่แล้วนะ’ ‘ดูแลเขาให้ดี ๆ เพราะฝั่งนั้นแม่งเริ่มไหวตัวแล้ว’ ‘สุดท้าย คนที่มึงควรไว้ใจไม่ใช่เธอแต่คือคนที่มึงยอมให้นอนห้องนอนเดียวกัน ไอ้ควาย’ สิ้นเสียงเพื่อนซี้ด่าเสร็จก็ได้ตัดสายไป… คำพูดของเพื่อนสนิทสะกิดแทงลึกเข้ากลางอก เขื่อนนิ่งเงียบ รู้ดีว่าเจริญชัยพูดถูก—เขาแคร์ปานวาดมากเกินไป จนลืมไปว่าขุนเขาก็เจ็บเหมือนกัน และที่ยิ่งน่าสงสัยคือการกลับมาของปานวาด ทั้งที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้ว แต
หลังจากวันนั้น ทุกๆ วันก็เหมือนมีภาพซ้ำที่ขุนเขาต้องทนเห็น — ปานวาดเข้ามาเล่น พูดคุย และนั่งทานข้าวกับเขื่อนแทบทุกมื้อ สหัสวรรษเพียงอธิบายสั้นๆ ว่า “คนนี้รู้จักกันมานานแล้ว พึ่งกลับจากเรียนต่อในเมืองหลวง” ขุนเขาไม่เคยปริปากถามอะไรอีก แค่ยิ้มรับเงียบๆ แม้ในใจจะเจ็บทุกครั้งที่เห็นภาพสองคนนั้นหัวเราะกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปานวาดจะโผล่มาเฉพาะเวลาที่เขื่อนอยู่บ้านเท่านั้น หากเขื่อนไม่อยู่ เธอก็จะไม่เข้ามา กระทั่งวันหนึ่ง — ขุนเขากำลังกวาดพื้นและทำความสะอาดอยู่ที่ห้องครัวอย่างเงียบเชียบ มือเล็กๆ กำลังจับไม้กวาด ปัดฝุ่นที่เกาะตามพื้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงสั่งการก็ดังขึ้นจากโซฟา “นี่! เอาน้ำมานี่ที หิวจะแย่แล้ว!” ขุนเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบปานวาดนั่งหันหลังให้ ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว “นี่!! ฉันบอกให้หยิบน้ำมา!!” เสียงตะคอกดังขึ้นอีกครั้ง ขุนเขาขบกรามแน่น ก่อนจะวางไม้กวาดกับที่ตักขยะลงแรงๆ จนมันล้มดัง กึก ร่างบางเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไปหยิบเหยือกน้ำและแก้ว ก่อนจะเดินกลับมาวางมันลงบนโต๊ะไม้หน้าสุดของโซฟา อย่างแรง จนน้ำในเหยือกกระเพื่อม ปานวาดกำมือแน่น สีหน้าเร
เสียงประตูห้องปิดลงเบาๆ แต่ภายในใจของขุนเขากลับดังก้องไปด้วยความรู้สึกมากมายจนแทบกลั้นไม่อยู่ เขาทรุดตัวลงบนเตียงกว้างที่ยังมีกลิ่นของเขื่อนอวลอยู่บนหมอน ดวงตากลมมองออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่น รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรคิดมาก ไม่ควรรู้สึกอะไรแบบนี้ เพราะคนคนนั้นก็คงเป็นแค่ ‘อดีต’ แต่… ทำไมมันหน่วงไปหมดแบบนี้นะ “ก็แค่คนของเขาเอง” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ พยายามไล่ความรู้สึกเจ็บออกไปจากอก แต่ภาพที่อีกฝ่ายยืนอยู่หน้าบ้าน ยิ้มให้เขื่อนแบบนั้น มือที่แตะไหล่เขื่อนเหมือนเจ้าของ ไม่สิ…เหมือนคนที่เคยมีสิทธิ์ในตัวเขื่อนมาก่อน—มันทำให้ขุนเขาเจ็บจุกยังไงไม่รู้ เขาไม่อยากยอมรับหรอกว่ากำลังหึง กำลังน้อยใจ หรือกลัว… กลัวว่าจะมีใครบางคนที่เขื่อนเคยรัก มาก่อนเขา และอาจจะยังมีผลอยู่ เสียงประตูเปิดดังขึ้นเบาๆ ขุนเขาหันไปมอง เห็นร่างสูงของเขื่อนเดินเข้ามาช้าๆ มือถือแก้วน้ำกับนมอุ่นหนึ่งแก้ว “นมอุ่น จะไ
ริมฝีปากเขื่อนสัมผัสกับของขุนเขาอีกครั้ง—อ่อนโยนเหมือนสายลมยามเช้า ละมุนละไมจนแทบทำให้ร่างบางละลายอยู่ตรงนั้น จูบนั้นเริ่มจากเพียงแค่แตะเบาๆ กลายเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ… เสียงจูบเปียกชื้น,ลิ้นร้อนตวัดหาความหวานของกันและกัน น้ำรักที่เปรอะออกมาจากริมฝีปากของขุนเขา สหัสวรรษดูดเม้มราวกับว่านี่คือน้ำผึ้งเดือนห้า สลับกับลมหายใจที่ถี่กระชั้นทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม เสียงเบาๆ จากห้องข้างๆ ดังลอดมาเป็นจังหวะที่ไม่ควรได้ยิน… กลับยิ่งกระตุ้นให้ทุกการสัมผัสของเขื่อนทวีความรุนแรงในแบบทนุถนอม ร่างสูงคร่อมเหนือคนตัวเล็ก มือหนาที่เคยจับพวงมาลัยเรือ แกร่งแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนโยน ลูบผ่านแผ่นหลังบางจนเจ้าของร่างสะดุ้งเล็กน้อย ลูบไล้ผ่านเอวบาง สหัสวรรษคิดว่าอีกคนว่าเอวเล็กแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเล็กถึงขนาดที่ตนรวบมือเดียวยังได้ “ตรงนี้…ได้ไหม” เขื่อนกระซิบเบา มือข้างหนึ่งลูบไล้ทั่วร่างขาวไปจนหยุดตรงตุ่มไตสีสวยบนอก ปากก็ว่ามือก็ลูบไล้ เสียงแหบพร่าข้างใบหู ทำเอาร่างใต้ร่างใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ขุนเขาพยักหน้าเบาๆ แม้อีกคนจะขออนุญาตเขาหลังจากที่มือนั้นไปหยุดอยู่ตรงเนินเล็กของขุนเขา ดวงตาฉ่
หลายวันผ่านไป ความเคยชินค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขื่อนกับขุนเขา ทั้งสองต่างไม่ได้มีบทสนทนาหวานซึ้งหรือใกล้ชิดแบบคู่รัก แต่กลับอยู่ร่วมบ้านกันได้อย่างแนบเนียนราวกับเป็นเรื่องปกติ เหมือนคนสองคนที่เคยมีชีวิตคู่มาก่อน แล้วกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งอย่างเงียบงัน ทุกเช้าเขื่อนออกจากบ้านโดยไม่ลืมทิ้งคำสั่งหรือคำเตือนบางอย่างไว้ให้ขุนเขาเสมอ แล้วขึ้นสปีดโบ๊ทลำเดิมในเวลา 10 โมงตรง กลับมาอีกทีราวบ่ายสาม ขุนเขาที่เริ่มจำเวลาเหล่านี้ได้ขึ้นใจ เริ่มสังเกตและตั้งคำถาม—แบบที่ไม่เคยกล้าถามออกไปตรง ๆ ประมง? เขาไม่เคยเห็นตาข่าย ไม่เคยเห็นปลา ไม่เคยได้กลิ่นคาวทะเลสักครั้ง… หรือเขาแค่ไม่รู้ว่าประมงในที่แห่งนี้ มันไม่ใช่แค่การหาปลา บ่ายวันนี้ ขุนเขาออกมานั่งหน้าบ้าน อากาศเย็นสบาย ลมทะเลพัดอ่อน ๆ ผ่านผิวกาย เสื้อยืดสีขาวบางแนบเนื้อโชว์ไหล่ลาดและช่วงคอขาวเนียน กางเกงผ้าลื่นสีฟ้าอ่อนแนบเรียวขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่เพียงพอจะดึงดูดสายตาคนงานละแวกนั้นให้เผลอเหลือบมองเป็นระยะ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มผ้าใบข้างบ้าน เปลถักใกล้กันแกว่งเบา ๆ ไปตามลม หน้าบ้านที่ปูด้วยหินกรวดสีขาวสะอาดยิ่งทำให้ร่างบางของเ